เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 52 หนังสือจากระบบการศึกษา
บทที่ 52 หนังสือจากระบบการศึกษา
บทที่ 52 หนังสือจากระบบการศึกษา
คืนนี้เฉินจื่ออันพักอยู่ที่บ้านของผู้เฒ่าซู
เดิมทีสถานการณ์ภายในบ้านตึงเครียดกันอยู่แล้ว จึงไม่มีใครออกมาทักทายแขกเหรื่อกันเลย
สุดท้ายคุณย่าซูก็พาซูเสี่ยวเถียนไปยังห้องกั้นที่แยกมาจากห้องโถง ส่วนคุณปู่ซู เฉินจื่ออัน และเสี่ยวจูพักอยู่ในห้องหลัก
ขอบคุณเฉินจื่ออันที่แม้จะเป็นระดับหัวหน้า แต่ก็ไม่รังเกียจเรื่องพวกนี้เลยสักนิด แต่กลับกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อก่อนตอนที่อยู่ในกองทัพ ผมทำเป็นเรื่องปกติเวลาทำภารกิจอยู่ในป่าแล้วครับ มีกระเบื้องรองก็ดีถมถืดแล้ว”
เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศกำลังดี เพราะมีฝนตกเมื่อคืนบนพื้นจึงมีแอ่งน้ำอยู่ เฉินจื่ออันไม่ได้รีบกลับนัก
เขาฝึกชกมวยทหารอยู่ในสนามแทน ดวงตาของซูเสี่ยวเถียนเป็นประกาย
ชาติก่อนเธอเคยดูคนชกมวยทหาร แต่เมื่อเทียบกับเฉินจื่ออันที่อยู่เบื้องหน้าแล้วมันเหมือนจะดูดี แต่ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ เธอทนดูไม่ไหว
เฉินจื่ออันที่เสร็จจากการชกมวยทหารใช้ผ้าเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ก่อนเขาจะพบว่าเด็กผู้หญิงคนนี้กำลังจ้องมองมา
พอนึกถึงคำชมของลุงเขยเมื่อคืน รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว
“สาวน้อย ดูเข้าใจหรือไม่?”
ซูเสี่ยวเถียนพยักหน้าก่อนจากนั้นค่อยส่ายหัว ครั้นเห็นท่าทางนั้นเฉินจื่ออันก็อดหัวเราะไม่ได้
“สาวน้อย สรุปแล้วดูเข้าใจหรือเปล่า?”
“ไม่เข้าใจค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนพยักหน้าอย่างจริงใจ
อีกฝ่ายเอ่ยถาม “แล้วอยากเรียนไหม?”
ไม่รู้ว่าเธอชาญฉลาดอย่างที่ลุงเขยชมเชยหรือเปล่า
“อยากค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนค่ะ”
“งั้นฉันจะสอนเธอเอง แค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น เรียนรู้ได้มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับตัวเองนะ” หาได้ยากที่เฉินจื่ออันจะพูดอย่างมีน้ำอดน้ำทน
เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบเด็กผู้หญิงแบบนี้ เพราะเป็นชายวัยกลางคนและยังไม่มีลูกหรือเปล่า?
อายุสามสิบสองปีแล้ว ควรแต่งงานมีลูกมีภรรยาได้แล้ว!
ซูเสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าเผลอไปกระตุกความคิดของเฉินจื่ออันให้เริ่มต้นสร้างครอบครัวจริง ๆ
แน่นอนว่าเธอจะไม่พลาดโอกาสเรียนชกมวยทหารที่หาได้ยากเช่นนี้แน่นอน
หลังจากนั้นก็ตั้งใจมองตามเฉินจื่ออันที่กำลังสอน
ท่าเหล่านี้ยากเกินไปสำหรับเด็กผู้หญิง หากแต่เธอก็ตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง
เห็นกันชัด ๆ ว่าทำไม่ไหว แต่ยังยืนกรานที่จะทำต่อ
เฉินจื่ออันรู้สึกประหลาดใจที่เด็กเจ็ดขวบจะมีความอุตสาหะขนาดนี้
ไม่แปลกใจที่จะมองต่างออกไป ตัวเขาในตอนนี้ต้องบอกเลยว่าในบรรดาเด็กที่เคยเห็นมาซูเสี่ยวเถียนยอดเยี่ยมมาก
ในเวลาเดียวกันเขายังสังเกตเห็นอีกว่าเด็กผู้ชายคนอื่น ๆ ในตระกูลกำลังอ่านหนังสือกันแต่เช้า ไม่ใช่แค่ท่องคำสำคัญ แต่กำลังอ่านหนังสือจริง ๆ และตั้งใจมาก
หลายปีมานี้ โรงเรียนใกล้จะระงับการเรียนการสอนแล้วทั้งที่ชั้นเรียนยังเปิดอยู่ อันที่จริงการเรียนรู้มีอยู่อย่างจำกัด ส่วนใหญ่แล้วพวกคนหนุ่มสาวที่โม้ว่าตนเป็นแนวหน้าของยุคมักจะสร้างเรื่องสร้างปัญหากันตลอด
ยากมากที่ลูกหลานของตระกูลซูนั่งเรียนกันอย่างเงียบ ๆ เช่นนี้
ระหว่างกินอาหาร เฉินจื่ออันเอ่ยขึ้นด้วยความซาบซึ้ง “ลุงซู คุณสอนพวกเด็ก ๆ ได้ดีมากเลยครับ พวกเขาเก่งมากเลย!”
นี่เป็นคำชมจากใจ
คุณปู่ซูรู้สึกเขินอาย ใบหน้าคล้ำที่เหี่ยวย่นเปลี่ยนเป็นแดง
เด็กพวกนี้ล้วนแต่เป็นเด็กธรรมดา มีเพียงหลานรักที่ดีกว่าหน่อยนึง
กว่าเฉินจื่ออันจะกลับไปก็เกือบเที่ยง
ตอนที่รออีกฝ่ายขึ้นรถมีคนจากตระกูลซูยืนล้อมรถจี๊ปด้วย ส่วนคนในหมู่บ้านก็ออกมาดูความตื่นเต้นกัน
รถจี๊ปส่งเสียงกึกก้อง และทุกคนในชมชนการผลิตหงซินก็รู้ว่าครอบครัวผู้เฒ่าซูไม่ใช่แบบเดิมอีกต่อไป เพราะในตอนนี้พวกเขาได้รับการดูแลจากหัวหน้าอำเภอแล้ว ชีวิตของพวกเขาจะดีขึ้นอย่างแน่นอน
และยังได้ยินอีกว่า หัวหน้าอำเภอท่านนี้ยังได้รับคำสั่งจากผู้นำมณฑลมาโดยเฉพาะเพื่อให้ดูแลตระกูลผู้เฒ่าซู
สิ่งที่ทำให้พวกเขาอิจฉามากที่สุดคือตระกูลซูยังได้รับอาหารเป็นจำนวนมาก แถมยังมีเนื้อสัตว์เพียงพอสำหรับทุกคนในครอบครัวจะอยู่ได้ไประยะหนึ่งด้วย
ท่ามกลางคนในหมู่บ้าน คนที่อิจฉาที่สุดคือหลิวซิ่วอิง
เธอจ้องไปทางครอบครัวซู อดใจรอไม่ไหวที่จะรีบไปบ้านหลังนั้นในทันทีแล้วแย่งเนื้อทั้งหมดมาเป็นของตัวเอง
แต่เธอเพิ่งเสียเปรียบและตกอยู่ในกำมือคุณย่าซูไปเมื่อไม่นานมากนี้ จึงได้เรียนรู้ไปไม่น้อย และไม่กล้าเป็นฝ่ายวิ่งไปแล้วให้คุณย่าซูจัดการอีกครั้ง
คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านมีความคิดเช่นเดียวกับหลิวซิ่วอิง ถึงจะอิจฉาแต่ไม่คิดใช้ประโยชน์จากตระกูลซู
แต่น่าเสียดายที่มีบางคนไม่คิดแบบนั้น คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียไปจากซูหม่านเซียงที่คิดว่าตัวเองหน้าใหญ่พอจะขี่ม้าได้
เธอได้ยินคนจากชุมชนการผลิตหงซินที่เข้าตำบลพูดว่า เมื่อไม่นานมากนี้บ้านคุณปู่คุณย่าซูเพิ่งจะมีโชคลาภเข้ามา ไม่ใช่แค่ได้รับความสนใจากผู้นำมณฑลเท่านั้น แต่ยังได้รับข้าวของต่าง ๆ อีกด้วย
เธอเตรียมตัวให้มั่นจากที่บ้าน แล้วกระโดดโลดเต้นกลับไปบ้านแม่ของเธอเอง
การกลับไปบ้านพ่อแม่ในครั้งนี้ไม่ต่างจากครั้งก่อน ๆ เลย กลับก็คือกลับจริง ๆ แม้แต่ไข่ไก่ยังไม่หิ้วไปด้วย
พอคุณย่าซูเห็นลูกสาวคนเล็ก สีหน้าเผยให้เห็นถึงความไม่พอใจ!
“คุณแม่คะ ฉันมาหานะ ทำไมไม่ดีใจเลยล่ะ?” ซูหม่านเซียงนั่งบนเก้าอี้อย่างสบาย ๆ มองมารดาที่กำลังเก็บผัก
คุณย่าซูเหลือบมองแวบเดียว แล้วไม่พูดอะไร
ซูหม่านเซียงลูกแท้ ๆ ของเธอ และไม่รู้อีกว่าในใจนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ แต่มันจะต้องเป็นข่าวร้ายแน่ ๆ
“คุณแม่ กว่าฉันจะมาหาแม่ไม่ง่ายเลยนะ ทำข้าวกลางวันให้หนูกินหน่อยสิ!” ซูหม่านเซียงพูดอย่างเป็นกันเองราวกับว่าขอน้ำให้เธอดื่มสักแก้ว
“ถ้าอยากกินของอร่อยก็กลับบ้านไป สามีแกทำงานที่สหกรณ์จำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภคนี่ ของที่อยากได้ไม่มีหรือไง?”
ซูหม่านเซียงมีสีหน้าขมขื่น “คุณแม่คะ คุณแม่พูดน่ะมันง่าย ถึงสามีหนูจะทำงานอยู่ที่นั่น แต่เขาก็ต้องทำงานหาเลี้ยงคนทั้งครอบครัวนะ อาหารแต่ละเดือนยังไม่พอกินเลย คุณแม่คะ ถือว่าสงสารฉันกับหลาน ๆ เถอะ ให้อาหารฉันสักหน่อยสิ”
“สถานการณ์ในบ้านฉันมันเป็นอย่างไรแกไม่รู้หรือไง? ปีก่อนตอนที่แบ่งอาหารกันยังยุ่งยากเลย อึดใจเดียวแกก็เอาไปตั้งร้อยจินแล้ว ตอนแรกก็พูดเสียดิบดีว่าจะเอามาคืน ใกล้จะหมดปีแล้วยังไม่เห็นเอามาให้สักแดงเดียวเลย”
คุณย่าซูไม่เกรงใจอีกต่อไป พูดจาแทงใจดำสุด ๆ
ซูหม่านเซียงกล่าวเขิน ๆ “คุณแม่คะ ฉันก็อยากเอามาคืนนั่นล่ะ แต่คุณแม่ก็รู้นี่ว่าบ้านฉันมีเด็ก ๆ ที่นับวันยิ่งโตเอา ๆ กินเยอะขึ้นเรื่อย ๆ…”
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้สามีแกหาวิธีให้แกทำงานไปก่อนชั่วคราวซี่ อยู่แต่บ้านทั้งวันจะไปเปลี่ยนอะไรได้” คุณย่าซูพูดด้วยความรังเกียจ
เธอรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองโง่มากพอแล้ว ลูกสาวคนนี้แสนเกียจคร้าน ไม่อยากลำบากแล้วก็ไม่อยากทำงานในชุมชนการผลิตเพื่อเก็บคะแนนอีกด้วย สุดท้ายก็มาร้องห่มร้องไห้ขอแบ่งอาหาร พอได้ก็สะบัดก้นไป
สิ่งที่ให้ไปก่อนหน้านี้ไม่มีทางได้กลับคืนมา และจากนี้ไปเธอไม่ให้อีกแน่นอน
“คุณแม่ ฉันได้ยินว่าชุมชนการผลิตจะแจกจ่ายธัญพืชฤดูร้อนในอีกสองวันข้างหน้า แล้วยังมีข้าราชการระดับสูงจากในเมืองส่งอาหารกับเนื้อมาให้ไม่น้อยด้วย คุณแม่แบ่งให้ฉันหน่อยเถอะ รับจ้างชั่วคราวใครที่ไหนเขาทำกัน? ฉันทนขมขื่นไม่ได้หรอกนะ” ซูหม่านเซียงพูดอย่างรังเกียจ
ซูเสี่ยวเถียนกำลังร้องเพลงอยู่ “ดวงตะวันสีแดงที่สุด… สุดที่รัก” ตอนที่กระโดดขึ้นบ้านก็เห็นซูหม่านเซียงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กในลานบ้านตั้งแต่แรกพบ รอยยิ้มสดใสพลันหายไปทันที
อาคนนี้มาทีไรไม่เคยมีเรื่องดีสักที ไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมคนในบ้านดีขนาดนี้ แต่ดันถึงมีคนแบบนี้เยอะนัก?
พอเทียบอาคนนี้กับพ่อของเธอและพวกคุณลุงแล้ว เหมือนไม่ได้เกิดจากแม่คนเดียวกันเลย เป็นไปได้ไหมที่นี่จะเป็นไผ่ดี ๆ ในตำนานออกผลเป็นหน่อไม้ไม่ดีน่ะ? เกิดการกลายพันธุ์เหรอ?
ซูเสี่ยวเถียนไม่ชอบซูหม่านเซียง และซูหม่านเซียงก็ไม่ชอบซูเสี่ยวเถียนเช่นกัน ยามเห็นเด็กคนนั้นใบหน้าก็นิ่งงัน
“ตัวโตตั้งขนาดนี้ดูไม่เดือนเนื้อร้อนอะไรเลยนะ เหมือนอะไรกันละเนี่ย? คุณแม่คะ อย่าหาฉันว่างั้นงี้เลยนะ ยัยเด็กนี่ไม่มีวินัยเลย ดูเหม่ยฮวาบ้านหนูสิ อายุไม่เท่าไรแต่รู้เรื่องกว่าเยอะเลย ไม่รู้ว่าคุณแม่กับคุณพ่อคิดอะไรอยู่ถึงได้ทั้งรักทั้งเอ็นดูเธอเหมือนกับเด็กอ่อนขนาดนี้!”
ซูหม่านเซียงทิ้งคำพูดเอาไว้ เดิมทีคุณย่าซูก็ไม่พอใจกับลูกสาวอยยู่แล้ว ครานี้ยิ่งไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิมอีก
“แกควรรีบกลับบ้านไปได้แล้ว ขืนรอพ่อแกกลับมา เขาจะต้องโยนแกออกไปแน่ ๆ!” คุณย่าซูวางผักที่เก็บมาลงในหม้อแล้วเดินเข้าครัว
ซูหม่านเซียงเริ่มโกรธเคืองกับสิ่งที่มารดาพูด ก่อนจะตวัดสายตาจ้องซูเสี่ยวเถียนอย่างดุดัน ต้องโทษยัยเด็กบ้านี่ ถ้าไม่มีมัน คุณพ่อกับคุณแม่จะรักเธอที่สุดอย่างแน่นอน
ซูเสี่ยวเถียนพูดไม่ออก “ถ้าอาไม่มีอะไรก็รีบกลับไปเถอะค่ะ พวกเราเป็นแค่คนชนบท คงต้อนรับทักทายแขกผู้สูงส่งอย่างอาไม่ได้หรอก!”
