เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 600 เปิดร้านไข่พะโล้
บทที่ 600 เปิดร้านไข่พะโล้
บทที่ 600 เปิดร้านไข่พะโล้
หลี่จู้จื่อกอดภรรยาแน่น “ที่รัก ถ้าไม่มีเธอ ฉันก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะเป็นยังไงกันแน่ ไม่ต้องห่วงนะ ไว้ชีวิตบ้านเราดีขึ้นเมื่อไหร่ ฉันจะทำให้เธอมีความสุขแน่นอน”
“แค่ได้อยู่กับคุณ ฉันก็มีความสุขแล้วค่ะ คุณดูแลฉันกับพ่ออย่างดี มีอะไรให้ฉันไม่พอใจล่ะ?”
เธอเกือบไม่ได้แต่งงานเพราะมีพ่อพิการ
กระทั่งได้พบกับหลี่จู้จื่อ แม้ว่าชีวิตของเธอจะลำบากไปบ้าง แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว แค่นี้ก็ถือว่าน่าพอใจแล้วล่ะ
หลังสองพี่น้องกลับถึงบ้าน คนเป็นพี่ได้เอ่ยถาม “เสี่ยวเถียน แล้วสูตรที่ว่าจะให้คนในกองชุมชนใช้เฉย ๆ หรือ?”
“เป็นไปได้ยังไงกันคะ?” เธอส่ายหัว
“งั้นจะทำยังไงล่ะ?” โส่วเวินสงสัย
“หนูคิดจะร่วมมือกับหงซินโดยใช้สูตรอาหารมาลงทุน แน่นอนว่าถ้าอยากให้ช่วยในเรื่องเงินทุนหนูทำให้ได้นะ แต่หนูอยากมีอำนาจในการควบคุมค่ะ”
โส่วเวินไม่เข้าใจคำว่ามีอำนาจในการควบคุม
“เสี่ยวเถียน หนูจะทำงานไหว? ทุกคนจะร่วมเหมือนกับเราไหม?”
“ขึ้นอยู่กับลุงฉางจิ่วค่ะ”
“งั้นทำไมวันนี้ถึงไม่บอกแกไปล่ะ?”
“การขอร้องคนอื่นไม่ใช่การค้าขายค่ะ ขึ้นอยู่กับอีกฝ่ายว่าจะคิดยังไงต่างหาก”
โส่วเวิน “…”
สาวน้อยจัดการไว้แล้วสินะ
“แล้วลุงฉางจิ่วจะมาหาเธอหรือ?”
“ไม่รู้สิคะ! แต่หนูคิดว่าเรื่องนี้เราทำกันเองได้นะ!”
“เราทำอะไรหรือ?” ผู้เป็นพี่ไม่เข้าใจ
“พูดเรื่องนี้แล้วเหมือนตอนพี่หกเลยค่ะ เราสามารถตั้งแผงได้ แน่นอนว่าดีกว่าเปิดเป็นร้านเยอะเลยค่ะ”
ฉีเหลียงอิงบังเอิญได้ยินบทสนทนาพอดีจึงเอ่ยถาม “พวกลูกพูดจริงหรือ?”
“จริงค่ะแม่รอง ตอนนี้เรามีเปิดร้านแล้วนะคะ หาเงินได้ด้วย”
แม่รองใจเต้นขึ้นมา “ถ้างั้นบอกหน่อยสิ ถ้าแม่ตั้งร้านขายไข่บ้างจะทำได้ไหม?”
เธอช่วยเสี่ยวเถียนต้มไข่พะโล้อยู่ และคิดว่ามันไม่ได้ยากที่จะเรียนรู้เท่าไร พอคิดว่าตนจะเปิดร้านได้คงดีไม่น้อย
เสี่ยวเถียนบอกไว้อยู่ไม่ใช่หรือว่าไม่ว่าจะไปทำธุรกิจอะไรที่เมืองหลวงก็หาเงินได้ทั้งนั้นน่ะ?
ถ้าตัวเธอไปบ้าง อาจจะมีเรื่องให้ทำได้ก็ได้นะ
“แม่รองครับ เปิดร้านในเมืองหลวงไม่ดีเท่าเปิดในตัวอำเภอเราหรอกนะครับ” โส่วเวินตอบ
ฉีเหลียงอิงสับสน “ทำไมล่ะ?”
