เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 398 ต้องคิดให้ชัดเจน
บทที่ 398 ต้องคิดให้ชัดเจน
บทที่ 398 ต้องคิดให้ชัดเจน
หาได้ยากมากที่สามพี่น้องบ้านซูจะรวมตัวกันพูดคุยเรื่อยที่เกิดในในชุมชน พวกเขาปรึกษากันว่าจะตอบจดหมายกลับไปหาแม่อย่างไร แล้วควรส่งอาหารไปด้วยหรือเปล่า
ส่วนสะใภ้ทั้งสองไม่ได้รอให้พวกเขาคุยกันเสร็จ จึงชักชวนกันเข้าไปทำอาหารในครัว
“พี่สะใภ้ใหญ่ พี่บอกฉันหน่อยเรื่องที่แม่ซื้อบ้านเนี่ยมันเป็นยังไงกันแน่? อุตส่าห์เขียนจดหมายมาหาทั้งที แต่กลับไม่บอกอะไรให้ชัดเจนเลย”
หวังเซียงฮวากำลังซาวข้าว เธอเหลือบมองฉีเหลียงอิง “ฉันว่าแม่ไม่น่าจะซื้อบ้านหรอกนะ”
“ทำไมล่ะคะ?” ฉีเหลียงอิงถาม
“พ่อแม่มีเงินเท่าไรพวกเราไม่รู้หรือ? ตอนไปพวกท่านก็ไม่ได้พกเงินติดตัวไปมาก แถมยังเปิดร้านอาหารอีก ไม่น่าเหลือให้กินให้ดื่มด้วยซ้ำ!”
ฉีเหลียงอิงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดเช่นนี้
อันที่จริงเธอแค่จะหาพันธมิตร แต่ของของพ่อแม่คือของทุก ๆ คน ถ้าพวกเขาซื้อบ้านแล้ว ในอนาคตลูก ๆ ทั้งสามก็ต้องแบ่งกัน
“งั้นพี่คิดว่าใครเป็นเจ้าของบ้านคะ?” หัวใจของฉีเหลียงอิงรู้สึกเฉยชา
พี่สะใภ้ไม่ได้บอกว่าเป็นของพ่อแม่ งั้นบ้านที่ซื้อก็น่าจะไม่ใช่ของพวกท่าน
“ฉันว่าอาจจะเป็นของเสี่ยวเถียน เด็กคนนี้โชคดี เธอเองก็รู้ไม่ใช่หรือ”
ฉีเหลียงอิงยิ่งกระวนกระวายใจกว่าเดิม ของเสี่ยวเถียนหรือ งั้นก็ของบ้านสามไม่ใช่หรือไง? มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเรานี่
พอเห็นอีกฝ่ายไม่มีความสุข หวังเซียงฮวาก็เทข้าวสารลงในหม้อแล้วเติมน้ำ “อันที่จริงก่อนหน้านี้ก็เคยคิดไม่ใช่หรือว่าจะมีวันที่เราได้กินข้าวข้าว แป้งสาลี แล้วก็เนื้อน่ะ? สะใภ้รอง เธอฟังคำแนะนำฉันนะ มนุษย์เราต้องรู้จักพอ แล้วชีวิตจะง่ายขึ้น”
หวังเซียงฮวาก็กลัวเหมือนกันว่าบ้านเราจะเกิดปัญหา
ถ้าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ชีวิตจะดีขึ้นเอง แต่ถ้าฉีเหลียงอิงคิดเล็กคิดน้อยจนทำเรื่องไม่ดีขึ้นมา มันจะส่งผลต่อครอบครัวเราแน่
อีกฝ่ายยิ้มอย่างขมขื่น “พี่สะใภ้ ใช่ว่าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่พูดนะ เดิมทีครอบครัวทั้งสามบ้านก็เหมือนกัน แต่จู่ ๆ บ้านสามก็ดีขึ้น ฉันก็เลยรู้สึกไม่สบายใจ”
หวังเซียงฮวาหยุดมือ แล้วหันไปจ้องอีกฝ่ายนิ่ง ๆ
สะใภ้รองเป็นพวกคิดเล็กคิดน้อยในบรรดาสะใภ้ทั้งหมด แต่โชคดีที่มันมีแค่นี้เท่านั้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนสถานการณ์จะร้ายแรงขึ้น จะทำอย่างไรกันดี?
เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นสะใภ้ใหญ่ ควรจะพูดอะไรสักอย่าง
“สะใภ้รอง ที่บ้านเราดีขึ้นได้ไม่ใช่เพราะบ้านสามหรอกหรือ?”
เธอมองไปข้างนอก ก่อนจะลดเสียงลง “สมบัติที่เสี่ยวเถียนเจอบนเขาตอนนั้น พ่อแม่ก็บอกว่าในอนาคตจะแบ่งให้พวกเรา ไม่ต้องพูดอะไรมาก เธอคิดแบบนี้แล้วกัน มันจะมีสักกี่คนที่หาเงินไม่ได้น่ะ”
ทองคำเก่าแก่และมีค่าเลยนะ
ฉีเหลียงอิงจำได้ มันก็จริง สมบัติพวกนั้นพ่อแม่บอกว่ารอสถานการณ์บ้านเราดีขึ้นจะแบ่งให้ทุกคน
ตอนนี้ก็ดูเหมือนจะดีแล้วนะ คาดว่าอีกสองปีคงดีกว่านี้อีก พอถึงตอนนั้นเราก็จะมีสมบัติเป็นของตัวเอง ไม่ต้องกลัวเรื่องลูกชายแต่งงานแล้ว
“เธอคิดดูนะ ถ้าไม่มีเสี่ยวเถียนแล้วพวกเราจะได้ของดี ๆ แบบนี้ได้ยังไง? พวกเราเลยไม่พูดอะไรไงล่ะ งานของเธอ งานของฉัน ก็เป็นผลงานของเสี่ยวเถียนไม่ใช่หรือ?” หวังเซียงฮวาเกลี้ยกล่อมอย่างจริงจัง
“แต่ฉันก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดีค่ะ! อีกอย่างนะ ไม่ใช่ว่าไม่รู้นะว่าพ่อแม่รักเสี่ยวเถียนขนาดไหน!”
ที่กังวลขนาดนี้ก็เพราะเสี่ยวเถียนนั่นแหละ กอปรกับพ่อแม่ที่รักหลานสาวคนนี้มากกว่าใคร
ตอนยังเด็กก็ชอบเสี่ยวเถียนนั่นแหละ แต่พอโตขึ้นก็อดกังวลไม่ได้ ถ้าต้องแต่งงานสร้างเรือน ไม่รู้ว่าจะใช้เงินเยอะขนาดไหน
แล้วเงินขนาดนั้น จะให้เธอไปหามาจากไหน?
“เสี่ยวเถียนเป็นเด็กดี ถ้าเราไม่ได้ทำเรื่องผิดใจ หลานก็ไม่ได้มาอะไรกับเรานะ อีกอย่างเด็กมันก็อยู่กับพี่ ๆ เขา จากนี้ไปความสัมพันธ์พี่น้องจะดีขึ้นนะ”
“โดยเฉพาะซื่อเลี่ยงบ้านเธอ ความสัมพันธ์กับเสี่ยวเถียนดีมากเลย ดีกว่าอู่ร่างอีก”
พอพูดเรื่องนี้ หวังเซียงฮวาก็อิจฉานิดหน่อย ไม่รู้ทำไมสองพี่น้องคู่นี้ถึงสนิทกว่าคนอื่น ๆ
ฉีเหลียงอิงหัวเราะเมื่อพี่สะใภ้พูดต่อ “อีกอย่างนะ ยังมีเสี่ยวจิ่วอีก เขาเพิ่งจะอายุเท่าไรน่ะ? แต่ไม่คิดแข่งกับเสี่ยวเถียนเลย มีอะไรก็ให้น้องสาวหมด”
“เด็ก ๆ ดีกันก็ดีแล้ว พวกลูก ๆ รวมเป็นหนึ่ง มีอะไรต้องกลัวอีกล่ะ?”
