เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 46 ซื่อสัตย์ต่อตนเองหน่อย
บทที่ 46 ซื่อสัตย์ต่อตนเองหน่อย
บทที่ 46 ซื่อสัตย์ต่อตนเองหน่อย
ไม่รอให้ซูเสี่ยวเถียนได้ให้ความกระจ่างว่าเป็นจดหมายอะไร ดวงตาพลันเห็นคนสองสามคนหอบของบางอย่างออกมา
สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจคือตั๋วกับเงินพวกนั้นที่ใส่ไว้ในกล่อง รวมถึงก้อนทองคำที่ซ่อนเอาไว้ไม่ถูกค้นเจอ
ปฏิกิริยาแรกคือซูเสี่ยวเถียนคิดว่าถูกคนอื่นเอาไปซ่อนแล้วหรือเปล่า?
มีทั้งเงินทั้งตั๋ว ใครบ้างจะไม่ใจเต้นกัน!
ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกเจ็บปวดเมื่อคิดว่าพวกมันหายไปแล้ว แต่ก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้น
ในเมื่อตอนนี้ไม่ถูกค้นเจอ หลังจากนี้ก็จะไม่ปรากฏออกมาอีกแน่นอน
แต่จะต้องผ่านความยากลำบากตรงนี้ไปให้ได้เสียก่อน ถึงเงินกับตั๋วจะไม่มีแล้ว ทว่าหลังจากนี้เธอจะได้รับอีก แค่นั้นก็เพียงพอแล้วล่ะ
“เจ้าหน้าที่หลิวครับ ท่านดูสิ บ้านหลังนี้มีของดีจริง ๆ ด้วย”
คนที่เก็บของพวกนี้ได้พูดอย่างภาคภูมิใจ ครั้นมองไปยังเจ้าหน้าที่หลิว มันเต็มไปด้วยการขอความดีความชอบ
“มันไม่มีอะไรใช่ไหมล่ะ?” ซูฉางจิ่วว่า “คนทำไร่เขาทำตลอดทั้งปีก็มีของประมาณนี้ละ…”
เสียงของเขาแผ่วลงเรื่อย ๆ ยามโดนสายตาเย็นชาของเจ้าหน้าที่หลิว และในที่สุดก็หายไปจากริมฝีปาก
สภาพความเป็นอยู่ของตระกูลซูดีกว่าคนอื่นในชุมชนเล็กน้อย แต่ก็ไม่นับว่าแย่จนเกินไป
ทว่าเจ้าหน้าที่หลิวไม่ยอมให้เขาพูดแบบนี้!
“หัวหน้าซู คุณต้องยึดมั่นในตำแหน่งลูกจ้าง (ชนชั้นกรรมาชีพ) ของตัวเองซี่ ของดี ๆ แบบนี้มีราคามหาศาล คุณว่าครอบครัวเกษตรกรควรมีไหม? อย่างน้ำตาลทรายขาวเนี่ย พวกเราทำงานมาทั้งปี ยังไม่เคยเห็นใครทำได้สองจินเลย แต่ดูสิบ้านนี้สิ เขามีสองจินเลยนะ”
เจ้าหน้าที่หลิวมองของพวกนั้นด้วยแววตาเป็นประกาย
เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่ครอบครัวชาวนาจะใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งเช่นนี้ ทั้งยังดีกว่าครอบครัวเขาอีก
ครั้นได้ยินเจ้าหน้าที่หลิวพูดออกมา ซูเสี่ยวเถียนก็อดกลอกตาไม่ได้ นี่มันอะไรกัน?
หรือการที่พวกเธอมีกินมีใช้เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง?
แล้วเราสมควรมีชีวิตที่ยากจนข้นแค้นหรือไง?
“คุณลุงหมายถึงว่าคนทำไร่ไม่สมควรกินน้ำตาลทรายขาวเหรอคะ?” เสียงนุ่ม ๆ ของซูเสี่ยวเถียนดังขึ้นทันใด “ประเทศจีนใหม่สถาปนาขึ้นแล้ว พวกเราชาวไร่ชาวนาเป็นผู้บริหารประเทศ!”
คำพูดของเธอดูเหมือนจะเป็นคำถามที่โง่เง่ามาก แต่มันสื่อความหมายบางอย่าง
เพราะประโยคนี้ทำให้สีหน้าของเจ้าหน้าที่หลิวดูแย่ไม่น้อย
เขาพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไร?
เขาเพิ่งบอกว่าน้ำตาลทรายขาวมันหายากต่างหาก!