ว่าจบก็แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ผู้เป็นอา
ซูหม่านเซียงถอดรองเท้าออกแล้วบีบไว้ในมือแน่น จากนั้นก็วิ่งเท้าเปล่าไปหาเด็กคนนั้นตั้งใจจะทักทายด้วยฝ่าเท้า
ตอนที่เธอวิ่งเข้ามาซูเสี่ยวเถียนก็ส่งเสียงร้องลั่น
“คุณย่าคะ ช่วยหนูด้วย คุณอาจะตีหนูจนตายแล้ว! คุณย่าช่วยด้วย!”
คุณย่าซูออกมาจากห้องครัวพร้อมไม้เขี่ยถ่าน ก่อนจะเห็นซูหม่านเซียงวิ่งไล่หลานรักอยู่ในลานบ้าน ภาพนั้นทำให้หล่อนโกรธแทบตาย
ยิ่งมีชีวิตก็เหมือนยิ่งถดถอยจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่ลงมือกับเด็ก
“ซูหม่านเซียงแกหยุดมือเลย ถ้าแกกล้าตีเถียนเถียนของฉัน ฉันจะตีแกให้ตายเลยคอยดู!” คุณย่าซูถูกซูหม่านเซียงทำให้กระทบกระทั่งจิตใจ แถมเสียงของลูกสาวก็น่ารำคาญมาก
พอได้ยินว่าหญิงชราโกรธจริง ๆ เธอจึงโยนรองเท้าลงพื้นด้วยความโมโห ก่อนจะกระทืบเท้า “คุณแม่ ยัยเด็กบ้านี้มันต้องได้รับการสั่งสอน ถ้าแม่ยังเอ็นดูมันอีกแม่ก็เป็นคนไม่ดีแล้ว!”
“คุณย่าคะ หนูกลัว หนูไม่อยากเจออาแล้ว!” ซูเสี่ยวเถียนรีบวิ่งเข้ามาทันที โผตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของคุณย่าซูแล้วร้องคร่ำครวญ
เธอทำตัวเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง
แต่คุณย่าซูทำงานหนักมาทั้งชีวิต ถึงจะไม่ฉลาดหลักแหลมก็ตาม แต่ก็รู้ว่าซูหม่านเซียงมาที่นี่เพื่อมาแย่งอาหาร และไม่อยากให้อาหารที่บ้านเสียเปล่าไปกับคนแบบนี้
แน่นอนว่าเมื่อคุณย่าซูได้ยินคำพูดของซูเสี่ยวเถียน นางก็โบกปัดใส่ซูหม่านเซียงทันที “แกรีบไสหัวกลับตำบลไปเลย ทำหลานรักฉันตกอกตกใจเดี๋ยวได้เห็นดีกันแน่!”
“แม่ แต่ฉันเป็นลูกแม่นะ!” ซูหม่านเซียงโกรธเกรี้ยว
“ยายแก่คนนี้หวังว่าจะไม่ได้ให้กำเนิดแกด้วยซ้ำ มีฟักให้กินยังดีกว่ามีแกอีกเพราะมันเป็นอาหารไงเล่า!” คุณย่าซูพูดอย่างไร้ความปรานี
“หนูจะไปหาแม่!” ซูเสี่ยวเถียนยังพยายามต่อ พูดจบก็ตัดสินใจจะพุ่งออกจากประตูบ้าน
คุณย่าซูตกใจจึงรีบดึงหลานเอาไว้ “ไม่ต้องไปหาแม่หรอก เดี๋ยวย่าจัดการให้เอง!”
