เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 601 ไม่ใช่นายทุนสักหน่อย
บทที่ 601 ไม่ใช่นายทุนสักหน่อย
บทที่ 601 ไม่ใช่นายทุนสักหน่อย
ทันทีที่ตัดสินใจเสร็จเรียบร้อย ฉีเหลียงอิงร้อนรนกว่าเด็ก ๆ ทั้งสองที่จะได้เข้าเมืองพรุ่งนี้เสียอีก
ตอนนั้นเองที่เหล่าเอ้อร์ห้ามเอาไว้
“เธอนี่ โส่วเวินกับเสี่ยวเถียนอุตส่าห์กลับมา ทำไมไม่อยู่ต่ออีกสักวันเล่า”
เขาเป็นคนไม่ค่อยระวังอะไร แต่ไม่ได้สติเลอะเลือนนะ
โส่วเวินเป็นลูกชายครอบครัวพี่ใหญ่ พวกเขาไม่ได้เจอกันมาตั้งครึ่งปี อุตส่าห์ได้กลับมาทั้งทีก็อยากจะอยู่คุยกันอีกสักวันบ้าง
เพราะงั้นรอบหน้าที่ได้เจอกันคงเป็นปีใหม่แล้วละ
ธุรกิจบ้านเราในเมืองหลวงตอนนี้เยอะขึ้นทุกที แต่ให้ถึงปีใหม่ก็ไม่แน่ว่าจะกลับมาได้ด้วยซ้ำ
ฉีเหลียงอิงรู้ว่าตัวเองเอาแต่ใจเสียแล้ว
เสี่ยวเถียนคิด “พ่อรอง พรุ่งนี้เข้าเมืองไปกับพวกเราไหมคะ?”
ถ้าเกิดพ่อรองไปอาจจะได้เจอกับพี่รองก็ได้ เราจะได้ไม่ต้องวนไปวนมาหลายรอบ และพวกเขาจะได้ปรึกษาหารือเรื่องนี้ไปเลย
ฉีเหลียงอิงเห็นด้วย
“พ่อซื่อเลี่ยง ไปกับฉันไหม? ถ้าเราต้องเปิดร้านในเมืองจริง ๆ คุณต้องรู้ที่ตั้งมันไม่ใช่หรือ?”
ทีแรกเหล่าเอ้อร์ไม่ได้คิดเรื่องนี้เอาไว้ แต่พอภรรยาเอ่ยแล้วก็เห็นด้วย
“เดี๋ยวกลับไปปรึกษาพี่ใหญ่ก่อน ถ้าฉันไปแล้วพี่ใหญ่ก็ต้องดูแลฟาร์มหมูคนเดียวน่ะสิ มันเหนื่อยเกินไปสำหรับเขานะ!”
ตอนนั้นเหล่าต้าเดินออกมาจะไปฟาร์มหมูพอดี ชายวัยกลางคนยกยิ้ม “แกไปเถอะเหล่าเอ้อร์ นี่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับครอบครัวนะ!”
ตกบ่ายสองพ่อลูกบ้านซูฉางจิ่วมาหา
หัวหน้าซูยังถือกล้องยาสูบที่เป็นเอกลักษณ์เอาไว้ บนตัวกล้องแขวนถุงเล็กเรียบ ๆ ไว้ด้วย
“เสี่ยวเถียน เมื่อคืนตอนไปที่บ้าน พี่ออกไปเดินแล้วมาน่ะ ก็เลยไม่ได้เจอกันเลย!”เสี่ยวเฉ่าพบเด็กสาวก็เอ่ยอย่างสนิทสนม
เสี่ยวเถียนจับมือพี่สาวอย่างเป็นกันเอง “พี่เสี่ยวเฉ่าอยู่บ้านหรือคะ พอพี่เข้ามหาวิทยาลัยแล้วสวยขึ้นกว่าเดิมอีกน้า”
ไม่ผิดไปจากคำพูดเท่าไร เพราะเดิมทีเสี่ยวเฉ่าเป็นคนหน้าตาดีอยู่แล้ว หลังจากเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ตัวเธอก็มีบรรยากาศของผู้มีความรู้แผ่ออกมาทำให้ต้องตาต้องใจผู้คน จึงไม่แปลกที่จะดูดี
ฉางจิ่วฟังที่เสี่ยวเถียนชมลูกสาวตนไม่หยุดปาก เขาเห็นด้วยเหมือนกัน
ก่อนหน้านี้คิดว่าลูกสาวเหมือนจะขาดอะไรไปนิดหน่อย แต่เหมือนว่าจะมีครบทุกอย่างแล้ว
รอแค่เธอพาว่าที่ลูกเขยกลับมาด้วย ถึงจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
เสี่ยวเฉ่าไม่รู้ว่าในหัวพ่อคิดอะไรอยู่ เธอยังคงคิดกับน้องด้วยความสนิทสนม
เหล่าเอ้อร์เข้ามาคุยกับหัวหน้าซูเช่นกัน หัวข้อไม่พ้นเรื่องคำถามเปิดร้าน
เหล่าเอ้อร์ “ภรรยาผมว่าจะเข้าเมืองไปเปิดที่นั่นครับ”
ฉางจิ่วผิดหวังนิดหน่อย ตัวเมืองมณฑลเลยหรือ?
