เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 514 ยอมรับความผิดเถอะ
บทที่ 514 ยอมรับความผิดเถอะ
บทที่ 514 ยอมรับความผิดเถอะ
เจียงเยว่ซาขึ้นไปรับรางวัลบนเวทีเหมือนกัน ทั้งอีกฝ่ายยังเป็นเด็กสาวด้วย โดยเฉพาะยามยืนท่ามกลางชายชราอายุรวมกันไม่ใช่น้อย ๆ แต่เธอกลับดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ เธอได้เป็นที่จดจำของทุกคน
ตอนนี้เห็นเด็กสาวเดินขึ้นมาช้า ๆ หลายคนเริ่มคาดเดาแล้วว่าหรือคนนี้จะเป็นคนที่อาจารย์เฉาบอก?
“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนหน้าด้านแบบนี้อยู่ในโลกด้วย!”
“เป็นผู้ชายแท้ ๆ เรื่องดี ๆ น่ะไม่รู้จักทำ มาแย่งความสำเร็จคนอื่นเสียอย่างนั้น”
“จิตใจคนไม่เหมือนในอดีต ดั่งสายน้ำไหลลงสู่ที่ต่ำจริง!”*[1]
“ผู้หญิงคนนี้น่าสงสารจริง ๆ ตัวเองช่วยเหลือคนอื่นแท้ ๆ แต่กลับโดนแย่งเกียรติยศชื่อเสียงไป”
“ใช่ ฉันยังคิดอยู่เลยว่าไอ้หนุ่มหน้าตาดีคนนี้เก่งจริง ๆ นะ ได้รางวัลที่หนึ่งด้วยแต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นคนแบบนี้”
ในตอนที่หญิงสาวกำลังเดินขึ้นไปบนแท่นนั่น เธอได้ยินเสียงผู้คนทั้งสองฝั่งทางเดิน ก็ได้แต่ยิ้มแย้มด้วยความพึงพอใจ
รุ่นน้องคนนี้มีความสามารถมาก แล้วเธอก็เล็งเห็นมัน พระเจ้ารู้เสมอว่าทุกครั้งที่เธอได้มองมันเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา ได้แต่หวังว่าจะเป็นคนมีความสามารถแบบนั้นบ้าง
โชคดีที่ตาแก่ตัณหาจัดอย่างเฉาเกาซวย เต็มใจช่วยหลังจากเอารัดเอาเปรียบเธอมา
สองปีมานี้ ตาแก่นั่นเอางานของซูซื่อเลี่ยงมาให้เธอลอกเลียนแบบ ตอนแรกก็แค่ลอกเลียนแบบธรรมดา ๆ แต่หลังก็เอาไปส่งแข่งขันด้วย เนื่องด้วยมันไม่ใช่การแข่งที่ใหญ่อะไรจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจเท่าไร
ทว่าครั้งนี้มันต่างออกไป
การแข่งขันระดับชาติใหญ่พอให้เธอตั้งหลักได้
ในที่สุดเจียงเยว่ซานก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าซูซื่อเลี่ยง
เฉาเกาซวนยื่นไมค์เข้าไปให้
หญิงสาวเหลือบมอง พอใจกับการกระทำอาจารย์มาก
“ซื่อเลี่ยง ฉันไม่โทษนายหรอกนะ ฉันเข้าใจความปรารถนาที่อยากโดดเด่นของนายดี”
น้ำเสียงเธออ่อนระโหยโรยแรง ท่าทางเหมือนพวกสะใภ้ที่กำลังโกรธ เลยทำให้คนอื่น ๆ เห็นใจกว่าเดิม
เสี่ยวเถียนหัวเราะด้วยความโมโห หน้าด้านจริง ๆ ไอ้พวกชาเขียว*[1]มีอยู่ทุกทีเลยนะ!
“รุ่นพี่ หมายความว่ายังไงครับ?”
น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้คิดว่าเธอเป็นคนดี แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นคนแบบนี้
อันที่จริงซื่อเลี่ยงมีนิสัยค่อนข้างซื่อตรง เขาจะไปเคยเห็นคนนิสัยแบบผู้หญิงคนนี้ได้ที่ไหน?
ไม่คิดเลยว่าจิตใจคนเราจะเลวร้ายได้ถึงขนาดนี้
“ซื่อเลี่ยง ฉันไม่อยากพูดจาทำร้ายความภาคภูมิใจของนายหรอกนะ!” เจียงเยว่ซานขบริมฝีปาก
“รุ่นพี่เยว่ซาน คนอื่นไม่รู้แล้วพี่ก็ต้องไม่รู้หรือครับ? พี่ไม่รู้สึกผิดบ้างหรือที่พูดแบบนั้นน่ะ?”
