เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 546 วางแผนไว้ล่วงหน้า
บทที่ 546 วางแผนไว้ล่วงหน้า
บทที่ 546 วางแผนไว้ล่วงหน้า
เสี่ยวเถียนรู้สึกว่าในตอนนี้ เรื่องทำธุรกิจไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนได้แต่เราเห็นได้ชัด ๆ จากการซื้อของมาในราคาต่ำและขายออกไปในราคาสูง
โดยทั่วไปในกระบวนการส่วนนี้คือ สินค้าจากทางใต้จะถูกขนส่งขึ้นทางเหนือจึงทำให้ราคาของมันจะสูงขึ้นเวลาขายออก และเราก็จะได้เงินก้อนแรกมา
โอ๊ะ ใช่ ตอนนี้เรายังไม่มีคำว่า ‘ธุรกิจส่วนบุคคล’ แต่จะเรียกเป็น ‘พ่อค้าหน้าเลือด*[1]’ แทน
พี่ชายเธอกับฉืออี้หย่วนน่าจะทำธุรกิจเล็ก ๆ คล้ายกับสิ่งนั้นอยู่
พอคิดเรื่องนี้ขึ้นมา พลันนึกคำถามสำคัญขึ้นมาได้ ตอนนี้พวกพี่ชายเริ่มทำธุรกิจกันอย่างเงียบ ๆ แล้วเมื่อไรถึงจะหาเงินได้เยอะ ๆ กับเขาได้ล่ะ?
หลายปีมานี้หม้อทองคำ (เงินก้อนแรก) เป็นขั้นบันไดในการทำธุรกิจ ถ้าเราได้เงินส่วนนี้มา แรงกดดันอื่น ๆ ที่ตามมาจะน้อยลงไปด้วย
แต่ถ้าเราทำธุรกิจเลยอย่างโจ่งแจ้งมันก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้าหมายได้ แถมยังกลายเป็นพวกพ่อค้าหน้าเลือดอีกด้วย อันที่จริงก็มีความเสี่ยงอยู่ตลอด
แต่เหมือนว่าตอนนี้จะยังไม่มีนโยบายในเรื่องของการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจส่วนบุคคล
ช่างเถอะ พูดไปตอนนี้ก็ทำให้ลุงฉางจิ่วคิดมากอีก ไว้ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกันนะ
“เสี่ยวเถียน แต่นี่มันเป็นการเก็งกำไรนะ”
ซูฉางจิ่วได้ยินเช่นนั้นในหัวพลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนใบหน้าจะกลายเป็นซีดเซียวด้วยความตกใจ
“ตอนนี้ประเทศเราอนุญาตแล้วค่ะ ถ้าไม่เชื่อก็ถามอาเขยได้เลย” เด็กสาวรีบตอบ
ตอนนั้นหัวหน้าซูคิดว่ามันคงจะจริง เพราะครอบครัวนี้ไม่ได้อยู่แต่ในเมืองหลวง แต่ยังมีอาเขยที่เป็นข้าราชการระดับสูงด้วย
หัวใจที่เต้นถี่ไม่รุนแรงอีกแล้ว
เฉินจื่ออันเป็นคนที่ดีคนหนึ่ง แต่เขาก็กลัวอีกว่าคนตำแหน่งสูงแบบนั้นจะเต็มใจคุยกับตนเองหรือเปล่า?
ในขณะที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่ ชายที่ตกเป็นหัวข้อก็เดินกลับมาพร้อมกับสหายตัวน้อยอย่างเฉินซิ่วหยวน
ไม่รู้ว่าไปทำอะไรกันมา ตอนมาถึงมีท่าทางเหนื่อยหอบเช่นนั้น
“โอ้โห ทำไมเสี่ยวหย่วนเหงื่อออกเยอะแบบนี้ล่ะ ระวังเป็นหวัดเอานะ” คุณย่าซูร้องลั่น
“เสี่ยวหย่วนรีบไปนั่งข้าง ๆ พี่สาวเร็วเข้า”
เด็กชายวิ่งไปหน้าเตียงเตา แต่แขนขาอันน้อยทำให้เขาเอื้อมไม่ถึงขอบเตียงเตา หลังจากพยายามอยู่นาน ขอบเตียงอันสูงปรี๊ดไม่ใช่ภูเขาสูงที่เราจะสามารถพิชิตได้
พวกผู้ใหญ่เด็กน้อยทำแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ชื่นชมภาพตรงหน้าด้วยความสบายใจ ไม่มีใครยื่นมือเข้าไปช่วย
แต่เฉินซิ่วหยวนเป็นเด็กฉลาด ในไม่ช้าเขาก็ลากเก้าอี้ตัวเล็กมาเพื่อใช้เป็นฐาน แล้วปีนขึ้นไป
จากนั้นก็มองคนอื่น ๆ ที่คิดไม่จะช่วยเหลือด้วยสายตาภาคภูมิใจ
“เสี่ยวหย่วนมานี่มะ มานั่งข้างพี่เร็ว” เด็กหญิงกวักมือเรียก
“เสี่ยวหย่วนไม่หนาว!” ถึงจะขึ้นไปบนนั้นแล้วก็จริง ทว่ากลับไม่คิดจะมุดเข้าใต้ผ้าห่ม
เสี่ยวเถียนคว้าน้องมาแล้วจับกดไว้ข้างใต้ผ้า “เหงื่อขับออกมาหมดเมื่อไรค่อยออกมา!”
