เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 401 โดนหมายหัว
บทที่ 401 โดนหมายหัว
บทที่ 401 โดนหมายหัว
“ขอบคุณค่ะหัวหน้าหลี่ หนูรู้ขอบเขตดีค่ะ!” เสี่ยวเถียนยิ้มบาง ทำให้คนมองรู้สึกสบายใจ
การที่เจ้าตัวเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน เสี่ยวเถียนก็ขอบคุณมากแล้ว ความจริงความสัมพันธ์ของเราไม่ได้ดีขนาดนั้น แต่การที่อีกฝ่ายพูดออกมาก็พิสูจน์ได้แล้วว่าเขาเป็นคนดีทีเดียว
หัวหน้าหลี่มองท่าทางที่แสนมั่นใจของเด็กตรงหน้า ก่อนพยักหน้าช้า ๆ
เขาชื่นชมเธอมาก ชื่นชมจากใจเลยจริง ๆ
ได้ยินว่าเธอจากตะวันตกเฉียงเหนือมาที่เมืองหลวง และยังได้ยินอีกว่าครอบครัวเธอเป็นคนชนบท
เขาไม่รู้หรอกว่าที่นั่นเป็นอย่างไร แต่เคยได้ยินมานานแล้วว่าสภาพความเป็นอยู่ไม่ค่อยดีนัก
ในความคิดของเขาคือ เด็กที่มาจากครอบครัวฐานะยากจนมักจะมีความมั่นใจในตัวเองต่ำ
แต่เด็กตรงหน้าไม่มีท่าทางแบบนั้นสักนิด ตรงกันข้าม เธอกลับดูมีความมั่นใจสูงมาก แล้วยังพยายามหาเงินด้วยตัวเองเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตที่บ้านอีก
สิ่งนี้ล่ะที่ทำให้หัวหน้าหลี่ชื่นชม
ถึงจะเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง แต่เขาชื่นชมเธอมากจริง ๆ
“เด็กดี ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาหาฉันที่โรงงานได้เสมอเลยนะ ถ้าฉันไม่อยู่ก็ส่งเรื่องไว้ก็ได้!”
หัวหน้าหลี่แสดงความเอาใจใส่ในทันที
ตอนยังหนุ่มก็ได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นเหมือนกัน และยินดีที่จะสานต่อความเมตตานี้ต่อไปด้วย
ตอนนี้ช่วยเด็กคนนี้เอาไว้ อนาคตข้างหน้าเธออาจจะสานต่อความเมตตาก็ได้นะ?
ได้รับความจริงใจเช่นนี้ เสี่ยวเถียนก็ไม่ปฏิเสธ หลังจากขอบคุณด้วยรอยยยิ้มก็อำลาแล้วออกจากโรงงานไป
เด็กสาวหมดกังวล พอคิดว่าตัวเองจะทำเงินมหาศาลได้ในไม่ช้า เธอก็เดินไปอย่างมีความสุข และอดกระโดดโลดเต้นไม่ได้
หัวหน้าหลี่มองร่างที่มีชีวิตชีวาเดินจากไป อดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง ตอนนั้นเองที่มีลูกน้องหนุ่มเดินผ่านมาเห็น
เขายิ้ม “หัวหน้าหลี่มองอะไรอยู่หรือครับ? เหมือนคุณพึมพำอะไรด้วยนะ!”
หัวหน้าหลี่มองอีกฝ่าย “คุณจะเข้าใจหรือเปล่านะ? เด็กที่ไม่ได้ลำบากมาตั้งแต่แรกจะเข้าใจความลำบากของคนชนชั้นล่างหรือ”
ตอนนั้นหัวหน้าหลี่ไม่รู้หรอกว่าคนชนชั้นล่างที่เขาว่ากำลังเตรียมจะซื้ออสังหาริมทรัพย์อย่างที่สองแล้ว
ชายหนุ่มถูจมูก แล้วมองไปยังทิศทางสายตาคู่นั้น
ที่แท้ก็เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง สาวน้อยแบบไหนที่ทำให้หัวหน้าหลี่แสดงอารมณ์ออกมาแบบนี้นะ?
เดี๋ยวก่อน ๆ ได้ยินว่ามีเด็กสาวคนหนึ่งรู้ภาษาฝรั่งเศส แถมเก่งมากเลยด้วย เอกสารรอบก่อนก็ได้เธอแปลให้ ไม่น่าใช่คนนั้นหรือเปล่า?