“ค่าเช่าร้านทำเลดี ๆ ในเมืองหลวงสูงเกินไปครับ ส่วนค่าเช่าในตัวเมืองของเราจะน้อยกว่า ไข่พะโล้เป็นธุรกิจขนาดเล็ก เทียบราคาขายจากทั้งสองที่แล้วไม่ได้ต่างกันมาก ค่าเช่าต่อเดือนร้อยกว่าหยวน ต่อให้เราขายได้เยอะ แต่กำไรไม่ได้มากหรอกครับ!”
โส่วเวินพูดความจริงทั้งหมด และฉีเหลียงอิงก็เชื่อในคำของหลานชายเช่นกัน
“เสี่ยวเถียน แล้วสูตรนี้ให้แม่ใช้ได้หรือเปล่าจ๊ะ?” เธอถาม
เสี่ยวเถียนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีความคิดเช่นนี้ แต่ถ้าเจ้าตัวอยากทำธุรกิจด้วยตัวเอง เธอยินดีสนับสนุนนะ
“ถ้าแม่รองยินดี หนูจะให้แม่เลยค่ะ แล้วก็จะเตรียมพวกเครื่องยาไว้ให้แม่สำหรับครึ่งปีด้วย”
“งั้นถ้าเราแบ่งสัดส่วนรายได้กันนะ แม่ให้ลูก 30% ของกำไรสุทธิ หนูตกลงหรือเปล่า?”
เด็กสาวตกใจที่แม่รองเป็นฝ่ายบอกจะแบ่งด้วยตัวเอง
เพราะแม่รองไม่ใช่คนใจกว้างนัก ทำไมถึงเป็นฝ่ายเสนอเงินให้เธอล่ะ?
“แม่รองไม่ต้องให้หนูเยอะขนาดนี้ก็ได้ค่ะ เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะคะ แถมสูตรนี้ก็มีแค่อันเดียวด้วย!”
ฉีเหลียงอิงส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “สูตรอาหารมีค่านะ แม่ไม่อยากได้มาเฉย ๆ หรอก”
“ปกติแม่เป็นคนคิดเยอะก็จริง และคิดแค่ว่าอะไรที่ต้องการควรเป็นของแม่ แต่แม่ไม่ใช่คนเอาเปรียบหรอกนะ”
เด็กสาวขบคิด ก็จริงที่อีกฝ่ายไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ฉีเหลียงอิงคิดแต่เรื่องทรัพย์สินของครอบครัว เพราะกลัวว่าอีกสองบ้านจะฉวยโอกาสเอาไป ส่วนเรื่องอื่นไม่ได้มีอะไรน่าห่วง
“ได้ค่ะแม่รอง งั้นเราทำข้อตกลงกันแล้วนะ เดี๋ยวหนูส่งเครื่องยามาให้ แล้วก็แบ่งกำไรให้หนู 10% พอค่ะ”
เสี่ยวเถียนลดให้อีก 10%
ถึงจะเอามาแค่ 20% แต่เงินที่ได้ไม่ใช่น้อย ๆ นะ
“ไม่ได้หรอก แบบนี้ลูกก็เสียเปรียบเอาน่ะสิ!” ฉีเหลียงอิงรีบส่ายหัว
เมื่อกี้เพิ่งจะได้ยินว่าเสี่ยวเถียนบอกจะเอาสูตรนี้ให้คนในกองชุมชนใช้ แถมจะแจกเงินปันส่วนด้วย
“หนูไม่เสียเปรียบเลยค่ะแม่รอง วัตถุดิบที่ใช้ก็ไม่แพงด้วย ได้เปรียบท้้งนั้นเลย”
“งั้นก็ได้จ่ะ เป็นว่าแม่ที่เอาเปรียบลูกแล้วกัน ไว้แต่งงานเมื่อไหร่จะเตรียมสินสอดไว้ให้นะ!”
ฉีเหลียงอิงมีความสุขมาก ถึงจะยังไม่ได้เงินอะไรใด ๆ แต่รู้สึกแค่ว่า ไม่ว่าอะไรที่เสี่ยวเถียนพูดมันเป็นไปได้ทั้งนั้น
หากธุรกิจนี้สำเร็จลุล่วง ถึงสิ้นปีเมื่อไร รายได้ครอบครัวเธอไม่น้อยไปกว่าใครแน่นอน!
โส่วเวินพูดไม่ออกเมื่อได้ยินเรื่องสินสอด
เสี่ยวเถียนเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง? ทำไมแต่ละคิดจะเตรียมสินสอดให้น้องทั้งนั้น?
