เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 537 คนที่มาส่งคำอวยพรในวันสิ้นปี
บทที่ 537 คนที่มาส่งคำอวยพรในวันสิ้นปี
บทที่ 537 คนที่มาส่งคำอวยพรในวันสิ้นปี
“ปู่ตงของพวกหลานเป็นคนที่นึกถึงสายสัมพันธ์เก่า ๆ เสมอ และก็คิดถึงความสัมพันธ์อันเล็กน้อยในตอนนั้นด้วย เลยอยากมีมิตรภาพอันแนบแน่นกับบ้านเรา ข้าราชการที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นพวกเราจะเมินเฉยความรู้สึกของเขาไม่ได้นะ” คุณปู่ซูเอ่ยด้วยแรงอารมณ์
น้องแท้ ๆ ยังไม่คิดจะมาหาเลย เขาเสียใจจริง ๆ นะ แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่เขาเคยให้ข้าวในวันนั้น กลับจดจำบุญคุณในครั้งนี้ได้อย่างยิ่ง และปฏิบัติต่อเขาเหมือนพี่ชายแท้ ๆ
เสี่ยวเถียนเข้าใจสิ่งที่ชายชราว่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณปู่ ก่อนกลัวเราทำเนื้อกวางให้สักหน่อยแล้วกันค่ะ พอกลับไปจะได้เอาให้ไปแก เขาจะได้ลิ้มรสสัตว์ป่าบ้านเราด้วยค่ะ”
คุณปู่ซูยิ้มขณะมองหลานสาวที่แสนฉลาด
เด็กคนนี้รู้เสมอว่าเขาหมายถึงอะไร
ทางฝั่งเมืองหลวง ต่งหยวนจงที่คิดจะฉลองปีใหม่กับคนบ้านซูกลับพลาดเสียได้ ได้แต่จ้องมองด้วยท่าทางโกรธจัด
ฟ่านชูฟางปลอบอยู่นานกว่าอีกฝ่ายจะสงบ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมสามีต้องยึดติดกับคนบ้านนี้ขนาดนั้น ตัวเธอเองก็สัมผัสได้ว่าพวกเขาไม่อยากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเราแท้ ๆ
ไม่ใช่อะไร แต่เพราะสถานะทางชนชั้นของสองตระกูลที่ต่างกันขนาดนี้
ต่งหยวนจงที่ใครหลายคนอยากจะเยินยอแต่ไม่สามารถทำได้ กลับติดหนึบกับบ้านซู
“ชีวิตเรามันก็ต้องมีความยึดติดกับใครสักคนสิ! เธอไม่เข้าใจหรอก!” ต่งหยวนจงเหมือนจะเข้าใจความคิดภรรยาจึงเอ่ยออกมา
ฟ่านชูฟางยิ้ม “งั้นก็ช่างเถอะค่ะ ฉันว่าพวกเขาคงไปไม่กี่วันเดี๋ยวก็กลับมาแล้วค่ะ พวกเราสองตระกูลมาฉลองเทศกาลโคมไฟด้วยกันก็ได้นะ!”
ต่งหยวนจงร้องเหอะ
สองตระกูลอะไร แบบบ้านซูนู่นถึงจะเรียกตระกูลได้ แต่ตระกูลต่งมีกันอยู่สองคน ยังจะเรียกตระกูลได้อีกหรือ
“กลับไปต้องไปเห็นไอ้เด็กพวกนั้นเสียแล้วให้หาภรรยาให้มันไว ๆ ถ้าหาไม่ได้ก็ไม่ต้องกลับบ้าน ฉันจะถ่วงความแก่ตัวเองไว้รออุ้มหลาน!”