แล้วสาวน้อยคนนี้พูดออกมาได้อย่างไรกัน? ต้องเป็นพวกผู้ใหญ่ที่สอนแน่
เขาหันไปมองซู่เหลาซานที่ยืนอยู่ข้างซูเสี่ยวเถียนทันที
เมื่อครู่ ผู้ชายคนนี้เพิ่งคุยกับเด็กผู้หญิง ต้องเป็นเขาที่เป็นคนสอนแน่
“เธอเป็นเด็กจะไปเข้าใจอะไร? แล้วใครสั่งใครสอนให้พูดจาแบบนี้?” เจ้าหน้าที่หลิวถามอย่างโกรธเคือง
“ทำไมต้องมีคนสอนหนูด้วยล่ะคะคุณลุง? หนูแค่ถามเพราะหนูไม่เข้าใจ หนูยังได้ยินคนพูดว่าสตรีก็แบกรับฟ้าไว้ครึ่งหนึ่ง คุณลุงจะเลือกปฏิบัติกับเด็กผู้หญิงไม่ได้นะ!” ความกล้าหาญของซูเสี่ยวเถียนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนที่พูดออกไปเธอมั่นใจมาก เพราะไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังไม่สบายใจอยู่
จดหมายฉบับนั้นอาจช่วยชีวิตคนในครอบครัวได้ แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจแล้วว่ามันถูกคนทำลายไปหรือยัง!
ไม่มีใครในตระกูลซูส่งเสียงเลย พวกเขาไม่สามารถพูดเรื่องพวกนี้ได้ แต่เสี่ยวเถียนเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ว่าอะไรก็จะพูดออกมา
ต่อให้เจ้าหน้าที่หลิวจะไม่พอใจ แต่มันไม่ง่ายที่จะลงมือกับเด็กคนนี้อยู่แล้ว
“หัวหน้าซู คนในตระกูลนี้แย่เหลือเกิน เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ กล้าสู้กับฉันด้วย แต่ฉันเป็นตัวแทนของชุมชนใหญ่นะ ชุมชนใหญ่!” เจ้าหน้าที่หลิวกล่าวอย่างบ้าคลั่ง
“เจ้าหน้าที่หลิว เธอเป็นแค่เด็กเอง แต่เพราะถูกทำให้กลัวและสับสนต่างหากล่ะ คุณเป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่าทำตัวเป็นเหมือนเด็ก ๆ ซี่!”
ซูฉางจิ่วตระหนกตกใจ กลัวเจ้าหน้าที่หลิวจะลงมือกับซูเสี่ยวเถียนขึ้นมา
เสี่ยวเถียนคนนี้ถูกครอบครัวเลี้ยงดูอย่างตามใจ เขาทนไม่ไหวจนชี้นิ้วใส่
“เด็กไม่รู้เรื่อง ผู้ใหญ่ก็ไม่รู้ด้วยหรือไง?” เจ้าหน้าที่หลิวตะคอกใส่ซูฉางจิ่วที่ตัดสินใจจะปกป้องตระกูลซู “เสี่ยวจู้ แกพาสองคนนั้นไปท้ายหมู่บ้านซะ ให้รู้กันไปเลยว่าครอบครัวนี้มันมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า!”
หัวใจของซูเสี่ยวเถียนบีบรัดอีกครั้ง แต่เธอไม่สามารถหยุดได้จึงทำได้เพียงยืนขึ้นแล้วมองไปยังเจ้าหน้าที่หลิวอย่างแน่วแน่
อีกฝ่ายพูดอย่างภาคภูมิใจ “สาวน้อย บอกหน่อยสิว่าครอบครัวหนูกับคนบ้านนั้นเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า”
“ที่นั่นไม่สนุกมั้งคะ?” ซูเสี่ยวเถียนส่ายหัว
เธอพูดเพียงประโยคเดียวเพื่อแสดงทัศนคติให้ชัดเจน แต่หลังจากที่คิดอย่างรอบคอบแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
“สาวน้อย ถ้าหนูบอกว่า พวกคุณปู่คุณพ่อติดต่อกับคนฝั่งนั้นอย่างไร ฉันจะให้ลูกกวาดหนูกินนะ!”