เกิดพรุ่งนี้ลุงฉางจิ่วมาหาแล้วพูดเรื่องนี้อีกคนล่ะ?
“แม่รองครับ เสี่ยวเถียนยังเด็กอยู่เลย ไม่ต้องรียบร้อนเตรียมหรอกนะ!”
ฉีเหลียงอิง “ลูกยังอายุน้อยอยู่น่ะสิเลยไม่รู้ว่าเมื่อก่อนมีครอบครัวใหญ่หลายครอบครัวเตรียมสินสอดให้ลูกสาวตั้งแต่เกิดเยอะเลยนะ ด้วยวัยของเสี่ยวเถียนยังไม่เร็วเกินไปที่จะทำหรอกนะ”
โส่วเวิน “…”
ถ้าเริ่มเตรียมให้ตั้งแต่ตอนนี้ พอถึงวันที่น้องแต่งงานคงได้สินสอดเยอะแน่ แล้วก็ไม่รู้ว่าไอ้หนุ่มบ้านไหนมันจะได้น้องสาวเขาไปด้วย!
พอคิดเรื่องนี้ ใบหน้าฉืออี้หย่วนก็ลอยเข้ามาในความคิด โส่วเวินรีบส่ายหัวไล่ทันที
ไม่คิดแล้ว ไม่คิดเรื่องนี้แล้ว
ถ้าคิดอีกคืนนี้คงไม่ได้นอนแน่ ๆ
เสี่ยวเถียนหันไปคุยกับฉีเหลียงอิง “แม่รองคะ ถ้าเราเปิดร้านขายแต่ไข่พะโล้ไม่มีทางรอดแน่นอนค่ะ เราต้องขนขยายขอบเขตธุรกิจด้วยนะ”
“ขยายทำไมหรือ?”
“การทำไข่พะโล้ไม่จำเป็นต้องตุ๋นแค่ไข่หรอกนะคะ ไข่เป็ด ไข่นกกระทาได้หมดเลยค่ะ อีกอย่างเราตุ๋นเนื้อ ตุ๋นผักก็ได้ด้วยนะคะ!”
“แล้วใช้สูตรเดียวกันหมดเลยหรือ?” อีกฝ่ายประหลาดใจ
ไข่พะโล้อร่อยนะ แต่ถ้าเป็นเนื้อจะมีกลิ่นแปลก ๆ ไหม?
“ไม่เหมือนกันค่ะเพราะเราใช้คนละสูตร ตอนอยู่เมืองหลวงพวกพี่ ๆ จะเดินเร่เนื้อตุ๋นผักตุ๋นตามซอกตามซอยค่ะ ธุรกิจดีพอตัวเลย ถ้าแม่รองไม่กลัวเหนื่อยหนูจะเตรียมเครื่องปรุงของสองเมนูนี้ไว้ให้นะคะ”
สูตรที่พี่ ๆ ใช้ แม่รองเองก็ใช้ได้เหมือนกัน
เสี่ยวเถียนหวังว่าคนในบ้านจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะพวกผู้ใหญ่หรือพี่ชายคนไหน หากพวกเขามีธุรกิจเป็นของตัวเองได้มันจะเป็นการดีที่สุด
แม่รองเคยอยู่อำเภอช่วงนี้ ถ้าจะกลับมาทำไร่ทำนาคงยาก
สู้ให้แกออกไปทำงานข้างนอกดีกว่า ทำธุรกิจเล็ก ๆ ไม่ได้เสียเงินเยอะด้วย
“งั้นก็ดีเลยจ้ะ” ฉีเหลียงอิงปรบมือแล้วยิ้มยินดี “เสี่ยวเถียน งานนี้คงต้องเปลืองแรงกันหน่อยแล้ว เตานึงไว้ดู อีกสองเตาไว้ทำจะเหนื่อยสักแค่ไหนกันนะ? เท่าเกี่ยวข้าวสาลีในไร่ช่วงหน้าร้อนหรือเปล่า?”
ถึงฉีเหลียงอิงจะเป็นพวกคิดเล็กคิดน้อย แต่ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร แล้วก็ไม่ใช่คนล้มเลิกกับความพยายามด้วย เวลาทำงานก็ช่วยเหลือได้ ไม่เคยบพูดว่าเหนื่อยหรือลำบากเลย