เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 389 หนูอยากซื้อบ้าน
บทที่ 389 หนูอยากซื้อบ้าน
บทที่ 389 หนูอยากซื้อบ้าน
“งั้นเอกสารฉบับนี้ ฉันให้เธอนะ” หัวหน้าหลี่วางเอกสารใส่มือซูเสี่ยวเถียนด้วยความระมัดระวัง
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะพบเด็กสาวที่อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะมารับงานแปล ถึงจะรู้แล้วว่าเจ้าตัวมีความสามารถ แต่หัวหน้าหลี่ก็ยังไม่วางใจ
“นักเรียนเสี่ยวเถียน เวลากระชั้นชิดก็จริง แต่ความแม่นยำก็ต้องสูงด้วยนะ เธอต้องระมัดระวังและรอบคอบให้มาก ๆ”
เสี่ยวเถียนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “หนูรู้น้ำหนักของมันดีค่ะ หัวหน้าหลี่ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูจะทำให้เสร็จตรงตามเวลา รับประกันคุณภาพได้เลยค่ะ!”
อีกฝ่ายเห็นเธอพูดจาหนักแน่นก็รู้สึกสบายใจ
“หนูเข้าใจความสำคัญของเอกสารฉบับนี้ดีค่ะหัวหน้าหลี่ แล้วก็รู้ด้วยว่าถ้าแปลผิดมันจะก่อให้เกิดความสูญเสียต่อประเทศอย่างยิ่ง!”
หัวหน้าหลี่ไม่คิดเลยว่าเสี่ยวเถียนจะพูดแบบนี้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
เด็กคนนี้ฉลาดจริง ๆ
ตอนนั้นเองที่เขายิ่งคิดว่าสมกับที่เป็นศิษย์ของฉือเก๋อจริง ๆ แถมแตกต่างจากคนอื่นด้วย
หลังจากเซ็นสัญญา เสี่ยวเถียนกลับบ้านพร้อมกับเอกสาร เธอเดินทางกลับบ้านด้วยความระมัดระวัง
โชคดีที่เดินทางได้อย่างราบรื่น
ตอนที่เสี่ยวเถียนบอกว่าเอาเอกสารการแปลกลับมาด้วย ทุกคนไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็รู้สึกอีกว่าไม่น่าแปลกใจอะไรนี่ เพราะอย่างไรเสี่ยวเถียนก็เป็นคนที่สุดยอดอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ?
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เสี่ยวเถียนเริ่มใช้ชีวิตด้วยการอุทิศตนให้กับงานแปล
ตอนกลางวันไปโรงเรียน ตอนกลางคืนทำงานแปล เพราะที่โรงเรียนมีคนอยู่เยอะ เธอเลยไม่กล้าเอาไปทำที่นั่น
เวลาที่เหลือจึงมีแค่ตอนกลางคืนเท่านั้น
เพื่อให้แปลได้สมบูรณ์และสละสลวย เสี่ยวเถียนต้องอยู่ถึงเที่ยงคืนทุกวัน
อวี่รุ่ยหยวนทุกข์ใจเหลือเกิน แค่สามวันสีหน้าหลานสาวก็ย่ำแย่มาก
“เสี่ยวเถียน พวกเราไม่ต้องทำงานนี้ดีกว่าไหม? ดูหลานสิ เพิ่งจะสามวันแต่หน้าซีดเซียวขนาดนี้แล้ว ย่าเห็นแล้วเสียใจนัก!”