สีหน้าของคนในบริเวณเปลี่ยนไป พวกเขาเคยเห็นคนหน้าด้าน แต่ไม่เคยเห็นใครหน้าด้านแบบนี้มาก่อนจริง ๆ มาล่อใจเด็กด้วยลูกกวาดเนี่ย
หลายคนเริ่มกังวล หากซูเสี่ยวเถียนไม่อดทนต่อของล่อใจแล้วพูดอะไรออกไปให้เขาจับได้ ตระกูลซูคงจบเห่จริง ๆ
คนในชุมชนการผลิตหลายคนมองซูเสี่ยวเถียนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะอดใจไม่ไหว
“คุณลุงจะให้ลูกอม” ซูเสี่ยวเถียนส่ายหัว “คุณลุงให้ตั๋วลูกกวาดแล้ว คุณปู่บอกว่าจะซื้อลูกกวาดให้เสี่ยวเถียนกิน”
ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่ซูเสี่ยวเถียนพูด คุณปู่ให้ลูกกวาดแล้วคืออะไร และคุณปู่บอกว่าซื้อลูกกวาดให้เสี่ยวเถียนคืออะไร?
เจ้าหน้าที่หลิวมองไปยังคุณปู่ซูที่ตัวสั่นเทา ก่อนพูดเยาะเย้ย “แล้วปู่ให้ลูกกวาดกินไหม? สาวน้อย ปู่หนูไม่มีลูกกวาดหรอก”
“คุณลุงมีลูกกวาด!” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวอย่างมั่นใจ
ซูฉางจิ่วเข้าใจทันทีว่าเด็กผู้หญิงคนนี้กำลังพูดถึงหัวหน้ามฌฑล
ซูเสี่ยวเถียนต้องรู้แน่ ดูเหมือนหัวหน้าคนนั้นคงเคยพูดอะไรบางอย่าง
“เจ้าหน้าที่หลิว ทำไมเราไม่ไปตรวจสอบกันสักหน่อยล่ะว่าซูชวนกับหัวหน้ามฌฑลมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร เผื่อว่า…”
เจ้าหน้าที่หลิวไม่เชื่อ พูดจาไร้สาระนัก ถ้ามีคนคนนั้นอยู่ที่มฌฑลจริง ๆ ทำไมถึงไม่มาดูตาแก่นี่สักหน่อยเล่า?
ครอบครัวนี้ต้องมีอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ ที่ไม่อยากให้ใครรู้แน่ ถึงได้สร้างเรื่องว่ามีคนหนุนหลังออกมา
คิดว่าเขาเป็นคนโง่เขลาสินะ? ถึงจะเชื่อเรื่องพวกนี้
“ดูสิ ยังจะพูดว่าไม่มีอะไรอีก เป็นเด็กเป็นเล็กทำไมพูดโกหก แล้วคุณลุงที่อยู่ในเมืองทำงานเป็นอะไรล่ะ? มีใครพิสูจน์ได้บ้าง?”
“เถียนเถียนน้อยไม่ได้พูดโกหก ไม่มีใครพูดโกหก คุณปู่คะ คุณลุงหัวหน้าชุมชนคะ น้องเถียนไม่ได้โกหกนะ” ซูเสี่ยวเถียนส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ
คุณปู่ซูทนที่หลานสาวน้อยใจไม่ได้จึงเอื้อมมือออกไปโอบกอดเธอไว้
“ซูชวน ซื่อสัตย์หน่อยเถอะ คุณกับคนพวกนั้นเกี่ยวข้องอะไรกันแน่?”
คุณปู่ซูยังคงส่ายหัว “ไม่มีอะไรเลย ก็แค่คนที่มาอาศัยอยู่ในชุมชนการผลิต พบกันอยู่สองครั้งเอง!”
พูดได้ว่าที่ชุมชนการผลิตแห่งนี้กับคนที่คอกวัวมีคนไปมาหาสู่กันน้อยครั้ง แต่ก็มีหลายครอบครัวที่ส่งอาหารให้ รวมถึงซูฉางจิ่วด้วย
เพราะอย่างนั้นคุณปู่ซูจึงไม่รู้ว่า สรุปแล้วเป็นใครที่ทำให้เรื่องดีกลายเป็นแย่ เอาไปรายงานแบบนี้
ชีวิตของอาจารย์ฉือลำบากลำเค็ญ แต่หลังจากนี้เกรงว่าจะยากยิ่งขึ้นไปอีก
ถึงคนบางคนในชุมชนการผลิตจะใจดีและยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ แต่หลังจากนี้คงไม่มีใครเข้าไปวุ่นวายอีกแล้ว
เพราะไอ้เลวนั่นที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้!
ไม่รอให้คุณปู่ซูกังวลเรื่องของอาจารย์ฉือ ก็ได้ยินสิ่งที่ทำให้ดวงตาเขาเบิกโพลง