เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 496 ลูกพี่ลูกน้อง
บทที่ 496 ลูกพี่ลูกน้อง
เสี่ยวเถียนไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายประทับใจกับสิ่งที่ตนพูดแค่ไหน
“หนูคิดแบบนี้จริง ๆ ค่ะ หนูเชื่อว่าประเทศของเราจะเจริญและแข็งแกร่งขึ้นในภายภาคหน้าแน่นอน คนของเราจะมีความสุข มีสุขภาพที่ดีและยิ่งเชื่ออีกว่าจะไม่มีประเทศไหนกล้าดูแคลนแน่นอน และจะไม่ให้คนของเราโดนดูถูกด้วย!” เด็กหญิงพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง
ผู้อำนวยการหลี่คาดไม่ถึงเลยว่า คำพูดของเธอจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ถึงขนาดคิดเผื่ออนาคตด้วย
“ดีเลย ๆ เป็นเด็กดีมาก พูดได้ดีจริง ๆ ฉันเชื่อว่าวันนั้นจะมาถึงนะ”
อันที่จริงเขาก็ยังรู้สึกว่าวันที่เสี่ยวเถียนบอกยังไกลเกินเอื้อม
ช่องว่างระหว่างประเทศเรากับประเทศที่พัฒนาแล้วยังต่างชั้นกันเกินไป ไม่ใช่แค่นั้นนะ อาจจะห่างกันสักสิบปี หรือร้อยปีเลยก็ได้
ในใจเขา เรื่องพวกนี้ไม่สามารถบรรลุผลได้ในวันสองวัน หรือปีสองปี
หนทางยังอีกยาวไกลและอาจต้องใช้ความพยายามของคนหลาย ๆ รุ่น
ในฐานะผู้อำนวยการกระทรวงศึกษาธิการ เขาหวังว่าจะสามารถพัฒนาความสามารถเพื่อประเทศชาติได้
และเด็กตรงหน้าก็มีพรสวรรค์ที่ควรค่าแก่การฝึกฝนอย่างแน่นอน
“เสี่ยวเถียน เธอได้วางแผนไหมว่าจะเข้าเรียนที่ไหน?”
น้ำเสียงของผู้อำนวยการหลี่เป็นกันเองมาก จนทำเธอไปไม่เป็นอยู่ครู่หนึ่ง
เพราะประเทศเราในตอนนี้ขาดคนมีความสามารถทางด้านภาษา เขาจึงอยากแนะนำเส้นทางนี้ให้เธอ
แต่เสี่ยวเถียนไม่รู้ จึงคิดสิ่งที่พูดออกไป “หนูน่าจะเลือกสายพวกอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีค่ะ!”
นี่คือผลลัพธ์ของความคิดก่อนหน้านี้
การพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศเราโดยเฉพาะเรื่องพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีล้าหลังมาก ถ้าระบบสามารถหาหนังสือที่มีแขนงความรู้ด้านนี้ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ความมุ่งมั่นของเธอพูดไม่ถูกเลยว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
เด็กตรงหน้าเป็นผู้หญิงอ่อนโยนนะ ทำไมถึงเลือกเส้นทางนี้ล่ะ? มันไม่ใช่เส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบเลยนะ ได้ยินว่าเรื่องนี้ที่ประเทศมีการพัฒนาที่เร็วมาก ๆ แต่ในประเทศเรากลับไม่น่าพึงพอใจ
เทคโนโลยีที่เราจัดการยังมีน้อยเกินไป ถ้าได้ออกไปแล้วก็ยากที่จะกลับมา หลังจากขบคิด เขาก็คิดว่าคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเด็กอัจฉริยะเช่นเธอแล้วแหละ
เสี่ยวเถียนฉลาด ทั้งยังรู้ภาษาต่างประเทศ หากใช้ข้อได้เปรียบนั้นเพื่อเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีขั้นสูงจากต่างประเทศได้ เธอจะกลายเป็นผู้มีความสามารถที่มีประโยชน์ในอนาคตแน่นอน
“เด็กดี มีความทะเยอทะยานมาก!” เขายกนิ้วให้
ขณะที่กำลังจะตอบ ก็ได้ยินอีกฝ่ายพูดต่อ “งั้นเอาของที่เธอซื้อมาในวันนี้ให้ฉันดูหน่อยสิ!”
…
เปลี่ยนเรื่องไวมาก
เสี่ยวเถียนตะลึงงัน
หมายความว่ายังไง? ผู้อำนวยการหลี่รู้เรื่องของเก่าด้วยหรือ?
“ผู้อำนวยการหลี่…”
“ไม่ต้องห่วง แค่ทำการประเมินให้เธอน่ะ!”