เด็กชายฟังคำของพี่สาวมาก เขานั่งลงข้าง ๆ ด้วยท่าทีที่เชื่อฟังและมันทำให้คนเป็นพ่อได้แต่สงสัยว่า นั่นคือเจ้าลูกลิงลูกชายของเขาหรือ?”
เมื่อปัญหาของหลานชายได้รับการแก้ไขแล้ว หญิงชราก็กวักมือเรียกลูกเขยมานั่งข้างเตาด้วยกัน
ในวันที่อากาศหนาวแบบนี้ เหงื่อออกเยอะจะไม่สบายเอาได้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีเลย
เฉินจื่ออันเอ่ยทักหัวหน้าซู อีกฝ่ายจึงรีบผุดลุกขึ้นยืน
“นายกเทศมนตรีเฉิน!”
เฉินจื่ออันรู้สึกเขินอายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะว่า “อย่าทำแบบนี้เลยครับ เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ ไม่มีนายกเทศมนตรีหรอก”
ว่าจบเขาก็ทรุดตัวลงนั่งข้าพ่อตา
ส่วนซูฉางจิ่วกลับไม่กล้านั่งลง
เฉินจื่ออันชำเลืองมอง “หัวหน้า พวกเราเป็นญาติกันนะครับ คุณเป็นลูกพี่ลูกน้องกับซิ่วเอ๋อร์ ถือว่าเป็นพี่ชายภรรยาของผมนะ”
เขามีความประทับใจที่ดีต่อชายคนนี้
เหตุผลหลัก ๆ เลยนะ คือหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยใช้คนอื่นมาเติมเต็มความปรารถนาทางการเมืองเลย
และแรงใจของเขาคือคำนึงถึงเหล่าสมาชิก
ในฐานะที่เป็นหัวหน้า มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้
ซูฉางจิ่วไม่คิดว่าข้าราชการที่ยิ่งใหญ่อย่างเฉินจื่ออันจะเรียกเขาว่าพี่ชายภรรยา
ชายชรามองหัวหน้าซูด้วยความตื่นเต้น “ซางจิ่ว นั่งลงเถอะ!”
หัวหน้าซูทรุดตัวลงอย่างกับเครื่องจักร สิ่งที่อยากจะถามลืมมันไปหมดแล้ว
“จื่ออันเอ้ย หัวหน้าเขาอยากถามว่าตอนนี้ประเทศคิดยังไงกับการทำธุรกิจน่ะ”
จากนั้นนายกเทศมนตรีที่ว่าก็อธิบายให้ได้ฟัง
แล้วก็ยกตัวอย่างให้เห็นภาพจากเหตุการณ์ทางใต้ ค่อย ๆ แตกย่อยทีละนิดและอธิบายให้กระจ่าง
สรุปง่าย ๆ คือ ประเทศเราอนุญาตให้ทำธุรกิจขนาดเล็ก แต่ไม่อนุญาตให้มีการค้าขายจำนวนที่มากเกินไป
หัวหน้าซูแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน โลกเปลี่ยนไปมากขนาดนี้เลยหรือ?