ถ้าลูกสะใภ้สามกลับมาเห็นซูหม่านเซียงรังแกเสี่ยวเถียนอีก คงได้ตบตีทะเลาะวิวาทกันอีกเป็นแน่
ยัยลูกที่เอาแต่กวนใจคนนี้ รีบกลับไปเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ อย่ามาอยู่ให้รกสายตาเลย
“รีบไปซะ ถ้าพี่สะใภ้สามกลับมาเห็นแก เธอจะต้องข่วนหน้าแกแน่!” คุณย่าซูกล่าวอย่างเหลืออด “ไม่ต้องมาคิดถึงอาหารบ้านฉัน เด็กบ้านแกโตแล้ว กินเยอะแล้ว แต่แกคงไม่คิดว่าหลานชายของแกก็โตเหมือนกันนะ”
“มันจะเหมือนกันได้อย่างไร ก็ลูกฉันอยู่ในเมือง…” พูดถึงตรงนี้ซูหม่านเซียงก็ตกใจที่รู้ว่าตนพูดอย่างนั้นจริง ๆ มันจะไม่เป็นการเติมเชื้อเพลิงใช่ไหม?
แต่ว่าคำพูดที่พูดออกไปแล้ว สายเกินไปที่จะเอากลับคืนมา
“คุณแม่คะ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันแค่…”
“หนูรู้แล้วค่ะคุณอา พี่เหม่ยฮวาก็พูดตลอด พวกอาเป็นคนเมืองกันนี่ คงดูถูกคนชนบทแบบเรา ๆ อยู่แล้ว” ซูเสี่ยวเถียนฉวยโอกาสทันที
ใบหน้าคุณย่าซูยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ เธอรู้มาตลอดว่าลูกสาวคนเล็กดูถูกคนบ้านนอกเช่นพวกเรา แล้วทำไมถึงยังมาขอกินแล้วมาข่มเหงหลานรักอีก?
“แกไปเสียเถอะ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็อย่ามาอีก เทศกาลในต้นปีหน้ามาดูกันว่าแกเจตนาจริงไหม ถ้าไม่เจตนาก็ช่างมันซะ!” คุณย่าซูกล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย
ซูหม่านเซียงเต็มใจจะไปเสียที่ไหน แต่ว่าถ้าเธอไม่ไปก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะได้ยินเสียงพี่สะใภ้ทั้งสามดังขึ้น โดยเฉพาะเสียงของเหลียงซิ่ว
“คุณย่า แม่หนูกลับมาแล้ว!” ซูเสี่ยวเถียนพูด และกำลังจะดิ้นหลุดออกจากมือของคุณย่าซูออกไป แต่ก็ถูกรั้งเอาไว้แน่น
“ยังไม่รีบไสหัวไปอีก?” คุณย่าซูตะโกนใส่
ซูหม่านเซียงหวาดกลัว ครั้งก่อนที่ถูกพี่สะใภ้สามตบตี ผ่านไปหลายวันยังเจ็บอยู่เลยจึงไม่อยากโดนอีก
ซูหม่านเซียงรีบหนีไปทันที
“คุณย่าคะ ตอนเที่ยงพวกเรากินเนื้อได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวเถียนดูเหมือนแมวตะกละ ไล่ความขุ่นมัวออกไปจากใบหน้าคุณย่าซู
“เจ้าแมวน้อยจอมตะกละ เมื่อเช้าย่าเก็บไข่ได้สี่ฟองรวมกับเมื่อวานด้วย เดี๋ยวทำไข่ผัดกุยช่ายให้พวกหนูกินนะ ไม่กินเนื้อแล้วจ้ะ”
ซูเสี่ยวเถียนพยักหน้าทันที อันที่จริงเธอไม่อยากกินเนื้อหรอก แค่ไม่อยากเห็นคุณย่าซูกังวล
แต่ด้วยอะไรบางอย่างที่ไม่รู้ว่าทำไม ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกเหมือนเธอลืมสิ่งที่สำคัญมาก แต่มันคืออะไรล่ะ? ทำไมถึงจำไม่ได้เลย?