หัวใจเจียงเยว่ซานเต้นไม่เป็นส่ำ รู้สึกผิด?
รู้สึกสิ แต่แล้วมันยังไงล่ะ?
สำคัญกว่าอนาคตด้วย?
เพราะเธออยากเด่นไงล่ะ ถึงต้องทำแบบนี้
“ศิษย์น้อง (มันดูโบราณมากค่ะ ถ้าใช้น้องเฉย ๆ ก็ดูปัจจุบันไปหน่อยไหม) ถ้านายมีเรื่องหนักหนาในใจก็พูดออกมาสิ ฉันช่วยนายอยู่แล้วแต่ทำไมจะต้องขโมยผลงานฉันด้วย? มันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ!”
“ผมขโมยพี่มาใช่ไหม? งั้นถามหน่อยว่ามีหลักฐานหรือ?”
ถึงจะโกรธแต่ก็พอเดาได้อยู่ก่อนแล้ว และรู้อีกด้วยว่าถ้าวันนี้ไม่พูดให้ชัดเจน มันจะส่งผลกระทบต่อเขาแน่นอนเพราะงั้นน้ำเสียงที่ใช้จึงค่อนข้างสงบ
“หลายปีที่ผ่านมาฉันฝึกในมาโดยตลอด เคยเข้าร่วมการแข่งขันสองคน ถ้าได้เห็นผลงานของฉันก่อนหน้านี้ ก็น่าจะบอกได้นะว่าเป็นภาพของฉันหรือเปล่า” เจียงเยว่ซานว่า
จิตรกรหลายท่านพยักหน้าเห็นด้วย
สไตล์การวาดภาพของคนคนหนึ่งจะไม่เปลี่ยนแปลงไปในทันที แต่ถ้าฝึกฝนอย่างเป็นประจำ มันมีความเป็นไปได้แน่นอนว่าภาพนั้นใช่คนตรงหน้าวาดหรือเปล่า
“แล้วทำไมรุ่นพี่ต้องทำให้ยุ่งยากด้วยครับ? เราวาดใหม่ตอนนี้เลยไม่ดีกว่าหรือ?”
เขาคงจะโง่น่าดู ถ้ามองไม่ออกว่าอาจารย์และศิษย์ไร้ยางอายคู่นี้วางแผนก่อเรื่องมานาน
ไม่แปลกใจที่เรียนวาดรูปกับเขามาตั้งหลายปี แต่คะแนนกลับงั้น ๆ ที่แท้ก็มัวแต่ทำเรื่องนี้อยู่
“ที่นี่คือสถานที่จัดพิธีมอบรางวัลนะ ทุกคนยุ่งกันทั้งนั้น เราต้องเสียเวลาเพราะมันด้วยหรือ? วาดรูปไม่ใช่สิ่งทำเสร็จในช่วงเวลาสั้น ๆ นะ”
เจียงเยว่ซานยังเสียงอ่อนเหมือนเดิม ทำท่าเหมือนคิดถึงหัวอกคนอื่น
“กลับดำให้เป็นขาวโดยแท้” ตู้ทงเหอด่า
“ไม่แปลกใจเลยที่ซื่อเลี่ยงจะบอกว่าเฉาเกาซวนไม่อนุญาตให้เขาเซ็นชื่อตัวเองลงไปในงาน และตอนนี้มันน่าจะเป็นลายเซ็นเจียงเยว่ซานหมดแล้ว!”
อวี่รุ่ยหยวนเข้าใจแล้ว
ไอ้คนหน้าด้านสองคนนี้คิดจะทำลายซื่อเลี่ยงให้พังทลาย
ยังมีการมาพูดอีกว่าถ้าคืนชื่อเสียงมาให้จะลืมเรื่องที่ผ่านมา ถ้าซื่อเลี่ยงเชื่อมันจริง ๆ ชีวิตได้พังแน่ แล้วคนที่มีชื่อเสียงไม่ดีจะโดนวิจารณ์ไปตลอด ไม่ว่าเขาจะวาดภาพได้ดีขนาดไหนก็ตาม
“เธอบอกเคยแข่งมาก่อน งั้นก็ไม่น่าใช้งานพี่รองใช่ไหมครับ?”