ต่งหยวนจงอารมณ์ไม่ดีสักนิด เลยเอ่ยปากด่าลูกชายไม่คิดเกรงใจ
ตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ดังขึ้น แต่เป็นลูกคนโตที่โทรมาอวยพรในวันสิ้นปีแทน
ณ กองชุมชนหงซิน
คนบ้านซูกินอาหารมื้อส่งท้ายปีเก่าอย่างเชื่องช้า ทั้งกินไปด้วยดื่มไปด้วย รสชาติยังติดอยู่ในปาก ราวกับลิ้มรสพวกมันอย่างเชื่องช้า
กว่าจะจบก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว เวลานี้ยังหัววันเกินไปสำหรับคนยุคปัจจุบันเพราะรายการคืนวันปีใหม่*[1]เพิ่งจะเริ่มเอง
แต่ตอนนี้ไม่มีเช่นนั้นก็เลยเงียบเหงากว่าปกติ เธอคิดอยู่พักหนึ่ง เหมือนว่าวันที่รายการนี้เริ่มขึ้นจะอีกไม่นานนะ
จำได้ว่ามันเริ่มถ่ายทอดในปี 1983 นะ แต่ถ้าอยากดูรายการคืนวันปีใหม่ก็ต้องซื้อโทรทัศน์ก่อน เธอไม่ค่อยสนใจโทรทัศน์ขาวดำเท่าไร โทรทัศน์สีต่างหากที่อยากจะได้
แต่ในยุคนี้การผลิตโทรทัศน์สีเพิ่งเปิดตัวเอง แถมไกลตัวสำหรับคนทั่วไปที่จะซื้อมาสักเครื่องด้วย
ตอนนั้นเองที่เหลือบไปเห็นอาเขยข้างกายพอดี เธอจึงเกิดแรงบันดาลใจขึ้น มันมีอยู่วิธีหนึ่ง
ในฐานะที่เป็นเมืองท่าแห่งแรก เธอเชื่อว่ามันจะต้องมีโทรทัศน์สีแน่นอน
แต่ตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จอพูด รอไปก่อนดีกว่า
หลังอาหาร เหลียงซิ่วเก็บกวาดล้างจาน หม่านซิ่วยังอยากช่วยอีกแรง
“ซิ่วเอ๋อร์ นั่งเฉย ๆ เถอะ เธอเป็นแขกนะ ฉันจะให้เธอช่วยไม่ได้ ไม่งั้นพี่สะใภ้แบบฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ?”
เหลียงซิ่วเอ่ยอย่างเกรงใจ แต่อีกฝ่ายกลับละอายใจอยู่ดี
ตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงเคาะประตู
คุณปู่ซูจึงสงสัยว่าใครกันมาเอาปานนี้ ตามธรรมเนียมของที่นี่ คนที่มาอวยพรในวันสิ้นปีจะต้องเป็นญาติสนิทมิตรสหายเท่านั้น และสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดที่สุดระหว่างครอบครัวของเราคือครอบครัวซูซาน
แต่หลายปีที่ผ่านมาพวกเราไม่เคยไปหามาสู่กันในวันสิ้นปีเลย
โส่วเวินเป็นไปเปิดประตู
คนที่มาคือครอบครัวเถาฮวา
คุณย่าซูทักทายแขกด้วยรอยยิ้ม
ทั้งยังเอาน้ำหวาน เมล็ดแตงโม ถั่วลิสง และเอาลูกอมช็อกโกแลตที่เฉินจื่ออันเอากลับมาฝากให้เด็ก ๆ บ้านนี้ด้วย
“ป้าไม่ต้องรีบต้องรับก็ได้จ้ะ เราแค่มานั่งเล่นเฉย ๆ ป้าคงไม่รังเกียจใช่ไหมคะ?” เถาฮวายิ้มแล้ววางของขวัญบนโต๊ะ ก่อนนั่งที่ขอบเตียงเตา
“เด็กคนนี้ พูดอะไรเนี่ย? ถ้าฉันจะรังเกียจมันต้องไม่ใช่เธออยู่แล้ว!” คุณย่าซูว่า
เอ่ยไม่ทันจบก็มีเสียงเคาะประตูอีกครั้ง
โส่วเวินได้แต่สงสัยว่าทำไมมีแต่คนมาหาในวันนี้นัก?
เสี่ยวเถียนบีบเมล็ดแตงโมก่อนเอ่ย “หนูว่าลุงจู้จื่อน่าจะมาค่ะ!”
