เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 62 ออกเดินทาง
บทที่ 62 ออกเดินทาง
พี่น้องทั้งสามของตระกูลซูไม่ได้อ่อนแอ และบอกว่าสามารถแบกหาบได้
มีสามพี่น้องบ้านซูเป็นผู้นำ จึงทำให้เหล่าหนุ่มสาวแสดงความเยาวว์วัยและความแข็งแกร่งของตนเองเพื่อช่วยกันแบกหาบ
ผู้หญิงในชุมชนก็ไม่ได้เกียจคร้านเช่นกัน พวกเธอง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารแห้งตอนที่สามีไปจ่ายปันส่วนสาธารณะ
บ้านใครฐานะดีหน่อยก็จะทำแป้งทอดที่ทำจากแป้งสาลี หากฐานะไม่ดีก็จะทำหมั่นโถวแป้งข้าวโพด
แน่นอนว่าเพราะเป็นช่วงเวลาจ่ายปันส่วนสาธารณะ ทุกคนจะมารวมตัวกันกินข้าว จึงทำให้เห็นอาหารของคนอื่นได้
เพราะงั้นจึงมีไม่กี่คนที่ทำหมั่นโถวแป้งข้าวโพด ส่วนใหญ่จะเป็นแป้งทอดแป้งสาลี ส่วนมากคือใส่แป้งมันเทศหรือไม่ก็แป้งข้าวโพดเข้าไปหน่อย
ตระกูลหลักซูก็ไม่มีข้อยกเว้น คุณย่าซูให้ลูกสะใภ้ทั้งสามเตรียมอาหารแห้งที่ดีที่สุดให้สามีของพวกเธอเอง
คุณย่าซูทำแป้งทอดไส้กุยช่ายเพื่อหลีกเลี่ยงความสนใจ แกยังใส่ไข่และบะหมี่ข้างใน ทำให้มีรสชาติหวานและมีคุณค่าทางโภชนาการ
ข้างในไส้กุยช่ายจะใส่ไข่สับนิดหน่อย ดูน่าสนใจแต่ไม่เป็นที่สังเกต แต่คุณย่าซูก็ใส่กากหมูลงไปด้วย ซึ่งช่วยกระตุ้นกลิ่นหอมของกุยช่ายจนส่งกลิ่นหอมออกมา
“คุณแม่คะ คนเดียวหกแผ่นจะพอไหมคะ?” เหลียงซิ่วกำลังห่ออาหารแห้ง
คุณย่าซูมองดูแป้งทอดไส้กุยช่ายครึ่งหม้อก่อนจะเอ่ย “ไม่เท่าไร แต่ก็กินพอนะ ส่วนเด็กอีกสี่คนก็เตรียมไปด้วย อย่าปล่อยให้พวกเขาหิวโหย ใช่แล้ว เตรียมไปอีกแผ่นให้หลี่จู้จื่อด้วย”
“แม่คิดได้รอบคอบนักเชียว หลายวันมานี้หลี่จู้จื่อได้ช่วยเหลือครอบครัวของเราไว้มาก” เหลียงซิ่วยิ้มและไม่มีความหวงแหน
เธอชินเสียแล้ว ปีนี้ครอบครัวเรามีของกินดี ๆ เพียบ แต่ทุกครั้งที่ทำของดี ๆ ก็จะต้องให้คนคอกวัวส่วนหนึ่ง ช่วงนี้ก็เพิ่มให้หลี่จู้จื่อด้วย
เธอพูดไปด้วยห่อแป้งทอดไส้กุยช่ายในกระดาษน้ำมันไปด้วย จากนั้นนำใส่ลงไปในถุงผ้าที่ทำจากเศษผ้า
ถึงจะเป็นถุงที่ทำจากเศษผ้าปะกัน แต่ผู้หญิงบ้านซูขยันและชำนาญ เศษผ้าแต่ละชิ้นถูกตัดเป็นสามเหลี่ยมเล็ก ๆ และเย็บติดกันอย่างแน่นหนา สวยงามมากทีเดียว
“หลี่จู้จื่อตัวคนเดียว ไม่มีผู้หญิงเตรียมอาหารให้กิน ต้องโทษคังอี้เยี่ยคนสมควรตายนั่น หาคู่มันไม่ง่ายหรอกนะ แถมยังทำเสียยุ่งเหยิง” หวังเซียงฮวาที่ฟังบทสนทนาของแม่กับน้องสะใภ้จึงพูดขึ้นมา
วันนั้นหลี่จู้จื่อไปอาบน้ำที่ลำธาร ซึ่งเป็นวันที่สองของการพบปะหาคู่ จึงคิดดูแลตัวเองสักหน่อย แต่ใครจะรู้เล่าว่าจะถูกยัยคังอี้เยี่ยหาว่าเป็นพวกอนาจาร แถมยังถูกคนในหมู่บ้านทุบตีจนเกือบพิการอีก เรื่องพบปะหาคู่จึงจบลงเพียงเท่านั้น
