เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 553 บรรยากาศอันลึกซึ้งและงดงาม
บทที่ 553 บรรยากาศอันลึกซึ้งและงดงาม
บทที่ 553 บรรยากาศอันลึกซึ้งและงดงาม
เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด พวกเราใช้เงินทั้งหมดไปกับการซื้อสินค้าเตรียมกลับเมืองหลวง
วันต่อมาก็ถึงเวลาที่ต้องร่ำลากัน พวกเราหาร้านอาหารนั่งกินข้าวกับมู่มู่
“รสชาติไม่ค่อยดีเลย มู่มู่ ไว้นายมาที่เมืองหลวงเมื่อไร จะเลี้ยงของอร่อย ๆ ให้นะ!” เสี่ยวกังพร่ำบ่นขณะกำลังตักข้าวเข้าปาก
“มันพอได้อยู่ใช่ไหมครับ?” มู่มู่ค่อนข้างอายนิดหน่อย เพราะนี้เป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดเท่าที่จะหามาได้
“อย่าไปสนใจเขาเลยค่ะพี่มู่มู่ อาหารรสชาติดีนะแต่เพราะเรามาจากทางเหนือก็เลยไม่ชินลิ้นน่ะค่ะ!” เสี่ยวเถียนสังเกตเห็นความลำบากใจเลยรีบอธิบาย
ตอนนั้นเสี่ยวกังก็เพิ่งตระหนักได้ว่าตนพูดตรงเกินไปจึงพูดบ้าง “มู่มู่ นายคงไม่รู้ว่าบ้านเสี่ยวเถียนเป็นร้านอาหารน่ะ รสชาติไม่สามารถดีได้มากกว่านี้อีกแล้ว”
พอคิดได้ว่าหลายวันมานี้ยังไม่ได้กินอาหารฝีมือคุณย่าเขาก็หิวขึ้นมาทันที
ได้ยินเช่นนั้นมู่มู่พลันคลี่ยิ้ม ก่อนจะบอกว่าหากมีโอกาสได้ไป จะลองชิมดูแน่นอน
“มูมู่ เหนื่อยมาหลายวันเลยนะ ขอบคุณมากจริง ๆ” โส่วเวินขอบคุณด้วยความจริงใจ
“พี่ซูเกรงใจกันเกินไปแล้วครับเพราะผมตามพี่ต่างหาก ถึงได้โชคดีทำเงินได้มากมายแบบนี้”
อันที่จริงหลี่มู่มู่คิดว่าสิ่งที่บ้านซูทำคงไม่น่าได้เงินเยอะเท่าไร อย่างน้อยก็ได้แค่ค่าเดินทาง แต่พวกเขากลับมีวิสัยทัศน์ที่ดีและโชคดีอย่างคาดไม่ถึง แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็มีเงินมากกว่าที่เขาทำมาทั้งครึ่งปีเสียอีก
ครอบครัวมู่มู่มีแค่ตัวเองกับน้องสาวที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มันลำบากมากและเพราะได้นายกเฉินช่วยไว้เลยสามารถผ่านมันมาได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะขายของนิด ๆ หน่อย ๆ พอให้ได้กินข้าวอิ่มสักมื้อ
เขาเอาแต่วุ่นวายอยู่ในตลาด หลายปีมานี้ก็เพิ่งจะเก็บเงินได้กับเขานิดหน่อย และครั้งนี้เองที่ทำให้ครอบครัวเราดีขึ้นเสียที
“ลูกพี่มู่มู่ พรุ่งนี้เราไปกันแล้วนะ แล้วจะกลับมาอีกครั้งในช่วงวันหยุดฤดูร้อนนะ!” เสี่ยวซื่อไม่ค่อยเต็มใจนัก
เพราะรู้ว่าหากไม่ได้ความช่วยเหลือจากมู่มู่ เราคงไม่มีทางหาเงินได้หรอก
“ได้เลย วันตอนนั้นฉันจะพาพวกนายไปเอง!”
