เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 552 หญิงที่ค่อนข้างตระหนี่
บทที่ 552 หญิงที่ค่อนข้างตระหนี่
บทที่ 552 หญิงที่ค่อนข้างตระหนี่
“อาจารย์ฮั่วคิดจะทำธุรกิจเหมือนกันหรือคะ?” เสี่ยวเหมยถามด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
“คิดสิ”
เขาไม่กล้าบอกว่าอันที่จริงตัวเองกำลังแอบทำธุรกิจอยู่ เพราะแค่พึ่งเงินเดือนอย่างเดียวแทบจะเอาชีวิตไม่รอดเลย
“สินค้าถูกกว่าเมืองหลวงหลายอย่างเลย เลยถือโอกาสมาซื้อน่ะ”
บางทีคงเป็นเพราะเรามีเป้าหมายเดียวกัน เสี่ยวเหมยจึงคุยกับอาจารย์ฮั่วบ่อย ๆ ฮั่วซือเหนียนมีความสุขมากจนลืมไปเลยว่าตัวเองแซ่อะไร
การที่เสี่ยวเหมยจะสนใจเขาเป็นอะไรที่หายากมาก แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักของฮั่วซือเหนียนปิดไม่มิดเลยสักนิด พอโดนสายตาคู่นั้นจ้องมาจนแทบจะแผดเผา เสี่ยวเหมยได้แต่หลุบตามองพื้น
“ถ้าโลกใบนี้ไม่มีเงิน มันก็ไม่มีคนหน้าตาดีหรอกนะ!” ฮั่วซือเหนียนแซว
“…” เสี่ยวเถียน
ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมอาจารย์ฮั่วที่หล่อเหลาและไม่ธรรมดาผู้นี้ถึงตามจีบพี่เสี่ยวเหมยไม่ได้สักที ดูสิ่งที่เขาพูดสิ…
เด็กหญิงยกยิ้มเล็กน้อย
ฉืออี้หย่วนไม่เข้าใจว่ายิ้มอะไร แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร สิ่งสำคัญที่สุดคือเธอกำลังยิ้ม เขาจึงยิ้มตามเช่นกัน แถมยังหยิกใบหน้าด้วยความมันเขี้ยวด้วย
ความรู้สึกของเด็กสองคนนี้ยังอยู่ในช่วงขั้นต้น จึงไม่ได้แสดงอะไรออกมามากนัก และภาพนั้นทำให้ซื่อเลี่ยงทนไม่ไหว
รอยยิ้มฉืออี้หย่วนมันบาดตาเหลือเกิน! ถ้าตอนนี้เราไม่ได้เป็นหุ้นส่วนกันอยู่ เขาสัญญาเลยว่าจะพุ่งเจ้าไปจัดการมันเดี๋ยวนั้น
ทำไมต้องมองน้องสาวเขาด้วยสายตาแบบนั้น?
ทำไมต้องหยิกหน้าเธอ? ขนาดพี่ชายอย่างเขายังไม่เคยทำเลย!
กะหล่ำปลีหัวนี้ยังไม่โตพอให้หมูตัวนั้นกิน*[1]หรอกนะ ไหนว่าตกลงกันแล้วไง ว่าจะรอให้อายุสักยี่สิบหรือสามสิบก่อนน่ะ! ทำไมไม่ฟังเลยเล่า?
แต่ตอนนี้เราทำธุรกิจร่วมกันอยู่จะทะเลาะกันไม่ได้ แต่ก็จะให้ไอ้ฉืออี้หย่วนมายักคิ้วหลิ่วตาต่อหน้าไม่ได้เหมือนกัน
ชายหนุ่มก้าวออกไปข้างหน้า ก่อนจะคว้าแขนเด็กหนุ่มเอาไว้ ท่าทางเหมือนพี่ชายน้องชายที่รักใคร่กลมเกลียวกันดี
“อี้หย่วน หรงเฉิงเป็นสถานที่ที่ดีมากเลยนะ ฉันก็อยากจะหาคนที่พึ่งพาได้ที่นี่คอยส่งสินค้าให้เราเหมือนกัน เราจะทำกำไรได้มากกว่าซื้อในเมืองหลวงแล้วเอามาขายต่ออีก!”