“หัวหน้าหลี่ เด็กผู้หญิงคนนั้นใช่คนที่เชี่ยวชาญภาษาฝรั่งเศสหรือเปล่าครับ?” ชายหนุ่มมองแผ่นหลังและถามด้วยความไม่เชื่อ
ได้ยินว่าเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง แต่ไม่คิดว่าจะใช่จริง ๆ เดิมทีก็คิดว่าน่าจะอายุราว ๆ สิบสี่สิบห้า
แต่มองจากด้านหลังเหมือนจะอายุไม่ถึงสิบสองปีเลยนะ?
ใครก็ได้มาบอกเขาทีว่าเด็กสมัยนี้เก่งขนาดนี้เลยหรือ?
อายุไม่กี่สิบปีก็แปลเอกสารเฉพาะทางได้แล้ว?
กะไม่ให้อยู่รอดกันเลยหรือ?
โอ๊ะ ไม่สิ!
กะไม่ให้ล่ามในสำนักงานมีชีวิตกันเลยหรือ? ล่ามโรงงานไฟฟ้าตงเฟิงของเรายังไม่ดีเท่าเธอเลยนะ!
“ก็เธอนั่นแหละ” หัวหน้าหลี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เป็นสาวน้อยที่ยอดเยี่ยมมากเลย!”
“ครั้งหน้าที่เรามีการเจรจาต่อรองกับทางนั้น เราพาสาวน้อยคนนี้มาเป็นล่ามดีไหมครับ?” ชายหนุ่มนึกคำถามสำคัญขึ้นได้
ล่ามโรงงานเราไม่เก่งเท่าไร ทุกครั้งที่ต้องออกงานยังทำงานมีช่องโหว่อยู่ ถ้ามีคนเชี่ยวชาญภาษาฝรั่งเศส การเจรจาจะราบรื่นขึ้นมาก
หัวหน้าหลี่ลูบคางพลางคิด และรู้สึกว่ามันเป็นไปได้
“ได้สิ เดี๋ยวฉันปรึกษากับสาวน้อยดูว่าจะมาทำงานให้ได้หรือเปล่า”
สาวน้อยต้องไปโรงเรียน และอาจจะต้องหยุดเรียนเพื่อมาเป็นล่าม ถึงตัวเธอจะยินยอม แต่ทางบ้านไม่น่าจะเห็นด้วย
และอีกอย่างตอนที่หัวหน้าหลี่พูดเช่นนี้ ในใจก็ยังมีข้อขัดแย้งอยู่
เพราะเธอยังเด็กเกินไป
ถ้าอีกฝ่ายเห็นเด็กตัวเท่านี้มาเป็นล่าม จะดูถูกดูแคลนเอาได้หรือเปล่า? แต่หลังจากคิดถึงความสามารถของเสี่ยวเถียนแล้ว เขาพลันโล่งใจ
ขอแค่ที่บ้านของเด็กสาวยินยอม อย่างอื่นก็ไม่เป็นปัญหาแล้ว ในช่วงคับขันแบบนี้ความสามารถเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด!
“เจ้าหนุ่ม เธอคิดได้ดีนะ!” หัวหน้าหลี่เอ่ยปากชมอย่างไม่ลังเล
ชายหนุ่มที่ได้รับคำชมดีใจจนแทบกระโดดตัวลอย
ได้รับคำชมจากหัวหน้าแถมยังไม่ต้องลงแรงลงใจในการทำงานด้วย เป็นโอกาสที่หาได้ยากมากจริง ๆ!
ต้องไปคุยกับเสี่ยวเถียน
หลังจากออกจากโรงงานมาได้ระยะหนึ่ง เสี่ยวเถียนรู้สึกถึงความผิดปกติ
เด็กหญิงรู้ตัวได้ทันทีว่ามีคนกำลังเดินตามเธออยู่
มันแต่มันก็แค่ความสงสัย ในตอนที่ไม่ได้ตั้งใจจะหันกลับไปมองก็ไม่เห็นใครสักคน
เธอจงใจเดินอ้อมไปช้า ๆ เดินเร็วสลับช้า จากนั้นก็หมุนตัวมุ่งหน้าไปทางโรงงานไฟฟ้าตงเฟิง
คุณลุงเฝ้าประตูจำเสี่ยวเถียนได้ พอเห็นเธอก็แปลกใจมากที่เด็กหญิงกลับมาอย่างกะทันหัน
แต่ไม่คิดว่าเสี่ยวเถียนจะพูดเรื่องอื่นกับเขาแล้วจากไปอีกครั้ง พอทำแบบนี้เธอก็ยืนยันได้ว่ามีคนตามมาหลายคน
จากที่สังเกต เธอรู้สึกว่าน่าจะเป็นพวกอันธพาล
คนแบบนี้เป็นพวกที่วัน ๆ ไม่คิดจะทำอะไร คิดแต่จะสร้างปัญหาให้สังคม แล้วการที่ตามเธอมาแบบนี้แสดงว่าต้องมีเจตนาไม่ดีแน่ ๆ
เธอสงสัยว่าเรื่องที่เธอทำงานหาเงินกับโรงงานแห่งนี้มันแพร่ออกไปหรือเปล่า
คนพวกนี้เลยเห็นและจงใจจะมาปล้นเธอใช่ไหม?