“หลานรักหนู ไม่ต้องเดาก็รู้จ้ะ!” หญิงชราลูบผมหลานสาว
ถ้าบ้านซูซานไม่มาก็มีสองบ้านนี้แหละที่เราสนิทที่สุด อย่างที่คิดไว้ ครอบครัวหลี่จู้จื่อมาหาจริง ๆ แต่พวกเขาไม่ได้มากันแค่สี่คนเท่านั้น แต่ยังพอพ่อตาบอดของสะใภ้จู้จื่อมาด้วย
สมาชิกเดิมทีมีมากกว่ายี่สิบคน พอมีคนมาเพิ่มอีกสิบกว่า ในห้องหลักไม่มีที่ให้นั่งเลย
พวกผู้ใหญ่นั่งคุยกัน ส่วนเด็ก ๆ เริ่มเบื่อเลยจับกลุ่มสี่ห้าคนเล่นไพ่
เสี่ยวเถียนอุตส่าห์เตรียมไว้ตอนอยู่เมืองหลวง พอขึ้นรถไฟจะได้เอามาเล่น แต่กลายเป็นว่าดันลืมไว้บนนั้น บังเอิญเลย ปีใหม่รอบนี้เพิ่งได้ออกโรง
ในเมื่อเล่นไพ่ก็ต้องมีการเสียเงิน เด็ก ๆ มีเงินติดตัวอยู่บ้าง แต่ละคนหยิบออกมาคนละหยวนแล้วเริ่มเล่น พวกผู้ใหญ่คุยเรื่องการพัฒนาในปีนี้และวางแผนสำหรับปีหน้า
สะใภ้หลี่จู้จื่อนั่งฟังเงียบ ๆ และสงสัยว่าบ้านเธอจะสามารถพัฒนาอะไรได้อีกบ้าง แม้ตอนนี้จะการพึ่งธุรกิจรับของมาขายจะไม่ได้แย่ แต่มันคงจะดีมากถ้าเราทำอย่างอื่นได้ หรือต้องไปลองในเมืองกับเขาบ้าง ได้ยินว่ารายได้ดีมากเลย
ความวุ่นวายนี้ยิงยาวไปจนถึงสี่ทุ่มกว่า
เถาฮวาผุดลุกขึ้น เธอบอกว่าต้องกลับบ้านเพราะดึกแล้ว
ส่วนบ้านจู้จื่อบอกว่าถ้าไม่กลับเตาไฟที่บ้านจะดับเอา
คุณย่าซูอยากจะให้พวกเขาอยู่กินงานเลี้ยงวันส่งท้ายปีด้วยกัน แต่ทั้งสองบ้านปฏิเสธและรีบจากไป
หลังจากส่งแขกพวกเขาเริ่มทำเกี๊ยวกันต่อ
ซูเสี่ยวเถียนปอกถั่วแล้วห่อด้วยเกี๊ยว เพื่อดูว่าปีหน้าใครจะโชคดี เนื้อที่สับไว้เมื่อตอนกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณย่าซูพาลูกสะใภ้และลูกสาวมานวดแป้ง ส่วนผู้ชายก็ช่วยกันห่อทำเกี๊ยว ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จสิ้น
กระทั่งถึงเที่ยงคืน ทันทีที่เสียงประทัดดังขึ้นการทุกสารทิศในกองชุมชน เกี๋ยวนึ่งของเราถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะแล้ว
คุณปู่ซูฟังเสียงประทัดพวกนั้น “ดูเหมือนปีนี้ชีวิตของทุกคนจะไม่ย่ำแย่นะ!”
ปีที่ผ่านมามีประทัดไม่มากนัก
เสี่ยวเถียนนึกถึงคนในยุคปัจจุบัน ตอนนี้จะต้องมีแสงสว่างวาบไปทั่วท้องฟ้าแน่เลย และนั่นถึงจะเรียกว่ามีชีวิตชีวามาก
ตอนนี้คนในหงซินเริ่มก้าวหน้ากันแล้ว คิด ๆ ดู การพัฒนาหลังจากนี้จะยิ่งไวขึ้นแน่นอน
หลังจากกินงานเลี้ยงส่งท้ายปีเสร็จ พวกเขาก็ไม่ได้อยู่เฝ้าคืนส่งท้ายต่อ
เพราะถ้าอยู่ยาว วันพรุ่งนี้พวกเขาได้หมดแรงกันแน่
หลังจากกินเกี๊ยวหญิงชรากลัวว่าจะกินมากไป เลยให้ทุกคนอยู่คุยกันก่อนแล้วค่อยเข้านอน
พวกเราทุกคนชวนกันคุย และยังพูดถึงเรื่องผลผลิตในปีนี้อีกด้วย
*[1]รายการ 春晚 หรือรายการคืนวันปีใหม่ เป็นรายการบันเทิงที่ยิงยาวตั้งแต่หนึ่งทุ่มจนเข้าเช้าวันใหม่ มีการแสดงต่าง ๆ ให้ได้ชมเช่น รำพัด ร้องเพลง กายกรรม ละครสั้น เป็นต้น และเป็นการแสดงระดับท็อปที่ได้รับคัดเลือกมาอย่างดีทั้งดารา นักแสดง และคนโชว์การแสดงจากภูมิภาคต่าง ๆ มีความอลังการเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีการฉายภาพเรื่องราวก้าวหน้าของประเทศจีนว่ามีการพัฒนาการ ผลงาน วิวัฒนาการอะไรบ้าง