เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 374 ความอิจฉาหมายเอาชีวิต
บทที่ 374 ความอิจฉาหมายเอาชีวิต
บทที่ 374 ความอิจฉาหมายเอาชีวิต
เห็นเสี่ยวเถียนตั้งใจเรียนขนาดนี้ ฮวางเหวินป่ายยิ่งพึงพอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เขายังส่งสัญญาณให้ทุกคนอย่าไปรบกวน และปล่อยให้เธออ่านหนังสือต่อ
“พวกเธอดูเพื่อนซูเสี่ยวเถียนสิ นักเรียนที่ตั้งใจเรียนแบบนี้น่ารักมากเลยนะ!”
ฮวางเหวินป่ายเอ่ยชมอย่างเว่อวังมาก ซึ่งเด็กส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ยอมรับ
เสี่ยวเถียนเรียนเก่งก็เลยทำตัวเย่อหยิ่งได้ใช่ไหมล่ะ? อย่างสถานการณ์ในวันนี้ ลองเป็นเด็กที่เรียนไม่เก่งสิ ครูฮวางจะชมแบบนี้อยู่ไหม?
เกือบทุกคนที่คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!
แต่เพราะเป็นสิทธิพิเศษของนักเรียนดีเด่นเนอะ ก็พอเข้าใจได้แหละ
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่แถวหลังตู้หย่งเฮ่อนั้น เธอเห็นตู้หย่งเฮ่อกับซูเสี่ยวเถียนคุยมาตั้งนานแล้ว ทั้งยังได้ยินครูฮวางยกย่องนักเรียนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎอีก ในใจพลันรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
เธอย้ายสายตาไปมองซูเสี่ยวเถียน
และไม่มีใครเห็นว่าเธอกำลังใช้สายตาชั่วร้ายมองอีกฝ่ายอยู่
มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้ตนกำลังรู้สึกแบบไหนอยู่ในใจ
ทำไมต้องเป็นซูเสี่ยวเถียน?
ทำไมพวกบ้านนอกคอกนาที่มาจากตะวันตกเฉียงเหนือถึงได้รับความสนใจมากขนาดนี้?
เพราะเรียนเก่งใช่ไหม?
สอบได้คะแนนดีครั้งเดียวไม่ได้หมายความว่ารอบหน้าจะสอบได้ดีนี่?
อีกอย่าง ไม่รู้ด้วยว่าคะแนนจริงหรือไม่จริง อาจมีคนจงใจให้เธอดูหัวข้อคำถามก็ได้นะ? เพราะใคร ๆ ก็บอกว่าข้อสอบรอบนี้ยากมาก
คนธรรมดาที่ไหนจะทำข้อสอบยาก ๆ ได้คะแนนเกือบเต็มแบบนี้ล่ะ?
ยิ่งซ่งหลิงหลิงคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับคะแนนของซูเสี่ยวเถียน
อาจจะได้หัวข้อคำถามมาก่อนจริง ๆ
เหอะ! ลอกครั้งเดียวคิดว่าจะลอกไปได้ตลอดหรือไง?
ซ่งหลิงหลิงกำหมัดแน่น
เธอได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้วว่าหลังจากที่ห้องเรียนพิเศษเปิดแล้ว อาทิตย์ที่สองจะมีการสอบย่อย
นั่นเป็นโอกาสที่ดีที่จะกระชากเสี่ยวเถียนให้ลงมาจากแท่นบูชา
ซ่งหลิงหลิงสาบานเลยว่า ยัยบ้านนอกที่ชื่อซูเสี่ยวเถียนจะต้องเผยธาตุแท้ออกมาให้ทุกคนประจักษ์ว่าตนเป็นคนไม่มีพรสวรรค์โดยแท้จริง!
และซ่งหลิงหลิงเช่นเธอจะเป็นที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนแทน!
เสี่ยวเถียนไม่รู้เลยว่ามีเพื่อนผู้หญิงหมายเป็นศัตรูกับเธอ แน่นอนว่าถึงรู้ก็ไม่สนใจอยู่แล้ว
โดนคนอิจฉาก็พิสูจน์ได้แล้วว่าตัวเรายอดเยี่ยมมาก!
