เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 468 สิ่งที่อยู่ในใจของฉืออี้หย่วน
บทที่ 468 สิ่งที่อยู่ในใจของฉืออี้หย่วน
บทที่ 468 สิ่งที่อยู่ในใจของฉืออี้หย่วน
เสี่ยวเถียนไม่รู้ว่ามีกี่คนที่กระทบกระทั่งกันจนเกิดประกายไฟ เพราะเธอมัวแต่มีความสุขอยู่
กิ๊บตัวนี้ดูดีจริง ๆ นะ อันอื่นที่ขายกันข้างนอกก็ไร้คุณภาพเหมือนกันนั่นแหละ ไม่ได้ประณีตเท่าอันนี้เลย
ถึงจะทำจากพลาสติกเหมือนกัน แต่เห็นได้จากฝีมือเลยว่าเป็นสินค้าคุณภาพสูงแน่นอน
เธอเคยเห็นกิ๊บแบบนี้ในห้างโหย่วอี้*[1] มาก่อนนะ อันละสิบหยวนเลย
ต่อให้เป็นเธอก็ลังเลที่จะซื้ออยู่ดี
ไม่รู้ว่าพี่อี้หย่วนเก็บเงินซื้อกิ๊บตัวนี้มานานขนาดไหน
อันที่จริงคุณย่าซูก็แค่พูดลอย ๆ เท่านั้น ก่อนจะชมเสี่ยวเถียนแล้วบอกอีกว่ากิ๊บสวยมาก กลับไปจะไปซื้อให้อีกหลาย ๆ อัน
เสี่ยวเถียนเปลี่ยนเรื่องทันที เธอไม่กล้าบอกย่าเลยว่ามันแพงมาก
ไม่งั้นย่าอกแตกตายแน่ ๆ!
อันละสิบกว่าหยวน ย่าคงจะบอกว่าพี่เขาโง่หรือเปล่านะ?
อาจจะเทศน์อีกนานเลยก็ได้ เช่น เรื่องประหยัดเงินอะไรทำนองนี้
เราไม่ได้มีกฎห้ามคุยเวลากินข้าว เพราะงั้นช่วงมื้ออาหารจึงนั่งพูดคุยกัน
มีแค่เสี่ยวเหมยที่นั่งเหม่อ เอาแต่สนใจข้าว ไม่สนใจอาหารอร่อย ๆ เลย
มีโส่วเวินผู้เป็นพี่ชายและเสี่ยวลิ่วที่คอยตักอาหารให้ ไม่งั้นสาวเจ้าคงจะกินแต่ข้าวเปล่าจนหมดถ้วย
ขณะที่กินข้าวใกล้เสร็จ คุณปู่ซูเอ่ยขึ้นว่าได้รับสายโทรศัพท์จากเหล่าซาน
ทุกคนตื่นเต้นกันมากเมื่อทราบข่าว
โดยเฉพาะเหลียงซิ่ว สองสามีภรรยาที่พลัดพรากจากกันมานานจะต้องคิดถึงกันและกันแน่
“ดีเลยค่ะ ไว้พ่อมาเมื่อไรค่อยพาไปหาลุงฮั่ว…เอ่อ พี่ฮั่วแล้วกัน จะได้ให้พาพ่อไปทำงานกับเพื่อนร่วมรบของเขา”
เสี่ยวเถียนมีความสุขมากที่ถึงเวลารวมตัวกันของครอบครัวเราเสียที
แต่คนอื่น ๆ สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
ถึงพ่อสามจะเข้าเมืองมาแล้วก็จริง แต่พ่อแม่พวกเขาไม่ได้มาด้วย
“เหล่าต้ากับเหล่าเอ้อร์ไม่มาด้วยหรือ?” คุณย่าซูถาม
คุณปู่ซูส่ายหัว “เหล่าซานไม่ได้พูด เลยไม่รู้ว่าเป็นยังไงกันต่อ ค่าโทรศัพท์แพงด้วย ไว้มาค่อยถามแล้วกัน”
คุณย่าซูก็คิดเหมือนกัน โทรศัพท์มีประโยชน์มาก แต่ค่าโทรแพงเกินไป ถ้าไม่ระวังจะเสียหลายหยวนเลย
เสี่ยวเถียนรอบคอบอยู่แล้ว เธอจึงมองออกว่าพวกพี่เก้ากำลังรู้สึกไม่ดี จึงรีบปลอบ
“พี่ ๆ ไม่ต้องเสียใจไปนะคะ พ่อกับแม่เขางานยุ่ง เดี๋ยวรอวันหยุดแล้วเรากลับไปหาพวกเขากันนะ”
คุณปู่คุณย่าซูก็รีบพูดต่อ “ใช่แล้ว ไว้หยุดเมื่อไรพวกเรากลับไปฉลองปีใหม่ที่นั่นกัน”
เด็ก ๆ มีความสุขกันมาก ทว่าสีหน้าของฉืออี้หย่วนกลับมืดมนกว่าเดิม
คนที่ไม่ได้เจอพ่อกับแม่มาหลายปีไม่ได้มีแค่เด็กบ้านซู เขาเองก็เช่นกัน
เขารู้ว่ามีหลายคนกลับมาจากต่างประเทศแล้ว แต่ทำไมถึงไม่มีข่าวคราวพ่อกับแม่เลยล่ะ?