แต่อี้หย่วนไม่ได้สนใจเจตนาซ่อนเร้นของคนเป็นพี่ แค่คิดว่าอีกฝ่ายมีความคิดที่ดีมาก แต่การหาคนส่งสินค้าให้มันไม่ง่ายใช่ไหมล่ะ? แค่อย่าให้ของหายก็พอ ไม่งั้นได้จ่ายจริงแน่
“แต่มันหาคนยากนะครับ” เขาขมวดคิ้ว
อันที่จริงซื่อเลี่ยงแค่หาเหตุผลมาทำให้เด็กสองคนนี้แยกจากกันเฉย ๆ เลยไม่รู้จะตอบอะไรออกไปดี
ตอนนั้นเสี่ยวซื่อบังเอิญเดินเข้ามาพอดี “หลี่มู่มู่ก็ไม่เลวนะ ถ้าอาเขยไว้ใจก็ถือว่าเป็นคนดีแน่นอน!”
เขาคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว ทีแรกคิดจะวางแผนจัดการเองแต่ไม่นึกว่าพี่รองก็คิดแบบเดียวกัน ก็อย่างที่ว่า ตอนนี้ทุกคนกำลังมุ่งมั่นในการหาเงิน
“หลี่มู่มู่หรือ?” อี้หย่วนชะงัก ไม่เคยได้ยินหรือรู้จักมาก่อนเลย
“ช่วงที่ผ่านมาเราได้มู่มู่พาเดินสำรวจน่ะ ช่วยเราหาเงินได้เยอะแยะเลย”
เสี่ยวซื่อแนะนำหลี่มู่มู่ให้รู้จัก
อีกฝ่ายยิ้มทักทายอี้หย่วนและฮั่วซือเหนียน
อี้หย่วนน่ะไม่เท่าไรแต่ฮั่วซือเหนียนเนี่ยสิ มองอยากกับเป็นศัตรูคนละชั้นอย่างไรอย่างนั้น
เขาเผลอทำอะไรไม่ดีไปหรือเปล่า?
ฉืออี้หย่วนยิ้มตอบ แววตาเป็นประกายพอควร เป็นเรื่องดีอยู่แล้วที่ได้คนในท้องที่ช่วยเหลือแต่เงินลวงใจคนได้นะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาล่ะ?
ตอนนั้นอาจารย์ฮั่วที่อยู่ข้าง ๆ กระซิบกับเสี่ยวเหมยอยู่
หญิงสาวหน้าแดง ไม่พูดไม่จาสักคำ
อาจารย์ฮั่วพูดอะไรไม่ออก
ก่อนหน้านี้เราอยู่เมืองหลวงก็พอเข้าใจ แต่ตอนนี้เราอยู่หรงเฉิงแล้วนะ ดูบ้านเมืองที่เปิดกว้างของที่นี่สิ หนุ่มสาวจับมือกันบนถนนไม่อายสายตาใคร ส่วนเขาที่ยังหนุ่มอยู่ได้แต่เสียใจ
ได้แค่มองหญิงที่รัก แต่จับมือไม่ได้
เสี่ยวเถียนเห็นพฤติกรรมสองคนนี้แล้วแหละ
คนที่ไม่รู้เรื่องก็คงนึกว่าตัวเองดูละครอยู่ ไม่ใช่ว่าเสี่ยวเหมยไม่สนใจชายคนนี้หรอกนะ แต่เพราะคิดว่าตัวเองเป็นแค่คนธรรมดา ไม่คู่ควรกับคนโดดเด่นอย่างฮั่วซือเหนียน
ในใจของเธอ เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก คนแบบนี้ควรได้เจอผู้หญิงที่ดีกว่า
แถมช่วงนี้ยังได้ยินจากฉือเก๋ออีกด้วย เขาเป็นที่ชื่นชอบของผู้หญิงวัยเดียวกันมาก
ไม่ต้องนึกก็รู้ว่าผู้หญิงพวกนั้นมาจากฐานะครอบครัวระดับเดียวกันกับตระกูลฮั่ว
แต่ชายคนนี้กลับไล่ตามเธอมายันหรงเฉิงอีก ในที่สุดป้อมปราการที่เธอสร้างไว้เหมือนจะถล่มลงมาอีกครั้ง
ตอนที่เราตัดสินใจว่าจะทำธุรกิจกับมู่มู่ ทุกคนกลับไปยังโรงแรมเพื่อหารือเรื่องต่าง ๆ
ส่วนอาจารย์ฮั่วยืนยันได้เสียทีว่าชายที่ชื่อหลี่มู่มู่ไม่ได้มีความคิดอื่นใดต่อเสี่ยวเหมย
เขารู้สึกโล่งใจมาก อีกทั้งแววตาที่มองอีกฝ่ายยังดีขึ้นด้วยและในใจก็ได้แต่คิดว่าตราบใดที่ไม่ขโมยภรรยาของเขาไป ก็ถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง!