ต่อมาแม้ว่าจะมีคนแนะนำหลี่จู้จื่อให้ฝ่ายตรงข้าม คนที่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก็รีบปฏิเสธทันที
ต่อให้รู้เรื่องราวก็ยังไม่สนใจ แค่เห็นโรคเรื้อนของหลี่จู้จื่อ ครึ่งหนึ่งก็ไม่ยอมรับแล้ว ถึงจะมีคนหนึ่งที่เห็นด้วย แต่หลังจากที่เห็นฐานะทางบ้านของเขาก็ไม่เอาเช่นกัน
หลี่จู้จื่อไม่ได้คิดเกี่ยวกับมันอีก กินอิ่มคนเดียวก็พอ รีบทำงานที่แปลงของตัวเองเสร็จก็มาช่วยตระกูลซูต่อ เพื่อตอบแทนพระคุณที่ช่วยชีวิตในวันนั้น
หลี่จู้จื่อรู้สึกขอบคุณคนบ้านซูมาก หากไม่ได้พวกเขาช่วยไว้ เขาคงถูกทุบตีจนตายที่ลำธารแล้ว
คุณย่าซูเป็นคนใจดี เมื่อไรที่ทางสะดวกก็จะช่วยหลี่จู้จื่อเตรียมอาหาร หลี่จู้จื่อพูดเสมอว่าเขาได้รับพอแล้ว
“ผู้หญิงอย่างคังอี้เยี่ยคนนั้นสมควรถูกลงโทษให้กวาดถนนกับล้างห้องน้ำแล้ว!” คุณย่าซูดูถูก
เหลียงซิ่วกังวล “ไม่รู้ว่าพอถึงเวลานั้นเธอจะกลับมาที่ชุมชนการผลิตของพวกเราอยู่หรือเปล่า”
นี่คือสิ่งที่เธอกังวลมากที่สุด ผู้หญิงแบบนี้พอกลับมาได้เมื่อไรก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก
ในตอนแรก เป้าหมายของคังอี้เยี่ยคือซูเหล่าซาน และดูเหมือนจะวางแผนใส่ร้ายสามีเธอ จากนั้นก็บังคับให้หย่าก่อนแล้วแต่งงานด้วยกัน
คิดแล้วก็เศร้า
“จะกลับหรือไม่กลับ ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน ถ้าเธอไม่กลับมา เราจะคุยกันทีหลัง สะใภ้ใหญ่ ฉันจำได้ว่าที่บ้านแม่ของสะใภ้ใหญ่ก็มีผู้หญิงที่ตาใช้การไม่ได้แล้วก็อายุยี่สิบกว่า ๆ แนะนำให้หลี่จู้จื่อสักหน่อยได้ไหม” คุณย่าซูพูดทันใด
นอกจากหลี่จู้จื่อจะเป็นโรคเรื้อนแล้ว ถึงจะหน้าตาธรรมดา แต่เวลาทำงานระมัดระวังมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นโรคเรื้อนก็คงไม่ต้องหาสาวตาไม่ดีมาเป็นคู่ได้
เสียดายจริง ๆ!
หวังเซียงฮวาได้ยินสิ่งที่แม่สามีพูดเธอก็รีบปรบมือ “ที่คุณแม่พูดมีเหตุผลมากค่ะ รอฉันกลับไป จะไปถามให้นะคะ”
ซูเสี่ยวเถียนที่ได้ยินบทสนาทนานี้พลันรู้สึกว่าการจับคู่ของหลี่จู้จื่อกับสาวตาบอดนั้นแย่มาก
ไม่รู้ว่าโรคเรื้อนของเขาจะหายขาดได้ไหม ถ้ารักษาได้อาจจะหาผู้หญิงที่แข็งแรงมาอยู่ร่วมกันได้
ทันใดนั้นก็จำได้ว่าหนังสือที่เธออ่านเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีใบจ่ายยาสำหรับรักษาโรคเรื้อนอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะได้ผลกับหลี่จู้จื่อหรือไม่
ก่อนจะพบว่าหลังจากที่จ่ายปันส่วนสาธารณะในวันพรุ่งนี้แล้ว เธอมีเวลาว่างจะไปถามหลี่หมิงไฉสักหน่อยว่าแถว ๆ หมู่บ้านมีสมุนไพรชนิดนี้ไหม ถ้าไม่มีจะหาจากที่อื่นหรือในมณฑลได้หรือเปล่า
ได้ผลหรือไม่ก็ต้องลองถึงจะดี แล้วถ้าได้ผลจะเป็นอย่างไร?