และแม้คุณปู่จะพูดว่ามีข่าวของพวกเขา แต่มันก็ส่งมาจากปากของคนอื่น ไม่ใช่ส่งมาหาพวกเราตรง ๆ
ฉือเก๋อที่อ่านความคิดออกก็พลันรู้สึกหนักใจ
ไม่รู้ว่าสามีภรรยาคู่นั้นคิดอะไรอยู่ หลายปีที่จากไปไม่คิดถึงลูกบ้างเลยหรือ?
ชายชรากระซิบ “เสี่ยวหย่วนไม่ต้องเสียใจไปนะ ต่างประเทศอยู่ไกล เดี๋ยวพวกเขาก็กลับมาแล้ว”
ฉืออี้หย่วนไม่อยากให้ความรู้สึกของตนส่งผลกระทบต่อคนอื่น ๆ จึงรีบยิ้มทันที “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมโตแล้ว!”
ใช่ เขาโตแล้ว และเลยวัยที่ต้องอยู่ร่วมกับพ่อแม่แล้ว
เพราะในช่วงเวลาที่ต้องการพวกเขามากที่สุด กลับไม่มีพวกท่านอยู่ข้างกาย!
ไม่มีใครรู้หรอกว่าตอนเขาอยู่หงซิน เขายังอิจฉาพวกเด็ก ๆ ที่มีพ่อแม่เลย ต่อให้พวกเขาจะโดนทุบตีก็ตาม
เหลียงซิ่วได้ยินการสนทนาของสองปู่หลาน แววตาเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ
เด็กคนนี้นับว่าเป็นคนที่เธอเฝ้าดูเขาเติบโตมาเหมือนกัน และตอนนี้กำลังเสียใจอย่างมาก
“เสี่ยวหย่วน ก่อนที่พ่อแม่ของเธอจะกลับมา ถือว่าฉันเป็นแม่ของเธอก็ได้นะ มีเรื่องอะไรก็บอกกันได้”
เหลียงซิ่วเอ่ยตามจิตใต้สำนึก
เสี่ยวปาแปลกใจที่แม่พูดเช่นนี้
น้องโดยขโมยไม่พอ แม่ยังโดนขโมยไปอีกหรือ?
แต่จะบอกไม่ยินยอมได้ไหมล่ะ?
เหมือนจะไม่ได้นะ!
ช่างเถอะ ฉืออี้หย่วนเองก็น่าสงสาร ข้าง ๆ มีญาติสนิทแค่คนเดียว ให้เขาสักหน่อยก็ได้
ชายชรายิ้ม “พวกเราสองปู่หลานได้พวกคุณดูแลไม่น้อยเลย ไม่ใช่แค่นั้นนะ แต่ยังได้เถาฮวาดูแลอีกด้วย”
ผ่านมาตั้งหลายปี หากไม่ได้พวกเขาคอยดูแลก็ยากที่จะบอกว่าเราสองคนจะเป็นยังไงต่อ
“คุณปู่คะ มันเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้วค่ะ!”
ฉือเก๋อรู้สึกตัวขึ้นได้ จึงรีบพูดทันที
“ทั้งอาหาร ทั้งเสื้อผ้า ได้พวกคุณดูแลหมดเลย ที่ใส่อยู่ตอนนี้ก็ด้วย เถาฮวาทำให้อย่างดี แถมยังให้เสี่ยวเหมยเอามาให้อีก”
ชุมชนการผลิตหงซินมีคนดีเยอะแยะเลย!
“ลุงฉือเกรงใจเกินไปแล้วค่ะ พวกเราดีต่อกันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว ดูแลคุณกับเสี่ยวหย่วนสักหน่อยไม่ใช่สิ่งที่ควรทำหรือคะ? เสี่ยวเหมยเองก็คิดเหมือนเรานั่นแหละ”
เหลียงซิ่วยิ้มและคีบเนื้อปลาให้สองปู่หลาน
พวกเขาชอบกินปลามาก และคุณย่าซูก็ทำให้พวกเขาในวันนี้โดยเฉพาะ
ชายชรายิ้มเบา ๆ เขาหลุบตาลงอย่างไว แต่เห็นได้ชัดเลยว่ามีประกายหยาดน้ำอยู่
ในโลกใบนี้ ไม่รู้จะมีเหตุผลไหนพอให้ช่วยเหลือพวกเราบ้าง?