“พี่สะใภ้พูดมีเหตุผลค่ะ” เธอยอมรับเลยว่าอีกฝ่ายพูดจามีเหตุผลมาก
พวกเด็ก ๆ สนิทสนมกันดี แล้วยังจะกลัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่ได้อีกหรือ? มีใครในชุมชนบ้างที่ไม่รู้ว่าชีวิตบ้านซูดีขนาดไหน ไม่ใช่เพราะพวกเรารวมกันเป็นหนึ่งหรือไง?
“อันที่จริงเรื่องบ้านหรือสิ่งของอะไรพวกนี้มีแต่ของนอกกายทั้งนั้น ความรู้สึกของคนเราต่างหากที่เป็นเรื่องจริง ต่อให้เจ้าของบ้านเป็นเสี่ยวเถียน แต่ถ้าเราไปก็ต้องนอนด้วยกันอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
ฉีเหลียงอิงขบขันจนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ความคิดก่อนหน้านี้หายไปทันที
“ฉันหลงทางอยู่พักนึงเลยนะ” เธอไม่ใช่พวกรู้ข้อผิดพลาดตัวเองแล้วไม่ยอมแก้ไข พอรู้ว่าความคิดตนไม่เหมาะสมก็แสดงความรู้สึกผิดทันที
ในขณะเดียวกัน พวกเสี่ยวเถียนกำลังปรึกษาเรื่องการเข้าไปอยู่ในบ้านใหม่
เรือนสี่ประสานมีเรือนหน้าและเรือนหลัง รวมเป็นสองหลัง เยอะกว่าบ้านที่หงซินเสียอีก ถ้าคิดไม่รอบคอบมันจะไม่พอเอาน่ะสิ
พวกหลานชายก็โตขึ้นแล้ว อีกสองปีจะต้องแต่งงาน พอถึงตอนนั้นจะไม่สามารถอยู่กับน้อง ๆ ได้ แล้วก็ต้องการบ้านด้วย
แต่บ้านหลังนี้เป็นของเสี่ยวเถียน คุณย่าซูอายเกินกว่าจะเอ่ยปากขอให้พวกหลานชายกันคนละห้อง
เสี่ยวเถียนเข้าใจความคิดของหญิงชรา
“คุณย่า หนูรู้ว่าย่าคิดอะไร หลังจากนี้พวกพี่ ๆ ต้องแต่งงาน แต่พอถึงตอนนั้น มันจะเกิดอะไรขึ้นเราก็ไม่รู้”
พวกพี่ ๆ จะได้ทำงานที่ไหน อันที่จริงเธอก็คิดอยู่ แต่ไม่อยากรีบคิดเกินไป
บางเรื่องก็ไม่มีประโยชน์ที่คิดไว้ก่อน ต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม
คุณย่าซูคิดว่าหลานพูดถูก
“ปู่กับย่าอยู่เรือนหลักนะคะ ข้างเรือนหลักฝั่งตะวันออกให้แม่อยู่ ส่วนฝั่งตะวันตกหนูอยู่เองค่ะ พวกพี่ ๆ ก็อยู่ที่เรือนตะวันออกกับตะวันตกไปค่ะ”
“แต่ละห้องก็จับคู่เป็นพี่ใหญ่กับพี่เก้า พี่รองกับพี่แปด พี่สามกับพี่เจ็ด และพี่สี่กับพี่หก ปกติพวกพี่ ๆ ไม่ได้กลับบ้านอยู่แล้ว ก็เหมือนอยู่คนเดียวไป ส่วนหนูอยู่คนเดียวค่ะ”
“ห้องที่เหลือก็ตกแต่งสักหน่อย ถ้าเกิดว่าป้าเถาฮวา ปู่ฉือ หรือคนอื่น ๆ มาตอนเย็นก็จะได้มาพักได้ หรือพ่อใหญ่กับพ่อรองมาก็อยู่ได้เหมือนกันค่ะ”
คุณย่าซูพอใจมากกับแผนการที่เสี่ยวเถียนคิดอย่างรอบคอบมาก ถึงจะเป็นบ้านของเธอ แต่ก็ยังไม่ลืมสมาชิกที่เหลือ
ที่คุณย่าซูรักเสี่ยวเถียนมันคือเรื่องจริงนะ และหวังว่าคนในบ้านจะสามัคคีกันอย่างจริงใจด้วย!