เพราะเธอเป็นเด็กสาวที่ถือเงินมากกว่าพันหยวน ไม่ได้ต่างอะไรไปจากตุ๊กตาทองคำเลย
เพื่อให้ได้รู้จุดประสงค์ของพวกมัน เสี่ยวเถียนขึ้นรถประจำทางอย่างกล้าหาญ
รถคันนี้มันไม่ได้วิ่งไปทางกลับบ้านของเธอ แต่มันมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่แถบชานเมือง เป็นรถประจำทางที่ไปไกลที่สุดของเมืองหลวง
เพราะมีคนที่คาดว่าน่าจะตามเธอ เช่นนั้นก็รู้ชัดแล้วว่ารอบตัวเธออาจจะมีภัยคุกคาม
วิธีเดียวที่จะกำจัดมันได้คือ ต้องจัดการมันทันที อย่ารอให้มันแทรกแซงเข้ามาแล้วทิ้งปัญหาเอาไว้
นี่คือวิธีที่เสี่ยวเถียนทำบ่อย ๆ
คนที่หมายหัวเสี่ยวเถียนเอาไว้รีบตามขึ้นมา
อันที่จริงคนพวกนี้ก็สงสัยว่าทำไมเสี่ยวเถียนถึงขึ้นรถออกไปชานเมือง แต่พวกเขาไม่ได้คิดอะไรมาก เด็กตัวคนเดียวเดินทางไปชานเมืองแบบนี้ง่ายต่อการจัดการมาก
เสี่ยวเถียนที่ขึ้นรถมาก่อนลอบสังเกตทางด้านหลัง
พอสังเกตดูดี ๆ เหมือนจะไม่ใช่น้อย ๆ มีตั้งหกคน!
ทำไมถึงแน่ใจว่าหกคนน่ะหรือ?
เพราะท่าทางของพวกเขาดูไม่ใช่คนดีอะไร แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกอันธพาล
อีกอย่างนะ หลังจากที่หกคนนั้นขึ้นรถมาแล้วก็มองมาทางเธอทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ
และบางครั้งยังมองหน้ากันด้วย
แม้ว่าช่วงเวลาจะสั้นมาก แต่เสี่ยวเถียนก็สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน
เธอเริ่มคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงไหมที่จะจัดการคนหกคนได้ด้วยตัวคนเดียว
ด้วยความสามารถของเธอแล้ว ต่อให้มันมีโอกาสสำเร็จมาก แต่ก็มีความเสี่ยงที่ยากจะคาดเดาด้วย เสี่ยวเถียนไม่ใช่คนที่จะทำให้ตัวเองตกที่นั่งลำบาก
เสี่ยวเถียนนั่งอยู่ในมุมรถประจำทาง และใช้ประโยชน์จากจุดบอดรีบซื้อบะหมี่พริกป่นหนึ่งชามจากระบบร้านค้าออกมาแล้วเก็บใส่กระเป๋า
อย่าดูถูกพริกป่นเชียวนะ ถ้าเจอจังหวะเหมาะ ๆ พอให้คนพวกนี้รับมือยากด้วยนะ
หลังจากเตรียมการเสร็จ ผู้โดยสารบนรถก็น้อยลงทุกที ก่อนจะแล่นรถอย่างโคลงเคลงไปยังชานเมือง
ตอนนี้คนบนรถเหลือสิบกว่าคน
ซูเสี่ยวเถียนมองวิวทิวทัศน์ มันรกร้างมากพอสมควร สถานที่แบบนี้แหละเหมาะที่จะกำจัดคนพวกนี้เลย