เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 392 หนูเก็บเป็นความลับอย่างดีเลยค่ะ
บทที่ 392 หนูเก็บเป็นความลับอย่างดีเลยค่ะ
บทที่ 392 หนูเก็บเป็นความลับอย่างดีเลยค่ะ
วันรุ่งขึ้น ช่วงบ่ายเสี่ยวเถียนไม่ได้ไปโรงเรียน เด็กหญิงใช้เวลานี้เพื่อไปส่งเอกสารที่โรงงานไฟฟ้าตงเฟิง
ในความคิดของฮวางเหวินป่ายนั้น ซูเสี่ยวเถียนเป็นเด็กเรียนดี จึงอนุญาตให้เธอลาโดยไม่ลังเลสักนิด ครั้นพี่ชายทั้งสองรู้ว่าน้องสาวจะไปส่งงานแปลจึงต้องการลาไปด้วย แต่ครู่ฮวางกลับรู้สึกว่าพวกเขาต้องตั้งใจเรียนให้มากขึ้น ดังนั้นเลยไม่อนุญาตให้พวกเขาหยุดเรียน
“พวกเธอเป็นพี่ชายนะ ทำไมไม่เรียนให้เก่งเหมือนน้องล่ะ? ยังจะมีหน้ามาขอลาหยุดอีกงั้นหรือ?”
เด็กทั้งสองโดยหมัดฮุคของฮวางเหวินป่ายอย่างแรง เรียนไม่เก่งแล้วไม่มีสิทธิ์ขอลาเรียนหรือ?
พวกเขามองอีกฝ่ายด้วยสายตาขุ่นเคือง แต่อีกฝ่ายไม่ไหวติงสักนิด
เสี่ยวเถียนยักคิ้วให้พี่ ๆ ด้วยความภาคภูมิใจ เพราะเธอไม่อยากเอาคนอื่นไปด้วย เพราะหลังจากส่งงานเสร็จแล้วก็จะไปเดินดูที่ถนนโบราณเสียหน่อย
เสี่ยวปาและเสี่ยวจิ่วมองน้องที่กระโดดโลดเต้นออกไปไกลด้วยสายตาอิจฉา
สุดท้ายก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาตั้งใจเรียนต่อไป เพราะไม่เชื่อว่าตนจะไล่ตามน้องไม่ทัน
เสี่ยวเถียนขึ้นรถประจำทางมายังโรงงานไฟฟ้าตงเฟิงโดยไม่คิดรีรอ คนที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ตรงประตูคือชายชราที่พบกันในวันนั้น
ครั้นชายชราเห็นซูเสี่ยวเถียนมาก็คลี่ยิ้มกว้าง “สาวน้อย มาหาหัวหน้าหลี่หรือ? เขาเพิ่งกลับมาเลย ตอนนี้อยู่ในสำนักงานน่ะ!”
เธอกล่าวขอบคุณแล้วเดินลิ่วไปที่นั่น
ชายชรามองเด็กสาวอย่างไม่สามารถปิดบังความอิจฉาได้เลย หายากจริง ๆ ที่เด็กตัวแค่นี้จะเข้าใจภาษาฝรั่งเศสได้ ไม่รู้ว่าครอบครัวแบบไหนที่เลี้ยงลูกได้ดีขนาดนี้
เฮ้อ… เขาใช้ชีวิตอยู่มาค่อนชีวิต ไม่เคยเรียนภาษาอะไรเลยนอกจากภาษาถิ่น! หลานชายของเขาก็ด้วย พูดแต่ภาษาถิ่น
หัวหน้าหลี่กำลังอ่านเอกสารอยู่ในสำนักงาน ตอนเห็นเสี่ยวเถียนก็ประหลาดใจมาก
“นักเรียนเสี่ยวซู มีอะไรหรือเปล่าถึงมาหาฉัน?”
เขาวางปากกาและเอกสารลง ก่อนถามด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น
เด็กสาวหยิบเอกสารที่แปลออกมาจากกระเป๋าอย่างใจเย็นและวางไว้ตรงหน้าอีกฝ่าย
“แปลเสร็จแล้วหรือ?”
เธอพยักหน้า “แปลเสร็จแล้วค่ะ!”