ฉืออี้หย่วนที่รู้ว่าพวกเสี่ยวเถียนซื้อของไว้เยอะเลยจึงขอดูบ้าง
เครื่องประดับพวกนี้ดูดีจริง ๆ พอถามราคาเขาก็ยิ้มออกมา “ถ้าเราเอาสินค้าพวกนี้กลับไป อย่างน้อยก็ได้ราคาเป็นสองเท่าแน่ พรุ่งนี้จะไปหาอีกรอบแล้วค่อยกลับนะ”
พอฉืออี้หย่วนเอ่ยแบบนั้นทุกคนก็ไม่คัดค้าน
อย่างที่เด็กหนุ่มว่า เงินที่เหลืออยู่เอาไปใช้กับนาฬิกาข้อมือแล้ว และทุกคนก็หิ้ววิทยุคนละเครื่องเป็นอันจบ
เสี่ยวเหมยเห็นว่าที่นี่มีจักรไฟฟ้าด้วย ดีกว่าแบบเท้าของที่บ้านมาก น่าเสียดายที่ราคาสูงไป มากกว่าสองพันหยวนเลยนะ จ่ายไม่ไหวหรอก
อาจารย์ฮั่วเห็นเสี่ยวเหมยชอบจักรนั่นเลยจะเอาใจว่าที่สะใภ้เสียหน่อย
“อาจารย์ฮั่ว ราคาจักรเครื่องนั้นมันสูงไปค่ะ ป้าเถาฮวาต้องขายเสื้อผ้าเท่าไรถึงจะได้เงินคืนคะ” เสี่ยวเถียนสังเกตเห็นก่อน จึงรีบเตือน
ฮั่วซือเหนียนลังเล เขาคิดง่ายไปแค่อยากให้เสี่ยวเหมยมีความสุข และอีกอย่างคืออยากให้แม่ยายในอนาคตพึงพอใจด้วย
“อาจารย์ฮั่ว ป้าเถาฮวาไม่ชอบคนใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายน่ะ”
ราคามากกว่าสองพันยวนเชียวนะ ครอบครัวทั่วไปต้องใช้เวลาหนึ่งปีในการเก็บเงินแบบไม่กินไม่ดื่มเลยนะ
แล้วถ้าเขาซื้อให้ ป้าแกคงนอนไม่หลับแน่
เสี่ยวเหมยได้ยินบทสนทนานั่นพอดี เลยรีบพูดขึ้น “อาจารย์ฮั่ว ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันแค่ดูเฉย ๆ ยังไงจักรที่บ้านก็ดีกว่า!”
“ถ้ารอสักปีสองปี ราคาจักรเย็บผ้าไฟฟ้าน่าจะลดลงบ้างแล้วค่ะ ซื้อตอนนั้นคุ้มกว่านะ”
ตอนนี้ประเทศเรายังไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมโดยสมบูรณ์นัก สินค้าหลายอย่างยังต้องใช้ตั๋วจ่ายอยู่ รวมถึงผ้าด้วย เพราะงั้นคนที่ทำเสื้อผ้าจึงมีอยู่อย่างจำกัด
เสี่ยวเหมยพยักหน้าหงึกยืนยันในสิ่งที่น้องสาวบอก
ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากล้มเลิกความคิดนี้ในที่สุด แต่เขาก็ยังแอบซื้อสร้อยข้อมือที่เสี่ยวเหมยชอบมาให้อยู่ดี
มันเป็นสร้อยเงินที่มีไข่มุกเม็ดบางฝังอยู่ ราคามากกว่าร้อยหยวน
เสี่ยวเหมยละสายตาจากจักรเย็บผ้า เธอไม่มีเงินซื้อมันจริง ๆ
ตอนฮั่วซือเหนียนเก็บสร้อยใส่กระเป๋า เขาได้แต่คิดว่าเมื่อไรจะถึงเวลาสมควรแก่การมอบให้เธอดี
เหมือนตอนนี้จะยังไม่เหมาะ บางทีอีกฝ่ายอาจจะส่งคืนกลับมาก็ได้
การไล่ตามผู้หญิงที่ค่อนข้างตระหนี่ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไปนะ!
*[1] กะหล่ำปลีหัวนี้จะโดนหมูบ้านไหนกินไป หมายถึง หญิงงามมักจะโดนผู้ชายธรรมดาได้ไปครอบครอง