เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 385 ดูแปลก ๆ
บทที่ 385 ดูแปลก ๆ
บทที่ 385 ดูแปลก ๆ
เย็นวันนั้น ตอนที่สองสามีภรรยาตู้กลับมาก็ค่ำมากแล้ว และเสี่ยวเถียนเองก็เข้านอนแล้วเช่นกัน เธอไม่รู้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาไปหาตำตอบเรื่องอะไร หรือไม่ได้คำตอบอะไรมากเลย
เช้าวันต่อมา เสี่ยวเถียนเดินทางไปโรงเรียนตั้งแต่เช้าตรู่
ชีวิตการเรียนที่แสนวุ่นวายดูเหมือนจะทำให้ลืมเรื่องของซูซื่อเลี่ยงไปชั่วขณะ หาได้ยากมากที่ทั้งสัปดาห์จะใช้ชีวิตอย่างราบรื่นแบบนี้ แม้แต่ซ่งหลิงหลิงและหลิวเสี่ยวหงที่ชอบสร้างปัญหาก็ยังไม่สร้างเรื่องเลย
เสี่ยวเถียนสงสัย สองคนนี้ต้องคิดอะไรไม่ดีอยู่แน่ ๆ แต่เพราะไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร เสี่ยวเถียนจึงไม่คิดจะทำอะไร
ทหารมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาใช้ดินด้าน*[1] ก็จริงอย่างที่ว่าไว้
เธอจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปแล้วกัน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
บ่ายวันศุกร์หลังเลิกเรียน จู่ ๆ เสี่ยวเถียนก็นึกถึงเรื่องของพี่รองขึ้นมาได้ แถมยังลืมถามย่าอวี่มาด้วยจึงรีบกลับทันที
เสี่ยวเถียนเดินเข้าบ้านไปก็เห็นพี่รอง
“เสี่ยวเถียนเพิ่งกลับมาหรือ? พี่คิดว่าเธอจะไปที่ร้านก่อนเสียอีก” ซื่อเลี่ยงยิ้มสดใส
ท่าทางของเขาทำให้นึกถึงเด็กหนุ่มเท้าจุ่มโคลนผู้มีชีวิตชีวาในหงซินเมื่อหลายปีก่อนเลย ท่าทางของเขามันอดไม่ได้ที่จะทำให้เธอยิ้มออกมา
แบบนี้แหละ พี่รองที่มั่นใจในตัวเองของเธอ
ดูเหมือนอาทิตย์นี้จะผ่านไปได้ด้วยดีนะ
“พี่รองก็กลับมาหรือคะ? พี่ใหญ่ล่ะ?”
ซื่อเลี่ยงกับโส่วเวินเรียนที่เดียวกัน ปกติพวกเขาจะกลับบ้านในวันหยุดสุดสัปดาห์
ทว่ากลับมีแค่ซื่อเลี่ยงที่กลับมาในวันนี้ เธอจึงถาม
“พี่ใหญ่ต้องเข้ากิจกรรมน่ะ น่าจะเจอคนสำคัญ พี่เลยกลับมาคนเดียว!”
สองพี่น้องพูดคุยกันขณะเดินผ่านลานบ้านเข้าไปในห้องรับแขก
ทว่าพวกเขาไม่เห็นเจ้าของบ้านทั้งสอง
“คุณย่าอวี่ คุณปู่ตู้ อยู่หรือเปล่าคะ?” เสี่ยวเถียนตะโกนเรียกเสียงดังลั่น
แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาเลยสักนิด
ชายหนุ่มโยนกระเป๋าไว้บนโต๊ะก่อนทรุดตัวลงนั่งด้วยความผ่อนคลาย
“พี่รอง อาทิตย์นี้เป็นยังไงบ้างคะ?” เสี่ยวเถียนทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วเอ่ยถาม
ถึงหน้าตาจะดูไม่เหมือนคนที่โดนทำร้ายมา แต่เธอก็ยังกังวลอยู่ดีว่าจะถูกคนหน้าด้านล้างสมองอีกครั้ง
และแม้จะไม่รู้ว่าทำไมเฉากวนซวนต้องทำแบบนี้ แต่ไม่มีทางที่อยู่ ๆ เขาจะหยุดไปแน่นอน
โดยเฉพาะตอนที่รู้ว่าสภาพจิตใจของพี่รองดีขึ้น มันยากที่จะบอกว่าคนแบบนั้นจะทำลายพี่เขาต่อหรือเปล่า
ซื่อเลี่ยงถูจมูก “โชคดีที่ทุกอย่างราบรื่นนะ”
“มีใครพูดแบบนั้นอีกไหมคะ?”
“มี แต่คำพูดของเธอกับย่าอวี่เข้ามาในหัว จากนี้ไปจะไม่เก็บมันมาใส่ใจแน่นอน” ซื่อเลี่ยงพยักหน้าอย่างจริงจัง
ตอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยก็ขบคิดกับคำพูดไม่ดีพวกนั้นเหมือนกัน หลังจากสังเกตอย่างระมัดระวังและคิดอย่างรอบคอบแล้ว ถึงได้รู้สึกจริง ๆ
ไม่ใช่เพื่อนในชั้นทุกคนที่พูด อันที่จริงคนข้างกายบางคนที่เอาแต่พูดมากกว่า ทั้ง ๆ ที่ปกติเรามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่แล้ว แต่ต้องบอกว่ามีแค่ไม่กี่คนที่แสร้งทำเป็นห่วงและลดทอนความมั่นใจเขาครั้งแล้วครั้งเล่า!
“พี่รอง ใครที่มันพูดแบบนี้บ่อย ๆ พี่รู้แล้วใช่ไหม?”