จากใจเลยนะ ช่วยเหลือคือความรู้สึก แต่ไม่ช่วยคือหน้าที่
“อีกอย่าง เสี่ยวเถียนของเราก็ได้คุณช่วยไว้ไม่ใช่หรือคะ?”
เมื่อนึกถึงความสำเร็จของลูกสาว เหลียงซิ่วคิดว่าเป็นฉือเก๋อที่สอนไว้อย่างดี จึงขอบคุณจากใจ
แต่ชายชราละอายใจนัก
เขาเป็นอาจารย์ของเสี่ยวเถียน แต่ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ทำอะไรเลย
“พูดถึงเถาฮวาแล้ว เสี่ยวเหมย ช่วงนี้ร้านไปได้สวยหรือเปล่า?”
“กิจการที่บ้านดีมากเลยค่ะ แม่ยุ่งถึงเที่ยงคืนทุกวัน พ่อก็ทุกข์ใจ เขาบอกว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะไม่ให้แม่ทำอีก!”
คุณย่าซูได้ยินก็เสียใจ “เด็กคนนี้โง่จริง ๆ งานตั้งเยอะ ถ้าไม่จ้างเด็กฝึกงานก็จ้างคนเป็นงานมาเลยสิ!”
เสี่ยวเถียนหัวเราะลั่น ไม่คิดว่าย่าจะมีความคิดก้าวไกลขนาดนี้
ในยุคนี้คนส่วนใหญ่ไม่เต็มใจจ้างคนอื่นมาช่วยงาน เพราะกลัวจะถูกเรียกว่าเป็นพวกนายทุน แต่คุณปู่คุณย่ากลับชอบมาก
“ไว้กลับไปบอกจื่อเจินแล้วกันว่า สิ่งที่เขาพูดเป็นความคิดที่ดีน่ะ!” ฉือเก๋อเอ่ยอย่างร่าเริง
“เถาฮวาเป็นคนใจแข็ง เธอจริงจังและรอบคอบในการทำงานมาก เธอคิดว่าตัวเองทนเหนื่อยได้” คุณปู่ซูถอนใจ
เขาเฝ้ามองหลานสาวคนนี้เติบโตมาตลอด เลยรู้จักนิสัยของเธอเป็นอย่างดี
“ก็จริงนะ เพราะเถาฮวาฮวาทำงานรอบคอบ ธุรกิจร้านเลยดีขึ้นทุกวัน คนก็เอาไปบอกปากต่อปาก”
“พ่อของหนูยังบอกอีกด้วยนะคะว่าอยากให้แม่จ้างคนมาช่วย แต่แกไม่เอา” เสี่ยวเหมยยิ้มตอบ
“เสี่ยวเหมยกล่อมแม่หน่อยสิ ตอนนี้กับเมื่อก่อนมันไม่เหมือนกันแล้วนะ ดูร้านของยายสิ มีแต่ลูกจ้างทั้งนั้นเลยนะ ถ้าพึ่งแต่คนของเราก็เหนื่อยตายพอดี!” หญิงชราซูว่า
ธุรกิจหออีหมิงกำลังไปได้สวย แล้วถ้าเอาแต่คนที่บ้านมาทำงานก็มีแต่เหนื่อยตายเปล่า ๆ
“หนูบอกว่าหนูจะหัดเย็บผ้าเพื่อช่วยแม่ด้วยค่ะ แต่แม่ก็ดุหนู บอกว่าให้ตั้งใจเรียนกับพ่อก็พอ ไม่ต้องห่วงเรื่องร้าน!”
เหลียงซิ่วถอนหายใจ
ตั้งแต่พี่เถาฮวาแต่งงานใหม่ เธอมีชีวิตที่ดีขึ้นก็จริง แต่เพราะเป็นหญิงแกร่ง จึงรู้ว่าตนกับลูก ๆ ทำให้เสิ่นจื่อเจินลำบาก เลยทำงานหนักแบบนี้
หัวใจผู้เป็นแม่ยอมทนทุกข์ดีกว่าให้ลูกทุกข์
ดูเหมือนว่าจะต้องคุยกับพี่เขา และพูดให้กระจ่างเสียแล้ว
*[1] 友谊商店 – ห้างมิตรภาพ หรือ Friendship Store ที่คนจีนท้องที่เข้าไปซื้อไม่ได้ เป็นห้างสำหรับชาวต่างชาติเท่านั้น