ขณะที่ซูเสี่ยวเถียนกำลังคิดว่า สามีของบ้านซูรวมถึงสามพี่น้องซูโส่วเวินก็กลับบ้านมาเอาอาหารแห้งแล้วออกไปจ่ายปันส่วนสาธารณะ
เป็นเรื่องยากมากที่จะขนส่งอาหารไปยังชุมชนโดยเฉพาะในเวลากลางคืนซึ่งเดินเหินไม่ง่ายเลย เด็กผู้ชายอายุสิบกว่า ๆ ก็ช่วยยกตะเกียงด้วย
แต่ไม่มีผู้ใดปริปากว่าเหนื่อย
ในใจของทุกคนมีความคิดเดียวกัน นั่นคือหลังจากจ่ายปันส่วนสาธารณะเสร็จแล้ว สามารถแบ่งอาหารกันได้
เพราะอย่างนั้น พวกเขาจึงทำงานหนักเป็นพิเศษ ลากรถบรรทุกพื้นเรียบ แบกหาบ มุ่งหน้าไปชุมชนใหญ่ท่ามกลางความมืด
ระหว่างทางกลุ่มคนเคลื่อนพล ชุมชนการผลิตที่เดินผ่านมาได้ยินว่าพวกเขาออกเดินทางแล้วถึงได้รู้ว่า ชุมชมการผลิตหนซินกำลังจะไปถึงเป็นสามอันดับแรก แต่ตนเองยังเตรียมของไม่พอ ธัญพืชยังไม่ได้ใส่รถ สายเกินไปที่จะไล่ตามแล้ว
กลุ่มคนออกเดินทางในตอนกลางคืน พอถึงชุมชนใหญ่ฟ้ายังไม่สาง
ที่ซูฉางจิ่วคาดเดาไม่แตกต่างกันนะ มีกลุ่มคนของชุมชนหนึ่งเข้าแถวอยู่ที่ปากทางสถานีธัญพืชก่อนแล้ว
เหล่าสมาชิกรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ถึงพวกเขาลงมือกันไว แต่ยังคว้าที่หนึ่งไม่ได้อยู่ดี
แต่จากที่ถามมาแน่ชัดแล้วว่ามีแค่ชุมชนการผลิตตงฟางหงกลุ่มเดียว อารมณ์ของทุกคนถึงค่อยดีขึ้น ที่หนึ่งไม่ได้ แต่อย่างน้อยได้ที่สองก็ยังดี
ใครใช้ให้ชุมชนการผลิตตงฟางหงมีถิ่นที่อยู่ในชุมชนใหญ่กันล่ะ?
ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม จึงทำให้ใช้เวลาพอสมควรในการเดินทาง แต่ชุมชนการผลิตตงฟางหงอยู่ที่กรุงโรมโดยตรงนั้นเทียบไม่ได้เลย
“สหายซู มาแต่เช้าเลยนะ ออกตั้งแต่กี่โมง” ชายชราวัยหกสิบปีกว่า ๆ เข้ามาคุยกับซูฉางจิ่ว
“หัวหน้าหลัวอย่าล้อพวกเราเลยนะ ถนนเส้นนี้เดินทางไม่ง่ายเลย พวกเราก็เลยออกกันมาแต่ดึก ใครจะไปรู้เล่าว่าทุกคนกระตือรือร้นมากเลย มาถึงเร็วกว่าที่คิดอีก กลับกันแล้วหัวหน้าหลัว ชุมชนของคุณอยู่ใกล้มาก ยังกะตือรือร้นกันเลย”
หัวหน้าหลัวหัวเราะร่า “พวกเราอย่าแย่งกันเลย รู้ไส้รู้พุงขนาดนี้”
ทั้งสองหัวเราะลั่น
หลังจากหัวเราะ หัวหน้าหลัวก็กล่าวว่า “ผมได้ยินมาว่ามีคนในชุมชนของคุณเคยช่วยผู้นำเอาไว้ แล้วทำไมไม่คิดให้ผู้นำไปดูแลชุมชนพวกคุณล่ะ?”