เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 47 หน้าหมู่บ้านหรือท้ายหมู่บ้าน
บทที่ 47 หน้าหมู่บ้านหรือท้ายหมู่บ้าน
บทที่ 47 หน้าหมู่บ้านหรือท้ายหมู่บ้าน
“ไอ้แก่นี่ ไม่เห็นโลกศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ!” เจ้าหน้าที่หลิวรำคาญ เขาชี้ไปยังอาหารบนโต๊ะ “เอาหลักฐานพวกนี้ไปให้หมดเลย!”
แล้วชี้ไปที่ข้าวของที่วางอยู่ในลานบ้าน รวมถึงอาหารที่พูดถึงเมื่อครู่ด้วย
หลังจากพูดออกมา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกใจจนอ้าปากค้าง มองเจ้าหน้าที่หลิวด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
นั่นมันเป็นของกิน เป็นอาหารที่ใช้ในการดำรงชีวิต จะเอาไปเป็นหลักฐานได้อย่างไร?
อาหารเป็นปัจจัยสำคัญของครอบครัว
ถ้าเจ้าหน้าที่หลิวเอาไป ชีวิตคนตระกูลผู้เฒ่าซูนับสิบจะถูกพรากเอาไป
“เจ้าหน้าที่หลิว แบบนี้ไม่ดีแล้วมั้ง?” ซูฉางจิ่วเอ่ยถามเชื่องเช้าด้วยเสียงอันแผ่วเบา
เขาไม่กล้ายั่วยุอีกฝ่าย แต่ชายผู้นี้ดูจะไร้เหตุผลไปแล้ว
“แกว่าอะไรนะ? จะเอามันไปงั้นเหรอ?” ซูเหล่าเอ้อร์จ้องมองด้วยสายตาตั้งคำถาม
“ทำไม? ไม่พอใจ? ฉันจะบอกอะไรให้แกฟังนะ ฉันจะจัดการพวกไม่เชื่อฟังให้หมด!” เจ้าหน้าที่หลิวไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงพูดจาดูถูกใส่ซูเหล่าเอ้อร์
เป็นแค่ชาวนาคนหนึ่งยังกล้าขัดขืนอีก? ถ้ากล้าขนาดนี้คงต้องพาไปด้วยแล้วมั้ง
“ไม่พอใจ!” คราวนี้ไม่ใช่แค่ซูเหล่าเอ๋อร์ที่พูดเท่านั้น แต่เป็นผู้ชายทุกคนในตระกูลซู
พวกเขารู้ว่าการสู้กับเจ้าหน้าที่จากชุมชนใหญ่ไม่ใช่เรื่องดีอะไร แต่เมื่อเห็นว่าอาหารปันส่วนจะถูกยึดไปแล้ว ยังต้องกังวลอะไรอีกล่ะ?
ชัดเจนเลย เจ้าหน้าที่หลิวไม่ได้คาดหวังว่าจะมีผู้ชายบ้านซูมากกว่าสิบคนมีแววตาเฝ้ารอโอกาสเช่นนี้ จึงอดสั่นไม่ได้แล้วก้าวถอยหลัง
อันที่จริงเขาเป็นคนขี้ขลาดคนหนึ่ง ถ้าคนธรรมดาที่ไม่กล้าสร้างเรื่องเขาจะมีอำนาจมาก แต่ตอนนี้เขาเจอคนแข็งแกร่งจึงหวาดกลัวมาก
ทว่าเจ้าหน้าที่หลิวก็สงบลงได้อย่างรวดเร็ว “ไม่พอใจมากเลยเหรอ? ฉันอยากจะเห็นนักว่าตระกูลผู้เฒ่าจะแข็งแกร่งเพียงใด เอาคนไปมัดแล้วพากลับไปด้วย”
รอยยิ้มเย็นเฉียบผุดขึ้นที่มุมปาก
“แล้วก็หัวหน้าซู ถ้าคุณไม่ทำแบบนี้ ผมจะกลับไปรายงานกับเลขาอู๋แน่นอน”
“คุณเข้าใจผิดแล้วเจ้าหน้าที่หลิว เข้าใจผิดแล้วล่ะ พวกเขาเป็นครอบครัวเกษตรกรที่ซื่อสัตย์นะ” ซูฉางจิ่วรีบรุดขึ้นหน้าเพื่ออธิบาย
ทีแรกนึกว่าเป็นแค่การตรวจทั่วไป ไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นแบบนี้ ทำไมมันถึงได้เพิ่มระดับขึ้นมาล่ะ?