มันไกลเกินไปน่ะสิ เราต้องขนไข่ไก่จากที่นี่ไปส่งถึงนั่นเลยนะ แค่ค่าขนส่งก็มีค่าใช้จ่ายเยอะแล้ว
“เราเปิดในอำเภอไม่ได้หรือ?”
ในอำเภอ?
เรื่องนี้เหล่าเอ้อร์ไม่ได้คิดถึงเลย
เพราะที่นั่นคนน้อย วันนึงคงขายไม่ได้เยอะ
“ลุงฉางจิ่วหาคนมาเปิดร้านที่อำเภอสิคะ ส่วนแม่รองก็จะทำในส่วนของตัวเมืองแทน ไม่ยุ่งกัน”
ซูฉางจิ่วอยากทำงานนี้จริงๆ แต่ไม่รู้คนที่บ้านจะคิดยังไง
“พ่อคะ ฉันว่าให้พี่สะใภ้ไปลองก็ได้นะ สบายกว่าทำไร่ทำนาในชนบทอีก” เสี่ยวเฉ่าเห็นว่าพี่สะใภ้อายุยังน้อย ถ้านอกกองชุมชนมีงานให้คงจะดีทีเดียว
“พ่อไม่รู้ว่าพี่สะใภ้ลูกจะว่ายังไงน่ะสิ ลองกลับไปถามไหม?”
“ลุงฉางจิ่วต้องคิดให้ดีนะคะ ถ้าอยากให้ลูกสะใภ้เปิดร้านจริง ๆ ลุงจะทำในนามกองชุมชนหรือในนามของตัวเองกัน?”
เรื่องนี้สำคัญมาก
ซูฉางจิ่วเป็นหัวหน้า ถ้าไม่ระวังจะมีปัญหาเอาได้
ชายชราเงียบ
เสี่ยวเฉ่าเอ่ยปากตรง ๆ “แน่นอนว่าต้องเป็นในนามพี่สะใภ้อยู่แล้ว!”
ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่กำไรมั่นคง อย่างน้อยช่วงสองสามปีนี้นี้แหละ แต่ถ้าทำเป็นของส่วนรวม อนาคตไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาหรือเปล่า
ถ้าทำในนามพ่อไม่ได้ ก็ทำในนามพี่สะใภ้แทน
“พี่เสี่ยวเฉ่าคะ ถ้าเปิดในนามพี่สะใภ้ อนาคตข้างหน้าร้านแห่งนี้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพี่นะคะ”
“วันข้างหน้าถ้าพี่มีงานทำ พี่จะลองพยายามให้เต็มที่ว่าจะอยู่ในตัวเมืองได้หรือเปล่านะ” เสี่ยวเฉ่าคิดมาดีแล้ว
ถึงจะเป็นครู แต่การได้อยู่ในตัวเมืองมณฑลมีประโยชน์กว่ากลับมาที่บ้านอีก
เสี่ยวเถียนยิ้ม “ขอแค่พี่คิดไว้ดีแล้วก็ไม่มีปัญหาค่ะ”
สิ่งที่ครอบครัวเรากลัวมากที่สุดคือแต่ละครมีเป้าหมายที่ไม่ดี
เสี่ยวเฉ่ายิ้ม “เรื่องที่พ่อแม่ส่งพี่เรียนมหาวิทยาลัย พี่ชายพี่สะใภ้เองก็ไม่ได้ขัดข้อง เรื่องอื่นพี่ไม่ห่วงแล้วจ้ะ!”