พอคิดไม่ออกซูเสี่ยวเถียนก็ไม่คิดอีก ตอนนี้อะไรก็ไม่ดีเท่าอ่านหนังสือหรอก
มีธัญพืชนานาชนิดในหนังสือ เพียงแค่อ่านก็ทำให้ชีวิตดีขึ้น
หลังจากที่กินอิ่มแล้ว เธอก็ไปหาฉืออี้หย่วนพร้อมกับหนังสือของพี่ชาย
นี่เป็นงานที่เฉินจื่ออันมอบให้ หากเธอมีเวลาก็เอาหนังสือระดับมัธยมต้นไปหาฉืออี้หย่วนด้วย
ถึงเขาจะรู้ว่าฉือเก๋อสามารถสอนฉืออี้หย่วนได้ดี แต่เฉินจื่ออันยังคงรู้สึกในฐานะเด็กหนุ่มคนหนึ่ง และระบบการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
สักวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า หากมีโอกาสเข้ามหาวิทยาลัย คนที่เรียนหนังสือกับระบบการศึกษาจะมีโอกาสมากกว่านี้!
ตอนที่เห็นฉืออี้หย่วนที่คอกวัว เด็กหนุ่มเพิ่งกินข้าวเสร็จ
เมื่อเทียบกับสองเดือนก่อน ใบหน้าของเด็กชายผอมแห้งมีเนื้อหนังมากกว่าเล็กน้อย ดูแล้วสบายตาขึ้น
นั่นล่ะ เด็ก ๆ ควรมีเนื้อหนังถึงจะน่ามอง เช่นใบหน้าเล็กอ้วนของเธอ!
“พี่อี้หย่วน อันนี้เป็นหนังสือของพี่ชายหนูค่ะ พี่เอาไปดูสิ!” ซูเสี่ยวเถียนบอกจุดประสงค์ไปตามตรง
ฉืออี้หย่วนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ทำไมถึงต้องการเอาหนังสือเรียนมาให้เขาด้วย?
ที่คอกวัวไม่มีหนังสือ แต่เขายังเรียนอยู่ทุกวัน และปู่ก็สอนอย่างจริงจังมาตลอด ซูเสี่ยวเถียนก็รู้เรื่องนี้นะ!
“เสี่ยวเถียน พี่เก็บหนังสือพวกนี้ไว้ที่บ้านไม่ได้หรอก!” ฉืออี้หย่วนลังเล
“พี่เอาไปดูก่อน ตอนเย็นก็วางไว้ในหลุมดินตรงนั้นก็ได้ ถ้าหนูเดินผ่านจะหยิบมันไปเอง” ซูเสี่ยวเถียนยิ้มหวาน และบอกอีกว่าเธอเคยสำรวจพื้นที่มาก่อนหน้านี้แล้ว
ฉืออี้หย่วนอดหัวเราะไม่ได้ ถึงเสี่ยวเถียนจะยังเด็ก แต่เธอก็มีความรอบคอบมาก แตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง
“พี่อี้หย่วน พี่ไม่ต้องขอบคุณหนูหรอก เป็นเรื่องที่หนูได้รับความไว้วางใจมาค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนสดใสมาก และรอยยิ้มบนใบหน้าสร้างแรงบันดาลใจให้
ความเศร้าโศกบนใบหน้าของฉืออี้หย่วนค่อย ๆ หายไปเพราะรอยยิ้มของซูเสี่ยวเถียน
ฉือเก๋อเห็นความสัมพันธ์ระหว่างเด็กสองคนจากที่ไกล ๆ จึงไม่ได้ไปรบกวนพวกเขา
ตั้งแต่ที่มาชุมชนการผลิตแล้วเกิดเรื่อง หลานชายของเขาก็เงียบ ๆ ไป
หลายปีที่ผ่านมา ตาแก่แบบเขาไม่เข้าใจการสร้างความสัมพันธ์กับคนรุ่นเดียวกัน จึงหาได้ยากที่เด็ก ๆ บ้านซูจะมองพวกเขาอย่างซื่อตรง โดยเฉพาะเสี่ยวเถียน
ฉืออี้หย่วนได้ยินสิ่งที่ซูเสี่ยวเถียนพูดว่าเป็นเรื่องที่ได้รับความไว้วางใจมา จากนั้นก็เข้าใจว่าจะต้องเป็นลูกพี่ลูกน้องคนนั้นที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวออกมาแล้วมอบหมายให้เธอทำแน่
ทำไมผู้ใหญ่ถึงเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วเมฆหมอกจะเคลื่อนหายไปแล้วมีดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นมาล่ะ?