เสี่ยวเถียนได้ยินประเด็นสำคัญพอดี
“ยังต้องพูดอีกหรือ?” อวี่รุ่ยหยวนโมโห
แต่เธอยังสงสัยอยู่ “งั้นทำไมเฉาเกาซวนถึงไม่วาดให้เจียงเยว่ซานเองคะ ทำไมต้องเอางานพี่รองไปด้วย?”
หญิงชรา “เฉาเกาซวนนั่นไม่มีพรสวรรค์เรื่องวาดรูป ตั้งใจทำงานมากแค่ไหนก็เป็นได้แค่ครูในโรงเรียน สอนความรู้ทางทฤษฎีบางอย่างเท่านั้น”
“…” เสี่ยวเถียน
พ่อของจิตรกรบอกว่าวาดรูปไม่เป็น?
“เขาเคยปั่นหัวซื่อเลี่ยงจนทำให้เด็กคนนั้นเชื่อว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอ ต้องฝึกอีกหลายปีถึงจะประสบความสำเร็จ นี่คือการวางหมากสินะ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเราดันเจอปัญหาก่อนและทำลายกระดานหมาก บางทีห้าหกปีข้างหน้าหรือมากกว่านั้น ซื่อเลี่ยงคงได้กลายเป็นตัวแทนของเจียงเยว่ซานแน่ ๆ”
“แถมผู้หญิงคนนั้นยังมีชื่อเสียงด้วยการอาศัยความสามารถในการวาดรูปของซื่อเลี่ยงมาตั้งหลายปีอีก ต่อให้เด็กมันบอกว่าวาดด้วยตัวเอง แต่ใครจะไปเชื่อล่ะ?”
เสี่ยวเถียนเพิ่งรู้ว่าตัวเองไร้เดียงสา แถมยังคิดน้อยไป
ที่เวที ตอนเจียงเยว่ซานกำลังพูด เธอเดินเข้าไปหาซื่อเลี่ยงด้วยความเสียใจ จากนั้นก็กระซิบกระซาบว่า “ซื่อเลี่ยง สองปีมานี้ฉันปฏิบัติต่อนายอย่างดีเลยนะ นายควรนึกถึงความสัมพันธ์ดี ๆ ระหว่างเราบ้างสิ มันอาจกลายเป็นความทรงจำที่ดีก็ได้?”
ซื่อเลี่ยงขมวดคิ้ว นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าใบหน้าอีกฝ่ายน่ากลัวมาก!
“ถือว่าฉันขอร้องได้ไหม? นายมีพรสวรรค์แถมยังเด็กด้วย หลังจากนี้ยังมีโอกาสอีกเยอะด้วย!”
ซื่อเลี่ยงขมวดคิ้ว พูดอะไรเนี่ย?
เฉาเกาซวนเห็นการสนทนาของคนทั้งคู่
เขาคิดว่าถ้าเจียงเยว่ซานเกลี้ยกล่อมได้สำเร็จจะเป็นการดีที่สุด ไม่งั้นยุ่งยากแน่
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงเย็น เห็นว่าเขาโง่หรือ?
พอเห็นท่าทางซื่อเลี่ยง เฉาเกาซวนให้เด็ก ๆ ไปที่สตูดิโอของเจียงเยว่ซานเพื่อไปเอาภาพวาดและรางวัลที่ได้รับก่อนหน้านี้มา
บางคนถึงกับตะโกนออกมาด้วยซ้ำ “สหาย รีบยอมรับผิดเถอะ มันอาจจะยังทันก็ได้นะ”
“แกจะไปเกลี้ยกล่อมมันทำไม? คนแบบนี้ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาหรอกนะ!”
เฉาเกาฉวนยุยงอยู่บนนั้น หลอกให้ทุกคนเชื่อว่าซื่อเลี่ยงขโมยไปจริง ๆ
เสี่ยวเถียนจ้องคนทั้งสองที่เล่นไปตามเกมอยู่ ผีนักแสดงเข้าสิงหรือ?
ปล่อยให้พวกเขาทำไปก่อนแล้วกัน ดูซิว่าจะทำยังไง
*[1] สูญเสียความดี กลายเป็นคนคิดทรยศ เจ้าเล่ห์ จิตใจไม่งดงาม
[2] ชาเขียว ในที่นี้เป็นศัพท์สแลงทางเน็ตของจีน หมายถึงผู้หญิงที่ภายนอกดูไร้เดียงสา เป็นมิตร น่าคบหา แต่แท้จริงแล้วเนื้อแท้เป็นพวกเจ้าเล่ห์ จอมแผนการ พูดจาปั่นหัว