คำตอบของจื่ออันทำให้ทุกคนตะลึงงัน โดยเฉพาะเด็ก ๆ บ้านซู
พวกเราทำธุรกิจกับฉืออี้หย่วน ถึงจะทำเงินได้บ้างแต่ไม่คิดเลยว่าทางใต้จะพัฒนาไปได้ไกลขนาดนี้
เสี่ยวซื่อมองพี่น้องที่กำลังตื่นเต้น เห็นท่าทางแบบนั้นก็รู้แล้วว่าคิดเรื่องหาเงินกันอยู่ ในบรรดาหลานบ้านซู เสี่ยวซื่อเป็นคนที่กระตือรือร้นในเรื่องหาเงินมากที่สุด แถมยังรักการหาเงินอีกด้วย
เฉินจื่ออันเห็นสีหน้าเขาอย่างชัดเจน
รอยยิ้มพลันผุดขึ้นที่มุมปาก ก่อนหน้านี้เขาบอกอยู่ว่าอยากคุยเรื่องนี้กับเด็ก ๆ นี่เช่นกัน
แต่ไม่คิดเลยว่าทันทีที่เอ่ยปาก พวกหลาน ๆ จะมีความคิดพวกนี้อยู่ในใจกันแล้ว
สองสามปีมานี้เงินหาง่ายมาก แถมเจ้าพวกเด็ก ๆ ยังมีความสามารถ เฉินจื่ออันจึงไม่รังเกียจที่จะให้ความช่วยเหลือ
“สถานการณ์เบื้องต้นก็ประมาณนี้ ตอนนี้ประเทศไม่ได้ค้านอะไรแล้ว แถมยังส่งเสริมอีก คิดว่านโยบายอื่น ๆ น่าจะออกมาอีก”
ถึงจะยังไม่มีออกมาอย่างชัดเจนแต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี อนาคตจะต้องมาแน่นอน ไม่งั้นตลาดจะต้องวุ่นวายในระยะยาวแน่ ๆ ถึงจะไม่มีทางเห็นได้จริง ๆ ก็เถอะ
ซูฉางจิ่วพยักหน้า
แต่คำตอบพวกนั้นเขาก็ไม่ได้รับรู้อย่างลึกซึ้งเท่าไร เพราะพวกเราอยู่ชนบท เป็นชาวนา เรื่องพวกนี้อยู่ห่างไกลจากเรามากเกินไป
หลาย ๆ คนเข้าใจความคิดหัวหน้าจึงไม่ได้โน้มน้าวใจอะไร เพราะยังไงนโยบายของประเทศในตอนนี้มันยังไม่ชัดเจนนัก กับคนที่ไม่ได้มีความคิดเรื่องนี้ ทั้งยังไม่กล้าพูด ไม่ว่าคนอื่นจะว่ายังไงก็ไม่เข้าใจหรอก
หัวหน้าซูนั่งอยู่สักพักก่อนจะขอตัวกลับ โดยที่ชายชราบอกว่าถ้าได้ยินข่าวในเมืองหลวงจะเอามาฝาก
หัวหน้าซูพึงพอใจมาก เขาเอ่ยขอบคุณก่อนจะเดินกลับไป
คล้อยหลังหัวหน้า เสี่ยวซือรีบวิ่งไปยิ้มหน้าอาเขยทันที
เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองตอนนี้เป็นคนโง่เขลาเลย
ลี่เฉิงที่อาเขยอยู่ มันเป็นสถานที่แบบไหนนะ?
ไม่คิดเลยว่าเราจะหาเงินได้สะดวกสบายขนาดนั้น
เฉินจื่ออันใจดีกับพวกเด็ก ๆ อยู่แล้ว แถมเจ้าพวกนั้นก็เป็นคนกล้าได้กล้าเสียด้วย
“เสี่ยวซื่อ ขยับออกไปหน่อยได้ไหม ไม่รู้หรือไงว่าตัวเองเสียงดังอยู่น่ะ? แล้วจะเข้ามาใกล้ทำไมขนาดนี้?”
ถึงจะพูดจาไม่คิดเกรงใจ แต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มประดับอยู่
*[1] พ่อค้าหน้าเลือด (倒爷) หรือศัพท์ทางธุรกิจอย่าง นักเจรจาต่อรอง (ในทางที่ไม่ถูกต้อง) คือกลุ่มพิเศษที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1980 เป็นกลุ่มที่นิยมและโด่งดังไปทั่วประเทศโดยเฉพาะในปักกิ่ง คนกลุ่มนี้บางส่วนจะแสวงหาผลกำไรที่ผิดกฎหมาย เอากำไรเกินควร โดยจะซื้อของมาในราคาต่ำและขายในราคาสูงโดยเฉพาะกับสินค้าหายากหรือปันส่วน แต่ก็มีบางส่วนที่ช่วยส่งเสริมด้านสังคมและเศรษฐกิจ หรือช่วยคว้าโอกาสด้านตลาดเอาไว้