หัวหน้าหลี่เห็นเอกสารที่แปลกองหนาก็อดไม่ได้ที่จะมองเธออยู่พักหนึ่ง
สาวน้อยคนนี้ทำงานเสร็จอย่างรวดเร็ว
“สาวน้อย เธอแปลเร็วขนาดนี้เลยหรือ?” หัวหน้าหลี่พลิกอ่านแล้วถาม
คงไม่ได้แปลมามั่ว ๆ ใช่ไหม?
เชื่อถือได้แน่นะ?
“หนูแปลเร็วอยู่แล้วค่ะ!” เธอตอบอย่างไม่เกรงใจ
ตอนพูดยังมองด้วยแววตาเป็นประกาย โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมจ่ายเงินให้ในทันที
เงินพันหยวนจ๋า!
หัวหน้าหลี่ไม่ได้พูดอะไร เขาขมวดคิ้วขณะอ่านงานที่เธอแปล
แต่อ่านต้นฉบับไปก็ไม่ช่วยอะไร เพราะเขาไม่รู้ภาษาฝรั่งเศส
เพราะงั้นหลังจากอ่านไปสองหน้าก็เงยหน้าอีกครั้ง
“นักเรียนเสี่ยวซู ได้ให้คุณฉืออ่านงานที่แปลไหม?”
ระดับการแปลของเธอยังน่าสงสัย แต่ถ้าคุณฉืออ่านแล้วก็รับรองได้!
เสี่ยวเถียนตกใจ ให้ปู่ดูทำไม?
หมายถึงอะไรเนี่ย?
กลัวเธอจะยืมมือคนอื่นมาทำหรือ?
หรือกลัวเนื้อหาจะรั่วไหล?
เธอส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่ได้ให้ค่ะ! หัวหน้าหลี่ไม่ต้องห่วงนะ หนููรู้ว่าเอกสารมันสำคัญมาก จะไม่ปล่อยให้ใครอ่านแน่นอนค่ะ”
เขาพูดไม่ออก
ไม่ได้หมายความแบบนั้นเสียหน่อย!
สาวน้อยคนนี้ต้องมั่นใจในตัวเองขนาดไหนถึงไม่ให้คุณฉือตรวจงานเลยน่ะ?
ถ้าผิดขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ? แล้วจะเกิดผลเสียต่อโรงงานไฟฟ้าตงเฟิงและประเทศไหม?
แล้วเขาพูดแบบนี้ได้ไหมล่ะ?
ไม่ได้ไง!
หัวหน้าหลี่ใบ้กินไปเสียแล้ว
เขาโทษเสี่ยวเถียนไม่ได้ที่เจ้าตัวไม่เอาเอกสารให้คุณฉือดู หลัก ๆ แล้วนะ มันเกิดจากสัญญารักษาความลับฉบับนั้นมากกว่า
ตอนนี้เขาเสียใจจริง ๆ ถ้ารู้ไวกว่านี้คงไม่ให้เซ็นหรอก
ตอนนั้นเสี่ยวเถียนเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายแล้ว หัวหน้าหลี่ไม่ไว้ใจในตัวเธอและสงสัยความถูกต้องของเอกสารที่แปลมา
ถ้าฝ่ายนู้นอยากจะตรวจก็ไม่มีปัญหาหรอก เพราะเด็กหญิงเพิ่งจะอายุไม่กี่สิบปี ใครจะมาเชื่อใจกัน
แต่เราต้องแก้ไขปัญหานะ แล้วเธอก็คงไม่ลงทุนให้ปู่ฉือมาจัดการเรื่องนี้หรอกมั้ง?