หากถูกพาไปคงสายเกินไปที่จะพูดแล้ว
จากนี้ไปชุมชนการผลิตหงซินจะไม่มีชีวิตที่ดีอีก
ซูฉางจิ่วชายผู้ซื่อสัตย์รู้ดีว่า หากบรรยากาศดังกล่าวแผ่เข้าไปในชุมชนการผลิตหงซิน ชีวิตที่สงบสุขจะไม่หวนกลับคืนมา
แล้วสิ่งที่เขาสามารถทำได้ตอนนี้ล่ะ?
ถ้าอย่างนั้นชักชวนตระกูลซูดีไหม?
อีกไม่นานก็ถึงฤดูเก็บเกี่ยวช่วงใบไม้ร่วงแล้ว อดทนช่วงนี้ไปก็จะผ่านพ้นไปได้
แต่ซูฉางจิ่วไม่สามารถพูดได้ และเจ้าหน้าที่หลิวคนนั้นเป็นฝ่ายยั่วยุ ไม่ให้โอกาสเขาได้พูดเลย
“พวกเราค้นหาอย่างหนัก ไม่คาดคิดเลยว่าศัตรูที่แท้จริงจะหลบอยู่ในที่แห่งนี้!” เจ้าหน้าที่หลิวไม่เห็นการขัดขืนของตระกูลซูในสายตาเลย
“ถ้าวันนี้ใครกล้าย้ายอาหารบ้านฉันไป ฉันจะสู้สุดชีวิต!” ซูเหลาเอ้อร์โกรธจัดและรีบวิ่งไปยืนตรงหน้าอาหาร
เขากลัวความหิวโหย ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยที่ไม่มีอาหารให้กิน ไม่มีน้ำให้ดื่ม
เขาไม่ต้องการให้พวกเด็ก ๆ หิวด้วยซ้ำ สาบานว่าจะปกป้องอาหารของบ้านเราจนตัวตาย!
เจ้าหน้าที่หลิวพาคนหนุ่มสาวพวกนั้นมาล้อมซูเหล่าเอ้อร์ ส่วนพวกตระกูลซูเดินไปตามทิศของพี่ชาย
ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน
ซูฉางจิ่วเหงื่อผุดเต็มหน้าผากอดร้อนรนไม่ได้ ก่อนเหลือบมองเจ้าหน้าที่ฝ่ายหญิงหลี่จินเอ๋อร์ของหมู่บ้าน
หลี่จินเอ๋อร์ก็มองเขาเช่นกัน ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความกังวล
“เจ้าหน้าที่หลิว ตอนนี้ตระกูลซูกำลังร้อนรน คุณเป็นคนใจกว้างไม่ถือโทษเอาความนี่ เหล่าต้า เหล่าเอ้อร์ เหล่าซาน พวกคุณต้องไม่หุนหันพลันแล่นนะ ถ้าอาหารไม่มีก็ไม่มีไป ค่อยคิดหาทางกันเถอะ!” แต่เราไม่สามารถเสียเปรียบได้น่ะสิ!
แต่ประโยคสุดท้ายเขาไม่กล้าพูดต่อหน้าเจ้าหน้าที่หลิว กลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายโกรธมากยิ่งขึ้น
“หัวหน้ามันเป็นความผิดของคุณนั่นแหละ เจ้าหน้าที่หลิวเป็นตัวแทนของชุมชนใหญ่ เขาพูดผิดตรงไหนกัน?”