หลี่มู่มู่เองก็ยังลังเลที่จะแยกทางกับพวกเขาเลย ถ้าได้อยู่ด้วยกันนานกว่านี้ อาจจะหาเงินได้เยอะกว่าเดิมก็ได้
“พรุ่งนี้เราจะขึ้นรถไฟตอนบ่ายครับ กินข้าวเสร็จก็คงต้องแยกกันแล้ว” ซานกงยิ้มสุภาพ
“เดี๋ยวไปหานะ” มู่มู่ตอบ
หลังกินข้าวเสร็จเรากลับมายังที่พัก
เสี่ยวเถียนหยิบบัญชีออกมาและเริ่มคำนวณ เพราะพวกพี่ ๆ รักเธอมาก จึงปล่อยให้ทำงานที่ง่ายที่สุด อันที่จริงมันไม่ได้ง่ายนะ หลัก ๆ คือจำนวนเงินที่ใช้ลงทุนของแต่ละคนไม่เท่ากัน มีเงินเข้าออกอยู่ตลอด
เพราะงั้นเสี่ยวเถียนจึงต้องมานั่งบันทึกเงินพวกนั้นทุก ๆ วันไงล่ะ และตอนนี้เราได้ใช้เงินส่วนนั้นไปแล้ว จึงต้องคิดสรุปเอาไว้
หลังจากสะสางเสร็จ เธอก็ตระหนักได้ถึงปัญหาหนึ่ง นั่นคือมีความผิดปกติตรงเงินที่พี่สี่เอาออกมาใช้
“พี่สี่ ทำไมพี่มีเงินเยอะจังล่ะ”
“เสี่ยวซื่อ ทำอะไรไว้น่ะ?” โส่วเวินถามเสียงอ่อนโยน
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ก่อนจะมามีพวกเด็ก ๆ หลายคนบอกว่าเราจะหาเงินได้ ก็เลยเอาเงินที่หามาด้วยความยากลำบากก่อนปีใหม่ให้ผมมาน่ะ แล้วก็ให้ผมเอาสินค้ากลับมาให้พวกเขาด้วยนะ”
“…” เสี่ยวเถียน
พี่เธอนี่ใจกล้าเหลือเกินนะ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะขาดทุนบ้างหรือไง? ถ้าคนอื่น ๆ รู้ถึงความคิดน้องเล็กก็คงจะบอกว่า ‘มีอะไรให้เครียดกันล่ะ’ แน่นอน
การทำธุรกิจมันมีทั้งได้กำไรและขาดทุนอยู่แล้ว ถ้าเราขาดทุนก็แค่เริ่มใหม่เท่านั้นเอง
“พี่สี่ พี่คงไม่ได้คิดทำโดยไม่หวังผลใช่ไหม?”
เสี่ยวซื่อจ้องมองดวงตาน้องสาว สุดท้ายก็เอ่ยออกมา “ให้กำไรพี่สิบเปอร์เซ็นต์ นะ!”
แบบนี้ก็เป็นปัญหาแล้วสิ
“ดีเหลือเกินเสี่ยวซื่อเอ๋ย แสดงว่าให้พวกพี่ช่วยหาเงินสินะ?”