“หัวหน้าหลี่ หนูว่าที่โรงงานน่าจะมีคนเข้าใจภาษาฝรั่งเศสนะคะ ถึงจะไม่ได้แปลถูกมากนัก แต่ได้อ่านแล้วก็น่าจะบอกได้หรือเปล่าว่าถูกน่ะ?” เสี่ยวเถียนถามอย่างลังเล
ได้ยินว่ามีการร่วมมือกันของโรงงานไฟฟ้าตงเฟิงและทางฝรั่งเศสเยอะเลย ต้องมีคนที่เข้าใจภาษาฝรั่งเศสแน่นอน แต่ว่าระดับภาษาอาจจะไม่ได้สูงนัก
หัวหน้าหลี่พยักหน้า มันก็เป็นวิธีแก้ปัญหาทางหนึ่งจริง ๆ นั่นแหละ
ที่โรงงานมีนักแปลสองคน และความสามารถก็มีจำกัด แปลได้แค่บทสนทนาทั่วไปเท่านั้น
“นักเรียนเสี่ยวซูพักก่อนเถอะ ดื่มน้ำสักหน่อย ฉันจะไปหาคนมาดูให้นะ ถ้าการแปลของเธอไม่มีปัญหา จะรีบให้เงินเธอทันที!”
เสี่ยวเถียนตอบรับ ก่อนอีกฝ่ายจะรีบวิ่งไปหาล่ามในโรงงาน ทิ้งให้เด็กหญิงนั่งอยู่ในสำนักงาน จิบน้ำไปพลางและรู้สึกเบื่อมาก
เขาน่าจะใช้เวลานานกว่าจะกลับมา เธอไม่อยากเสียเวลาจึงหยิบหนังสือจากระบบออกมาอ่าน ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา หัวหน้าหลี่กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
เสี่ยวเถียนอ่านหนังสืออย่างจริงจัง และนั่งอยู่ท่าเดิมนานว่าสี่สิบนาที
ก่อนจะยืนขึ้นเมื่อเห็นหัวหน้าหลี่เปิดประตู ทว่าร่างกายกลับแข็งทื่อไปหมด
อีกฝ่ายเห็นเด็กสาวเกือบเซล้มจึงรีบบอกทันที “นั่งเถอะ ๆ!”
อัจฉริยะเอ๋ย จะมายืนคุยกับเขาได้อย่างไรกัน?
“เป็นยังไงบ้างคะหัวหน้าหลี่? งานแปลของหนูมีปัญหาไหมคะ?” เสี่ยวเถียนนั่งลงพร้อมรับฟังความเห็น
อีกฝ่ายมองเธอด้วยสายตาที่ยากจะอธิบายได้
ไม่ใช่ว่ามีปัญหาหรอกนะ แต่จากที่นักแปลของเราบอกมา เด็กคนนี้แปลได้แม่นยำเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
แถมยังบอกว่าอีกหาคนแบบนี้ไม่ได้อีกแล้วด้วย
“นักเรียนซูเสี่ยวเถียน นี่คือค่าจ้างแปลงานของเธอ หนึ่งพันหยวน”
หัวหน้าหลี่หยิบเงินปึกหนาออกมากกระเป๋าเสื้อ
ถึงจะรู้ว่าจำนวนพันหยวนมันไม่ใช่น้อย ๆ ทว่าเมื่อเห็นเงินกองหนาก็รู้สึกหน้ามืดตามัวอยู่ดี
เพราะเงินพวกนี้กำลังจะกลายเป็นของเธอแล้ว
ประโยคที่บอกว่ามีบ้านทองคำอยู่ในหนังสือ เธอเชื่อแล้วว่ามันมีจริง ขอแค่ตั้งใจและใช้ความรู้ของตน จะต้องทำเงินได้มหาศาลแน่นอน
หัวหน้าหลี่ไม่ได้เมินเฉยประกายในดวงตาคู่นั้น เด็กคนนี้ซื่อสัตย์จริง ๆ
ใครบ้างไม่ชอบเงินน่ะ?
“หัวหน้าหนี่ ถ้าอย่างนั้นหนูขอรับไปนะคะ!” เสี่ยวเถียนยื่นมือออกไปรับเงินปึกใหญ่
“นักเรียนซูเสี่ยวเถียน หากมีเอกสารอื่นที่ต้องการแปลอีก ฉันจะมาหาเธอนะ สบายใจได้เลยว่า ถ้าแปลดี ราคาก็จะดีขึ้นไปด้วย!” เขายิ้มสดใสให้
เจอผู้มีพรสวรรค์ด้านการแปลทั้งที จากนี้ไปจะไม่เอื่อยเฉื่อยกับงานอีกแล้ว