คนที่เอ่ยปากคือนักบัญชีหลี่ ซึ่งเขาไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่มาถึงบ้านผู้เฒ่าซู
นักบัญชีหลี่เอ่ยปากเพื่อลบล้างคำพูดของซูฉางจิ่ว และนั่นมันทำให้ทุกคนตกตะลึง
ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับคนผู้นี้
“นักบัญชีหลี่ ถ้าไม่มีการตรวจสอบก็ไม่มีสิทธิ์พูดนะคะ ส่วนเจ้าหน้าที่หลิวคนนี้จะเพิ่มความผิดให้บ้านหนูโดยไม่มีการตรวจสอบไม่ได้เหมือนกัน หัวหน้าซูแค่พูดเพื่อความยุติธรรม จะผิดได้อย่างไรกันคะ”
จู่ ๆ ซูเสี่ยวเถียนก็พูดขึ้น เสียงเด็ก ๆ มีความแข็งกร้าว และคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างได้ยินกันทั่ว
“เธอเป็นแค่เด็กจะไปรู้อะไร?” นักบัญชีหลี่จ้องไปที่ซูเสี่ยวเถียนด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เด็กคนนี้ถูกตระกูลซูเอาใจ ปฏิบัติต่อเธอไม่ต่างจากเด็กเหมือนทุกวัน!
“ที่ไหนมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อต้าน!” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวต่อ น้ำเสียงของเธอเฉียบคม ไม่สนใจคำพูดของนักบัญชีหลี่เลย
“ยัยเด็กคนนี้จะไปเข้าใจอะไร? รู้จักแต่เรื่องไร้สาระ”
“แล้วคุณเข้าใจไหมคะ” ซูเสี่ยวเถียนหัวเราะโกรธ ๆ แล้วถามอีกฝ่ายกลับ
ไม่รู้ว่าทำไม แต่เธอรู้สึกว่าการมาของเจ้าหน้าที่หลิวในวันนี้ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับนักบัญชีหลี่แปลก ๆ
ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องโจมตีครอบครัวเราด้วย แต่ในโลกนี้ใครจะไปรู้ได้ล่ะ?
“นักบัญชีหลี่ ครอบครัวเราต่างก็มีจิตใจเป็นหงซินด้วยกัน ระลึกถึงคำพูดของผู้นำอยู่เสมอ น้อมรับคำชี้แนะของผู้บังคับบัญชาและนำไปปฏิบัติ ไม่ต้องพูดถึงใครอื่นเลย แม้แต่เด็กน้อยอย่างหนูก็ยังจำได้ แล้วนักบัญชีหลี่จำได้กี่ประโยคคะ?”
ถึงคราวนักบัญชีหลี่เหงื่อตก
พอถูกเด็กถาม เขาพูดไม่ออกและไม่รู้ควรตอบอย่างไร
ตอนนี้เขาอยากอาเจียนแทบตาย
ทำไมเด็กคนนี้รับมือยากนัก?
ถ้ามันโตขึ้นจะเป็นอย่างไรเนี่ย?
คนในตระกูลผู้เฒ่าซูเคยชินกับเด็กนี้เกินไปแล้ว ไม่กลัวเลยหรือว่าหลังจากนี้จะขายไม่ออกน่ะ?
ถ้าความคิดของนักบัญชี่หลี่ถูกตระกูลซูล่วงรู้ พวกเขาคงจะพูดว่าขายไม่ออกก็ไม่เป็นไร ยินดีเลี้ยงไปอีกหลายปี
“ให้หนูเดานะคะ หัวใจของนักบัญชีหลี่ไม่ได้อยู่ตรงนี้แน่ ๆ เลย แล้วอยู่ไหนกันน้า? หน้าหมู่บ้านหรือเปล่าน้า? หรือท้ายหมู่บ้านกันน้า?”
ตอนที่ซูเสี่ยวเถียนเอ่ยประโยคสุดท้ายออกมา เธอกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม
ชีวิตในชาติที่แล้วจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ลูกสะใภ้ของนักบัญชีหลี่ถูกจับได้ว่ามีความสัมพันธ์ทางกายกับผู้อื่นและก่อเรื่องไว้มากมาย ผู้คนในชุมชนการผลิตก็รู้ว่านักบัญชีหลี่มีความสัมพันธ์แบบนั้นกับหญิงม่ายหวงหลินเซียงของหมู่บ้านเช่นกัน แล้วยังมีคังอี้เยี่ยและอีกหลายคนที่มีความสัมพันธ์เช่นนี้ด้วย
บัญชีหลี่รู้สึกตกใจคำพูดนี้
“เธอพูดอะไรไร้สาระน่ะ? เป็นเด็กพูดจามั่วซั่ว ไม่รู้ว่าพ่อแม่สอนมาอย่างไร”