เสี่ยวเถียนพยักหน้า
ซูฉางจิ่วไม่คิดเลยว่าลูกสาวจะใจกว้างขนาดนี้
“เธอมอบแสงสว่างให้บ้านเราแล้วละ”
ครอบครัวซูฉางจิ่วมีสะใภ้ใหญ่ที่ไม่อยากออกไปทำมาหากินข้างนอก คิดแต่จะอยู่บ้าน ส่วนสะใภ้รองอย่างเถียนเสี่ยวเหอเป็นพวกช่างคิด ชอบคิดว่าคุ้มค่าที่ได้ลองทำ เลยอยากจะส่งมาหาเสี่ยวเถียนนี่ละ
เสี่ยวเถียนพูดแบบเดียวกันเลยนั่นคือ ตนจะส่งวัตถุดิบมาให้และขอกำไรสุทธิ 20%!
หากไม่ใช่เพราะเคยบอกแม่รองไว้ก่อนแล้ว เธอคงจะขอมากกว่า 20% แล้วละ
แต่เพราะเราแบ่งกันแบบนี้แล้ว เสี่ยวเถียนจึงแบ่งกับเถียนเสี่ยวเหอเหมือนกันทุกประการ
“เสี่ยวเถียน เธอยังอยากได้ส่วนแบ่งอีกหรือ?”
เถียนเสี่ยวเหอไม่อยากตอนได้ยินว่าอีกฝ่ายจะเอาส่วนแบ่ง 20%
“ก็ต้องอยากได้อยู่แล้วสิคะ!”
“เสี่ยวเถียน แบบนี้ไม่ดีมั้ง? เธอไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แต่ดันได้เงินเฉย ๆ เนี่ยนะ แบบนี้ก็เหมือนกับพวกนายทุนพวกเจ้าของที่เลยไม่ใช่หรือไง?”
เสี่ยวเถียนไม่คิดว่าเธอจะกลายเป็นนายทุนไปเสียแล้ว ตอนนั้นเด็กสาวไม่อยากพูดอะไรอีก
เถียนเสี่ยวเหอดูไม่ได้เป็นคนดีเท่าไรนะ เป็นคนประเภทขอให้ได้มาโดยไม่ต้องลงแรงก็พอสินะ ไม่เอาดีกว่า
ในใจเสี่ยวเถียนปฏิเสธอีกฝ่ายแล้ว
ส่วนเถียนเสี่ยวเหอที่ไม่รู้ตัวเอง เอาแต่จ้องเขม็งใส่เด็กสาวด้วยแววตาเบิกกว้าง
เพราะเธอคิดแบบนั้นจริง ๆ
ก็ในเมื่อเธอเป็นฝ่ายต้องเปิดร้าน แต่สุดท้ายกลับต้องเอาเงินมาให้เสี่ยวเถียน ไปพูดแบบนี้ที่ไหนใครจะยอมรับได้?
ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
ทว่าสะใภ้ผู้นี้ไม่ได้รู้เรื่องราวเลยว่าเสี่ยวเถียนยอมแพ้กับเธอแล้ว
ส่วนฉีเหลียงอิงกลับไม่เข้าใจความคิดของเถียนเสี่ยวเหอเสียเลย
เสี่ยวเถียนต้องการกำไรสุทธิแค่ 20% เองนะ แค่นี้ก็ดีมากแล้วนะ
แม่รองจับมือหญิงสาวก่อนอธิบายให้ฟัง “เสี่ยวเหอ เสี่ยวเถียนเขาเตรียมเครื่องยาให้เรานะ เป็นสูตรของเธอเองนะ เอามาให้คนที่สนิทด้วยกันน่ะ!”
แต่เถียนเสี่ยวเหอหาได้เข้าใจไม่
เรามาจากกองชุมชนเดียวกันนะ แค่สูตรการทำยังให้มาเฉยๆ ไม่ได้เลยนี่?
แถมมันก็ไม่ใช่ของมีค่าอะไรสักหน่อย จะคุ้มกับ 20% ที่เสียไปหรือ?
แบบนี้ไม่ใช่การรังแกตัวเองหรือไง?
ไม่ได้การ ต้องบอกเรื่องนี้กับพ่อสามีให้ได้
เถียนเสี่ยวเหอตัดสินใจทันที!