“ไม่เป็นไรนะคะคุณย่า หนูยังเด็ก แปลเสร็จแล้วได้พักอีกสองวันก็ดีขึ้นแล้วค่ะ”
ระยะเวลาสามวัน เสี่ยวเถียนแปลได้หนึ่งในสาม
เราตกลงกันไว้ว่าทำงานสิบวัน และเสี่ยวเถียนคิดว่าความเร็วแบบนี้กำลังดีเลย
“เสี่ยวเถียน ถ้าหลานไม่มีเงิน เดี๋ยวย่าให้เอง”
เธอมีหลานสาวคนเดียวและเป็นหลานสาวบุญธรรมด้วย แต่ว่าก็ปฏิบัติต่อกันเหมือนเป็นญาติแท้ ๆ
เสี่ยวเถียนหัวเราะแล้วจับมือหญิงชรามาเขย่า “คุณย่า หนูมีเงินจริง ๆ นะ”
“มีเงินแต่ก็ยังต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินเนี่ยนะ!”
อวี่รุ่ยหยวนไม่อยากจะเชื่อหลานสาว
หลานต้องมากังวลเรื่องเงินแบบนี้ ต่อให้ไม่ได้บอกว่าขาดเงินเธอก็ไม่เชื่อหรอก
“คุณย่า หนูมีเงินอยู่ก้อนนึง วางแผนว่าจะซื้อเรือนสี่ประสานค่ะ”
เสี่ยวเถียนไม่ได้คิดจะเก็บเรื่องซื้อบ้านนี้ไว้ต่อ เพราะอย่างไรคนอื่นก็ต้องรู้อยู่ดี จึงพูดดีกว่า
“อะไรนะ?” อวี่รุ่ยหยวนถามด้วยความไม่เชื่อ
“คุณย่า หนูอยากซื้่อบ้านค่ะ ย่าก็เห็นว่าบ้านหนูเป็นครอบครัวใหญ่ เราจะรบกวนย่าตลอดไปไม่ได้นะ”
“เด็กคนนี้ ยังคิดจะคุยเรื่องนี้อยู่อีกหรือ เราสองคนเป็นอะไรกัน หลานลืมแล้วหรือ?”
“มันไม่เหมือนกันนะคะ ความสัมพันธ์ก็คือความสัมพันธ์ ชีวิตก็คือชีวิต ย่าไม่ต้องห่วงนะ หนูมีเงินจริง ๆ!”
เสี่ยวเถียนสาบานได้เลยว่าเธอมีเยอะจริง ๆ
นอกจากเงินที่ได้จากการขายวัตถุดิบแล้ว เสี่ยวเถียนยังเจอของโบราณสองชิ้นเล็ก ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจอีกด้วย หลังจากเอาไปขายก็ได้เงินมาประมาณหนึ่ง
พอเอาไปรวมกับเงินที่เก็บมาตลอด น่าจะมีประมาณสองหมื่นกว่าหยวนแล้ว
ในสมัยนี้มันไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ เลย
ถ้าไม่เรื่องมาก แค่เงินสองหมื่นก็ซื้อเรือนสี่ประสานได้แล้ว แต่เสี่ยวเถียนอยากจะเตรียมไว้ให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อที่จะได้มีทางเลือกอื่นด้วย
“หลานยังเป็นเด็ก จะมีเท่าไรกันเชียว?” อวี่รุ่ยหยวนไม่เชื่อว่าเสี่ยวเถียนจะมีเงินจริง ๆ
ฐานะทางบ้านซูเป็นอย่างไรก็ใช่ว่าจะไม่รู้
ไม่ต้องพูดเรื่องที่เสี่ยวเถียนมีเงินซื้อบ้านเลย แม้แต่พวกผู้ใหญ่ก็คงไม่สามารถจ่ายเงินก้อนเพื่อซื้อบ้านเหมือนกัน
เด็กสาวโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูหญิงชรา
อวี่รุ่ยหยวนตกใจ
“หลานพูดว่าอะไรนะ?”
“หนูพูดจริงนะ ย่าได้ยินไม่ผิดหรอกค่ะ หนูมีเงินเยอะจริง ๆ”
เสี่ยวเถียนเสียใจอยู่นิดหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะในเมืองหลวงมีคนหนุนหลังเยอะก็คงทำไม่ได้หรอก ถึงการพึ่งพาความสามารถจะทำเงินได้เยอะก็จริง แต่ของโบราณสองชิ้นมันจะได้เงินเยอะขนาดนั้นเลยหรือ?