เขามองท่าทางห่วงของไม่อยากจะให้คนอื่นเห็นของเสี่ยวเถียน ก็ได้แต่พูดด้วยความไม่ชอบใจ ถึงจะมองแค่แวบเดียวแต่ก็รู้สึกว่า สิ่งที่เธอเอามาในวันนี้น่าจะเป็นของจริงและน่าจะเป็นของที่มีค่าในยุคสาธารณรัฐจีน ส่วนของที่ชาวต่างชาติเอามาเป็นของเลียนแบบเท่านั้น
เขาไม่เชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องบังเอิญ และเชื่อสุดใจเลยว่าเสี่ยวเถียนมีความรู้ด้านนี้ด้วย
มนุษย์ก็แบบนี้ เวลาตัวเองไม่เข้าใจอะไรก็มักจะดูเบาไปโดยไม่รู้ตัว
แต่พอคนคนหนึ่งมีความรู้มากมาย กลับไม่สงสัยว่ามันสมเหตุสมผลหรือเปล่าที่อีกฝ่ายจะมีความรู้ได้ขนาดนั้น
ซึ่งผู้อำนวยการหลี่ก็กำลังคิดแบบนี้ต่อเสี่ยวเถียนอยู่ ส่วนทางเสี่ยวเถียนก็มีความคิดต่อผู้อำนวยการหลี่ต่าง ๆ นานา
เด็กสาวหยิบสมบัติที่ใส่ไว้ในตู้ออกมาให้ดูอย่างเขินอาย
ดีจริง ๆ ที่วันนี้ตามสองคนนั้นไปด้วย ไม่งั้นคงไม่ได้มาหลายอย่างหรอก โชคดีที่สองพี่น้องฟังไม่เข้าใจ ไม่งั้นคงได้ฟังเรื่องยาวแหง ๆ
ผู้อำนวยการหลี่เพิ่งจะหยิบกระถางธูปทองแดงขึ้น พลันได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายขึ้น
“ไอ้หยา นั่นมันวัตถุโบราณของจริงเลยนะ!”
เสี่ยวเถียนสะดุ้ง
ครูอวี่ชายอกสามศอกรู้เรื่องของเก่าด้วยหรือ?
ในยุคนี้มีคนที่รู้เยอะขนาดไหนเนี่ย?
ไม่แปลกที่เธอจะคิดแบบนี้ เพราะอีกฝ่ายเป็นครูส่งเอกสารที่โรงเรียน ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับของเก่านี่เลย
“นั่งลง อย่าเสียงดังสิ!” ผู้อำนวยการหลี่มองด้วยสายตารังเกียจ
แถมยังกลัวอีกว่า คำพูดจะไม่น่าฟังและกลัวคนอื่นเข้าใจผิดเข้า จึงตำหนิอย่างแรง
ครูอวี่ทรุดตัวลงนั่งฟังตรงข้ามอย่างเชื่อฟัง แล้วมองของบนโต๊ะ
“แม่เจ้า พี่ ไปหามาจากไหนเนี่ย?”
พี่? (พี่ในที่นี้ต้นทางใช้คำว่า 表哥 ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกลูกพี่ลูกน้อง(พี่ชาย)ทางฝั่งแม่คนที่เรียก)
เสี่ยวเถียนตกใจ เธอได้ยินอะไรอยู่นะ? ครูอวี่เรียกผู้อำนวยการหลี่ว่าพี่? ทำไมไม่เห็นรู้เรื่องเลย?
ตอนที่กินข้าวด้วยกันวันนั้นก็ไม่เห็นบอกว่าเป็นพี่น้องกันเลยนะ!
เสี่ยวเถียนมองด้วยความโง่งม พยายามมองหาความคล้ายบนใบหน้าทั้งสอง
แต่ก็ต้องผิดหวัง ไม่เห็นจะเหมือนเลย!
วิธีการพูดหรือ? ต่างกันอย่างกับฟ้าเหว
คนนึงให้ความรู้สึกนักวิชาการผู้อ่อนโยนและสง่างาม ส่วนอีกคนคือชายอกสามศอกวาจาสามหาว
“ไม่ต้องเดาหรอก เราเป็นญาติกัน แม่ฉันเป็นป้าของเขา ยังไงก็เถอะ อย่าบอกให้คนอื่นรู้เชียวนะ!”
ผู้อำนวยการหลี่มองญาติฝั่งตรงข้ามด้วยความรังเกียจ
ทำเหมือนกับครูอวี่ไม่ใช่คนอย่างไรอย่างนั้น
ครูอวี่แย้มยิ้มเฉยเมย “ก็จริง ฉันมาเป็นครูด้วยความสามารถของฉัน แต่ถ้ามีข่าวสะพัดว่าฉันมีลูกพี่ลูกน้องเป็นผู้อำนวยการฝ่ายกระทรวงการศึกษา คนอื่นก็คงจะคิดว่าฉันยัดเงินใต้โต๊ะเอาน่ะสิ!”
เสี่ยวเถียนงงกว่าเดิม
ทำไมฟัง ๆ แล้วดูเหมือนพวกเขารังเกียจ
ถ้ามีลูกพี่ลูกน้องเป็นถึงผู้อำนวยการฝ่ายกระทรวงการศึกษา ก็ไม่จะได้ตำแหน่งมาง่ายๆ หรือเปล่า แต่หนทางข้างหน้าอาจจะเรียบง่ายกว่าหน่อย
ครูอวี่คิดอะไรอยู่เนี่ย?
ที่แปลกคือ ผู้อำนวยการหลี่ก็ดูเหมือนไม่สนใจคำพูดกระโชกโฮกฮากของญาติคนนี้ด้วย
ก็น่าจะชินแล้วล่ะ!
“พี่บอกผมมาก่อน ไปเอามาจากไหนเนี่ย? ไม่น่าจะแวะเจอตอนออกไปทำงานรอบนี้หรอกใช่ไหม?”
ผู้อำนวยการหลี่กลอกตา
น้องชายคนนี้ไม่คิดระวังบ้างเสียเลย เกิดใครได้ยินเข้า เขาจะยังเป็นผู้อำนวยการได้อยู่ไหม?
เสี่ยวเถียนกุมขมับครูอวี่ทำเธอพูดไม่ออกเลย
ไม่กลัวผู้อำนวยการเขาหลอกบ้างหรือไง?
“ถ้าพูดดี ๆ ไม่ได้ก็หุบปากซะ ของพวกนี้มันใช่ของฉันที่ไหนล่ะ!”