ซื่อเลี่ยงพยักหน้า เขารู้ดีเลยล่ะ
เขาเสียใจกับเรื่องนี้จริง ๆ ตั้งแต่เข้าเรียนมา เขามักจะมองคนพวกนั้นเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ แต่ไม่คิดเลยว่าพวกเขากลับมีแรงจูงใจซ่อนเร้น
“แล้วเฉาเกาซวนคนนั้น อาทิตย์นี้เขามีอะไรผิดปกติไหมคะ?” เสี่ยวเถียนถาม
อาทิตย์ก่อน ปู่ย่าบุญธรรมไปที่มหาวิทยาลัยมา ไม่รู้ได้แหวกหญ้าให้งูตื่นหรือเปล่า
“มีสิ! เขาแปลกมากเลย”
อาทิตย์นี้เฉาเกาซวนถามเขาถึงสามรอบว่าได้วาดรูปไหม แถมยังบอกจะให้คำแนะนำเขาด้วย
และมันทำให้เขาแปลกใจมาก
เพราะก่อนหน้านี้อีกฝ่ายบอก ความเข้าใจของเขามีจำกัด เขาจำต้องศึกษาและฝึกฝนให้หนัก ตอนนี้จึงไม่จำเป็นต้องให้คำแนะนำ
แถมเป็นอีกฝ่ายที่พูดเองด้วย มันผิดปกติแน่นอน
เสี่ยวเถียนได้ฟังคำตอบก็ตะหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แต่มันผิดปกติตรงไหนนั้น เธอก็ยังคิดไม่ออก
“แล้วเขาได้พูดอะไรอีกไหมคะ?”
“เขาบอกให้พี่รีบวาดรูปให้เขาดูสองภาพ แถมย้ำด้วยว่าไม่ให้พี่เซ็นชื่อลงในงาน”
ไม่ให้เซ็นชื่องาน?
เสี่ยวเถียนขมวดคิ้ว ถ้าเป็นช่วงฝึกมันมีความเป็นไปได้สูงอยู่แล้วที่ไม่ต้องเซ็น แต่กลับบอกแบบนี้ซึ่งมันแปลกมาก
“ซื่อเลี่ยง หลานวาดให้เขาสักภาพแล้วกัน แต่จะให้เปล่า ๆ ไม่ได้นะ ทำสัญลักษณ์ไว้หน่อยก็พอ” อวี่รุ่ยหยวนตอบ
หญิงชราเดินถือจานผลไม้ที่หั่นเรียบร้อยเข้ามา เห็นได้ชัดว่าเธอเตรียมไว้เป็นพิเศษให้เด็กทั้งสอง
“มาเร็วเสี่ยวเถียน ซื่อเลี่ยง เดินกันมาตลอดทาง หิวแล้วใช่ไหม? มากินผลไม้ก่อนสิแล้วค่อยคุยกัน”
เสี่ยวเถียนเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายจะสื่อ คนทั้งสามนั่งกันอยู่ในห้องนั่งเล่นและเริ่มสนทนากันอีกครั้ง
อวี่รุ่ยหยวนไม่ได้พูดชัดว่าตนเจออะไร แต่แสดงให้เห็นว่าเฉาเกาซวนมีปัญหา
“พอย่าอวี่พูดแบบนี้แล้ว ผมก็เข้าใจแล้วครับว่าทำไมก่อนหน้านี้ผมวาดไปเท่าไร เขาก็เอาไปโยนลงถังขยะ ไม่เอามาคืนด้วย!”
ซื่อเลี่ยงเป็นคนจิตใจดีก็จริง แต่เขาไม่ได้โง่ หลังจากที่เราคุยจบก็เข้าใจในที่สุด ไม่รู้ว่าภาพของเขาถูกเฉาเกาซวนเอาตรงไหนอะไรไปใช้บ้าง
หลังจากที่เราคุยกันเสร็จ โส่วเวินก็เพิ่งกลับมาถึง
เขาเข้าบ้านมาพร้อมกับเหงื่อโซมกาย พอเห็นแตงโมบนโต๊ะก็ตาประกายทันที
ทว่าก็ยังทักทายอวี่รุ่ยหยวนก่อน ถึงค่อยหยิบแตงโมขึ้นมาแทะ
“ร้อนจะตายอยู่แล้ว!”
“พี่ใหญ่มาทำอะไรเนี่ย?” ซื่อเลี่ยงเห็นสภาพของพี่ชายที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อก็เอ่ยถาม
“ไปเข้าไปกิจกรรมมา ตอนไปก็เพิ่งรู้ว่าโรงงานเขาหาคนแปลงานเอกสารอยู่ พี่อ่านอยู่นานเลย แล้วก็แปลได้ส่วนนึง แต่ยังรู้สึกว่ามันยังไม่ถูกต้อง”
เขากลืนแตงโมคำสุดท้ายลงไปแล้วโยนเปลือกแตงโมลงถังขยะ
ตั้งแต่ที่เสี่ยวเถียนสอนวิธีเรียนให้ เขารู้สึกว่าอาทิตย์นี้ได้อะไรเยอะแยะเลย ใครจะรู้เล่าว่าความรู้ที่ต้องใช้ เมื่อถึงเวลากลับเสียใจที่เรียนมาน้อยไป เขารู้น้อยไปหน่อย
เสี่ยวเถียนถามว่า “โรงงานเอาเอกสารให้พี่แปลหรือ”?
ทำไมรู้สึกว่าไม่ค่อยจะเหมาะเท่าไรนะ
“ใช่ที่ไหนล่ะ แค่ให้เนื้อหามาแผ่นนึงแล้วให้พวกเราลองแปลดู ทดสอบความสามารถน่ะ” โส่วเวินส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม
*[1] ไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้