แต่ไหนแต่ไรมา เธอไม่เคยกังวลเรื่องที่คนอื่นอิจฉาเพราะตัวเองเก่งเลย!
หลังจากที่ครูฮวางพูดจบ ชั้นเรียนก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
คาบแรกเป็นวิชาคณิตศาสตร์ และครูผู้สอนยังอายุน้อยมากอยู่เลย อายุไม่น่าจะเกิดยี่สิบกว่า แต่ต้องยอมรับเลยว่าเขาสอนได้ดีจริง ๆ
อนาคตของครูพวกนี้จะไม่แย่แน่นอน แต่ละคนเก่งมาก ๆ จนไม่ต้องนึกกังวลเลย เห็นเลยว่าได้รับการคัดเลือกมาอย่างดี และเป็นเลิศในทุก ๆ ด้าน
นอกจากสอนเนื้อหาในหนังสือแล้ว ยังอธิบายได้เยอะด้วย
เห็นเลยว่าโรงเรียนมัธยมอันดับเจ็ดให้ความสำคัญกับห้องเรียนพิเศษมากขนาดไหน!
การให้ความสนใจมันก็มีข้อดีนะ แต่ข้อเสียก็มีเหมือนกัน ต้องบอกว่าการแข่งขันในห้องเรียนนี้สูงมาก
ตอนเสี่ยวปากับเสี่ยวจิ่วเรียนที่อำเภอ พวกเขาเรียนกันอย่างสนุกสนานมาก แต่พอมาเรียนที่นี่แล้วกลับรู้สึกกดดัน
ทั้งสองตั้งใจฟังที่ครูสอนมากและซึบซับความรู้อย่างจริงจัง เพื่อที่จะได้ไม่พลาดเนื้อหาอะไรไป
บางครั้งทั้งสองก็คิดว่าจะงอกสมองอีกสักอันมาช่วยกันคิดเหมือนกัน
ตอนนั้นสองพี่น้องรู้สึกขอบคุณเหลือเกินที่ตนมาเรียนที่เมืองหลวงได้
ตอนที่อยู่อำเภอไม่คิดนึกเลยว่าจะมีการเรียนการสอนแบบนี้ด้วย
ถ้าไม่มาเมืองหลวงก็คงไม่มีทางรู้เลยว่าอีกฟากของภูผาจะมีชีวิตที่แสนวิเศษเช่นนี้อยู่
เด็ก ๆ บ้านซูไม่ได้โง่เขลา ช่วงแรกเสี่ยวปากับเสี่ยวจิ่วยังไม่คุ้นกับการสอนอันเข้มข้นมากนัก แต่เมื่อผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ทั้งสองคนก็ไล่ตามจังหวะของครูได้
กลับกันนั้นมีนักเรียนจากเมืองหลวงหลายคนที่ยังตามไม่ทัน
แน่นอนว่ามันเกี่ยวกับสิ่งที่แสนพิเศษของสองคนนี้หลังจากเลิกเรียนด้วย
ถึงจะมีเนื้อหาที่ไม่เข้าใจอย่างละเอียดในห้อง แต่พอกลับบ้านมาก็ยังขอให้น้องสาวสอนได้
บางครั้งฉือเก๋อก็มาสอนพิเศษให้พวกเด็ก ๆ ด้วย ความรู้ของเขากว้างขวางมาก มีการพลิกแพลงเปรียบเทียบเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น
ทุกครั้งที่มีช่วงเวลาเช่นนี้ แล้วได้เห็นท่าทางพึงพอใจของเสี่ยวเถียน สองพี่น้องก็เสียใจมาก
นี่คือช่องว่างของพวกเราสินะ
เป็นพี่น้องกันแท้ ๆ ทำไมถึงห่างชั้นกันขนาดนี้เลยล่ะ?
เสี่ยวลิ่วและเสี่ยวชีไม่ได้กดดันเหมือนน้องชายทั้งสอง
ปีนี้พวกเขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายปีที่ 2 ห้องที่พวกเขาเรียนเป็นการจัดแบบใหม่ ต้องบอกเลยว่าคุณภาพนักเรียนโดยรวมถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
ถ้าตัดสินจากคะแนนสอบก็ถือว่าไม่เลวหรอก แล้วก็โชคดีด้วยที่ไม่มีเด็กพิเศษแบบเสี่ยวเถียนมาเป็นแบบอย่าง ลดแรงกดดันไปได้เยอะเลย
“เสี่ยวปา เสี่ยวจิ่ว ทำไมทำหน้างงแบบนั้นล่ะ? กดดันกับเรื่องเรียนมากไปหรือ?” คุณย่าเห็นสีหน้าของหลานชายทั้งสองของเธอก็ปวดใจมาก!