“พี่อี้หย่วน ต่อจากนี้ไปหนูจะแอบเอาหนังสือไปไว้ตรงนั้นทุกเช้านะคะ พี่ไปหยิบเองก็พอแล้ว” ซูเสี่ยวเถียนคิดว่าครอบครัวเธอถูกรายงานมาครั้งหนึ่งแล้วจึงยังคงระวังอยู่
ฉืออี้หย่วนพยักหน้า “เสี่ยวเถียน ถึงมันจะเป็นสิ่งที่คนอื่นไว้วางใจให้มา แต่ก็ต้องขอบคุณนะ!”
ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงยืนกรานที่จะกล่าวขอบคุณ แค่รู้สึกว่าควรจะพูดมัน!
“พี่อี้หย่วน วันมะรืนนี้เป็นวันหยุด พวกเราขึ้นเขาไปด้วยกันเถอะ หนูรู้ว่าบนภูเขามีผลไม้ป่าอร่อย ๆ เยอะมาก” เด็กหญิงพูดอย่างมั่นใจ
ถ้าน้องเก้าอยู่ที่นั่นจะต้องพูดว่า ตรงไหนที่น้องเถียนรู้ว่ามีผลไม้ป่าอร่อย ๆ เยอะ ๆ ด้วยน่ะ เห็นเลยว่ามันอยู่ในมือแล้วรอน้องมาหยิบไม่ใช่หรือไง?
จู่ ๆ ฉืออี้หย่วนก็ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง แล้วรีบเข้าไปในห้องพร้อมกับหนังสือในมือ ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับลูกท้อ
“ว้าว ลูกท้อ!” ซูเสี่ยวเถียนร้องด้วยความประหลาดใจ น้ำเสียงเกินจริงไปเล็กน้อย
นี่เพิ่งจะเดือนสิงหาคมตามปฏิทินจันทรคติเอง แล้วยังมีลูกท้อได้อย่างไร? เธอไม่เคยเห็นมันบนภูเขามาก่อนเลย
“พี่เจอมันโดยบังเอิญ ต้นไม้ต้นนั้นมีลูกท้อแค่สามลูก ลูกนี้สุกแล้วอีกสองลูกต้องรอสักสองสามวัน รอวันนั้นจะเก็บไปให้นะ” ฉืออี้หย่วนไม่รู้เลยว่าคิ้วขมวดกันจนยุ่ง
ซูเสี่ยวเถียนไม่เกรงใจ หลังจากที่กินลูกท้อก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “หนูชอบกินลูกท้อมากที่สุด แต่ว่าพี่อี้หย่วนต้องกินด้วยนะ มันดีต่อสุขภาพ!”
ฉืออี้หย่วนหัวเราะออกมา เด็กคนนี้นี่กินอะไรเข้าไปก็จะบอกว่ามันดีต่อสุขภาพทั้งนั้น
แต่หลังจากหัวเราะก็รู้สึกว่าสิ่งที่เสี่ยวเถียนพูดนั้นสมเหตุสมผล ทุกสิ่งที่คุณกินดีต่อร่างกายไม่ใช่หรือไง?