“เสี่ยวเถียน บอกย่าได้ไหมว่าหนูไปหาเงินมาจากไหน?” อวี่รุ่ยหยวนถามอย่างกังวล
หรือเด็กคนนี้จะทำสิ่งผิดกฎหมาย?
เสี่ยวเถียนอธิบายสั้น ๆ ว่าเจอของโบราณโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็เรื่องที่เอาไปขายด้วย
อีกฝ่ายไม่คิดเลยว่าหลานจะมีความสามารถถึงขนาดรู้ด้วยว่าของโบราณคืออันไหน
“เด็กคนนี้ หาญกล้าจริง ๆ เลยนะ ถ้าเป็นของเก๊ไม่ต้องจ่ายคืนเขาหรอกหรือ?”
อวี่รุ่ยหยวนมองอย่างตำหนิ หลานสาวเป็นเด็กดีก็จริง แต่ทำไมถึงกล้าได้ขนาดนี้?
“ไม่มีทางหรอกค่ะคุณย่า ก็แค่ของที่ซื้อมาไม่กี่หยวนจากร้านตามข้างทางเอง”
ของบางสิ่งก็มูลค่าไม่กี่หยวนเอง ถ้าเธอทำพลาดจริง ๆ ก็เสียไม่เท่าไรเอง
แต่ด้วยความรู้ที่มาจากการเรียนในหนังสือ เธอสามารถหาของแท้และหาเงินได้นิดหน่อยด้วย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงชราก็ไม่พูดอะไรมาก
เพราะเสี่ยวเถียนบอกว่าไม่ต้องห่วง ซื้อมาไม่เท่าไร ถ้าทำพลาดจริงก็แค่หายไปไม่กี่หยวนเอง
“เสี่ยวเถียนตั้งใจจะซื้อบ้านแบบไหนล่ะ?”
อวี่รุ่ยหยวนเริ่มคิดว่าเธอควรขายบ้านราคาถูกให้หลานดีไหม?
ถ้าเอาไปบอกตาเฒ่าก็ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอกมั้ง?
เสี่ยวเถียนรู้ความคิดของย่าดีจึงรีบเอ่ย “คุณย่าไม่ต้องยกบ้านให้หนูนะ หนูไม่อยากได้ แล้วก็ไม่ให้ย่าขายหนูถูก ๆ ด้วยค่ะ”
มนุษย์เราควรรู้จักบุญคุณก็จริง แต่จะให้ผู้มีพระคุณเอาแต่มอบของให้ไม่หยุดแบบนี้ไม่ได้นะ
“เสี่ยวเถียน เงินของหลานพอจะซื้่อเรือนสี่ประสานนะ แต่คงไม่ได้หลังดี ๆ หรอก”
หลานสาวพยักหน้า “เพราะแบบนี้หนูเลยตั้งใจหาเงินไงคะ สิบวันก็ได้พันหยวนแล้ว”
เธอไม่ได้บอกว่าพันหยวนเป็นแค่ที่กำหนดไว้เท่านั้น ถ้าเธอทำดีอาจจะมีงานคล้าย ๆ แบบนี้มาหาอีกก็ได้
ทำงานด้านงานเขียนทำเงินได้ดีกว่างานอื่น ๆ เสมอ
อวี่รุ่ยหยวนได้ฟังก็พยักหน้า “แบบนั้นก็ดี ย่าของหลานกับคนอื่น ๆ ทำงานที่ร้านทั้งวัน เงินที่ได้อาจจะไม่ได้เยอะแบบหลาน”
คำตอบที่เอ่ยออกไปคือจำนวนเงินที่คำนวณหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว
ทว่าหญิงชราไม่รู้เรื่องอาหารทะเล ผัก และผลไม้สด ๆ ในร้านมาจากเสี่ยวเถียนที่เป็นคนจัดหามาให้ ราคาเป็นมิตร ต้นทุนไม่สูงด้วย