เสี่ยวลิ่วหัวเราะลั่น “ย่าคิดมากไปแล้วครับ ความกดดันจากเรื่องเรียนไม่เยอะหรอก แค่รู้สึกว่าความกดดันจากเสี่ยวเถียนมันมากกว่าก็เท่านั้นเองครับ!”
หญิงชราที่กำลังปวดใจสีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที
ยังนึกอยู่ว่าไอ้เด็กสองคนนี้เป็นอะไร ที่แท้ก็อิจฉาน้อง?
พวกเขาไม่คิดหรือว่าถ้าไม่มีเสี่ยวเถียนจะได้มาเรียนเมืองหลวงหรือเปล่าน่ะ?
“ไอ้สองตัวนี้ ถ้าพวกแกดูแลน้องไม่ดี ฉันจะค่อย ๆ ถลกหนังแกเอง!” คุณย่าซูร้องเหอะ
เสี่ยวปารีบร้อนตอบทันที “ย่าคิดมากไปแล้ว จะเป็นไปได้ยังไงครับ?”
“ใช่แล้วย่า พวกเราคิดแบบนี้ต่างหาก เสี่ยวเถียนฉลาดเกินไปจนเหมือนว่าเราจะไร้ประโยชน์เลย!”
หญิงชรามองด้วยสายตารังเกียจทันที “พวกแกก็ไร้ประโยชน์มาตั้งแต่แรกแล้ว!”
พวกเขาโดนอีกแล้ว!
แต่โชคดีหลายปีมานี้โดนจนชินแล้วล่ะ
ไร้ประโยชน์ก็ไร้ประโยชน์
แต่ก็โชคดีที่เรียนห้องเดียวกับน้อง จะได้คอยปกป้องน้องด้วย
เด็กคนนั้นที่ชื่อตู้หย่งเฮ่อคิดจะติดหนึบกับเสี่ยวเถียนอยู่เรื่อยเลย อายุเท่าไรแล้ว ไม่รู้หรือว่าชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกันน่ะ?
แน่นอนว่าตู้หย่งเฮ่อรู้ แต่ในสายตาเขามีแค่เด็กเรียนเก่งกับเด็กเรียนไม่เก่งเท่านั้น ไม่ได้แยกชายแยกหญิงมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่ได้สังเกตเห็นความเป็นปรปักษ์ของพี่ชายทั้งสองที่มีต่อตนเองเลย และทุก ๆ วันจะให้เสี่ยวเถียนคอยตอบปัญหาทุกครั้งที่มีเวลา
ที่จริงเสี่ยวเถียนมีความกังวลอยู่บ้าง ความกดดันในเรื่องเรียนไม่เท่าไรหรอก แต่เป็นเพราะหนังสือต่างประเทศที่อ่านช่วงนี้มากกว่าที่ทำให้เธอเครียด
บางครั้งเธอก็ต้องการมีสมาธิกับการอ่านบ้าง แต่ตู้หย่งเฮ่อกลับยืนกรานที่จะเข้ามายุ่มย่าม เลยทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก
ที่จริงเพราะภาพลวงตาที่เสี่ยวเถียนทำให้ทุกคนเห็นว่าเธออกำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสืออยู่ทุกวันนั่นแหละ
นักเรียนคนอื่น ๆ เลยคิดว่านี่เป็นวิธีที่ทำให้เสี่ยวเถียนสอบได้คะแนนดีสินะ
พวกเขาจึงเรียนกันบ้าง และตั้งใจอ่านหนังสือ ทำโจทย์อยู่ทุกวัน
มีเพียงซ่งหลิงหลิงเท่านั้นที่มักจะมองเสี่ยวเถียนโดยไม่รู้ตัว โดยหวังว่าจะลงมืออะไรกับอีกฝ่ายได้บ้าง
และเธอยังได้พบกับโจวหรุ่ยซูด้วย