ซานกงเป็นคนแรกที่ไม่เห็นด้วย จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปหาน้อง
คนอื่น ๆ ไม่ยอมน้อยหน้า และในไม่ช้าก็เกิดความวุ่นวายขึ้น
หลังจากเอะอะกันสักพักทุกคนถึงค่อยแยกย้ายกันไปพักผ่อน ทว่าตอนนี้ยังไม่มืดเลย แถมตั้งแต่มาถึงเราก็ยังไม่ได้พาเสี่ยวเถียนไปเดินเล่นด้วย ฉืออี้หย่วนขึงแนะนำให้ออกไปเดินเล่นกัน
เพราะยังเป็นวัยรุ่น อีกทั้งตั้งแต่ที่มาถึงหรงเฉิงก็เอาแต่หาเงิน ตอนนี้จึงรู้สึกเบื่อมาก
พรุ่งนี้เรากำลังจะกลับเมืองหลวง เย็นนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ออกไปเที่ยวข้างนอกได้
ทีแรกไม่มีคนพูดก็ว่าไป แต่พอมีปุ๊ปทุกคนก็ตอบตกลงทันที
ในตอนนี้หรงเฉิงยังไม่ใช่เมืองกลางคืนนัก แต่เมื่อเทียบกับเมืองอื่น ๆ ที่นี่เต็มไปด้วยแสงไฟหลากสี
ต่อให้ค่ำแล้วก็ยังมีคนอยู่ข้างนอกเต็มไปหมด
เด็ก ๆ อยากไปแต่เหล่าซานปฏิเสธ
เขารู้สึกว่าพอมีเวลาว่างแล้วก็อยากนอนสักหน่อย
แต่ก็ยังกังวลว่าเด็ก ๆ จะไปสร้างปัญหาจึงต้องตามไปคอยดูแล
อาจารย์ฮั่ว “อาสามครับ ถ้าเหนื่อยไม่อยากไปไหนก็พักเถอะครับ! เดี๋ยวผมดูแลแทนเอง”
เหล่าซานเห็นว่าฮั่วซือเหนียนเป็นคนที่สุขุมที่สุด และตัวเขาก็ไม่อยากไปจึงตอบตกลง
ตลาดกลางคืนที่หรงเฉิงมีชีวิตชีวามาก เด็กสาวทั้งสองซื้อของกลับไปมากมายตั้งใจว่ากลับไปจะเอาไปแบ่งกับเพื่อน ๆ
แต่คนอื่น ๆ กลับไม่ได้สนใจเหมือนกัน
แค่คิดว่าพวกเธอเขลาไปหน่อย เครื่องประดับพวกนี้ไม่ดีเท่าอันก่อนหน้าที่ซื้อมาด้วยซ้ำนะ?
ถ้าชอบมัน ไว้กลับไปเราหยิบจากในกองมาก็ได้นี่?
ไม่รู้ว่ามีอะไรให้ชอบ เห็นแวบแรกก็รู้แล้วว่าไม่ค่อยมีค่าเท่าไร แต่พวกเขาจะไปรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่พวกเธอชอบคือบรรยากาศในการซื้อของ
ฉืออี้หย่วนตามเสี่ยวเถียนไปตลอดทาง ได้แต่มองใบหน้าที่ยิ้มแย้มนั้นเวลาอยู่กับคนคนนี้ ฉืออี้หย่วนรู้สึกอบอุ่นเสมอ
ไม่ได้ช่วยขนของ แต่ยังช่วยระมัดระวังในเรื่องใช้จ่ายด้วย
เด็กสองคนนี้เติบโตมาด้วยกันและสนิทกันอยู่แล้ว เสี่ยวเถียนจึงไม่ปฏิเสธการกระทำเหล่านั้น และยิ้มรับมันไว้
เห็นภาพเด็กสองคนที่เข้ากันได้ดี ฮั่วซือเหนียนอิจฉาตาร้อนไปหมด
เมื่อไรเสี่ยวเหมยจะเป็นแบบนั้นบ้าง ให้เขาได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อเธอ
ฮั่วซือเหนียนลูบกระเป๋าใบเล็กที่มีสร้อยข้อมืออยู่ในนั้น เขาลอบคิดกับตัวว่าถึงเมืองหลวงเมื่อไรจะมอบให้เป็นของขวัญ
หลังจากซื้อของอยู่พักหนึ่ง เด็ก ๆ ก็ตระหนักได้ว่าคิดผิดที่ปล่อยให้ฉืออี้หย่วนดูแลน้องสาว!
แต่เด็กสองคนนั้นตัวติดกันแล้ว เราจะสร้างปัญหาตามใจชอบไม่ได้นะ
“น้องเล็กดูนี่เร็ว ที่คาดผมอันนี้สวยมากเลย พี่รองซื้อให้เอาไหม?”
“เสี่ยวเถียน สร้อยข้อมือเส้นนี้สวยอยู่นะ พี่ใหญ่ซื้อให้ดีไหม?”
“น้องเถียน ยางมัดผมอันนี้เหมาะกับวัยเลยนะ เดี๋ยวพี่สามซื้อให้”
…
ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้หลังจากที่พวกพี่ ๆ คิดได้!
เป็นบรรยากาศที่ลึกซึ้งและงดงามมาก!