เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 638 ตกอยู่ในปัญหา
บทที่ 638 ตกอยู่ในปัญหา
บทที่ 638 ตกอยู่ในปัญหา
“ทำไมจู่ ๆ ถึงไม่กินข้าวหม้อใหญ่?” หลังวางสายคุณย่าซูก็ยังมึนงง
เธอไม่เข้าใจที่ลูกชายพูดทางโทรศัพท์
อะไรคือนโยบายเหมารวมผลผลิตภายในครัวเรือน*[1]?
ของในครอบครัวตัวเองต้องส่งให้เพียงพอกับประเทศ เมื่อของส่วนรวมเพียงพอแล้วส่วนที่เหลือจึงจะเป็นของตัวเอง?
มีนโยบายแบบนี้จริงหรือ?
คุณย่าซูนึกขึ้นได้ว่าเหมือนก่อนหน้านี้เสี่ยวเถียนเคยบอกว่า ไม่ช้าก็เร็วสักวันฟาร์มจะถูกแบ่งให้แต่ละครอบครัวแต่เธอก็ยังไม่เชื่อ
ซูเสี่ยวเถียนที่บังเอิญได้ยินคำพูดนี้ของย่าซูก็จำได้ว่า ในชีวิตก่อนที่ชุมชนการผลิตหงซินยังไม่ใช้นโยบายเหมารวมผลผลิตภายในครัวเรือน!
หรือเป็นผลจากปัญหาฟาร์มไก่และฟาร์มหมู?
ในชีวิตเดิมชุมชนการผลิตหงซินไม่มีการทำฟาร์มจึงไม่มีปัญหานี้ แต่ในชีวิตครั้งนี้มันต่างออกไป
ฟาร์มล้วนอยู่ในนโยบายเหมารวมผลผลิตภายในครัวเรือน แน่นอนว่าการทำฟาร์มย่อมไม่อยู่ในส่วนรวมแน่นอน
ความเป็นไปได้ที่มากที่สุดคือต้องมีคนมีสิทธิในการจัดการตามสัญญาในนโยบาย
ไม่รู้ว่าคนในบ้านมีความเห็นอย่างไร
ซูเสี่ยวเถียนคิดว่าพ่อรองแม่รองในตอนนี้เปิดร้านที่ตัวเมืองของมณฑลแล้ว เดือนหนึ่งมีรายได้อย่างน้อยสองพันหยวนแน่นอนว่าย่อมไม่กลับไป
แต่พ่อใหญ่กับแม่ใหญ่สองคนนี้ใช้แรงกายแรงใจพยายามอย่างมากในการดูแลฟาร์ม ตอนนี้ไม่รู้ว่ามีความคิดอย่างไรอยู่
หลังจากนั้นซูเสี่ยวเถียนก็คิดได้ว่าฟาร์มเลี้ยงหมูและฟาร์มเลี้ยงไก่ ไม่กี่ปีมานี้สามารถทำเงินได้มากมายทุกคนล้วนมองออก
หากตอนนี้ทั้งสองคนต้องการเป็นผู้ทำสัญญาทำฟาร์มคาดว่าจะต้องแข่งขันกับคนมากมาย
ไม่แน่ว่าแม้แต่กับหัวหน้าชุมชนการผลิตลุงฉางจิ่วก็ยังต้องการแข่งขันด้วย
สถานการณ์แบบนี้หากพ่อใหญ่กับแม่ใหญ่ต้องการเป็นผู้ทำสัญญาก็คาดว่ายากแล้ว
ความจริงก็เป็นอย่างที่ซูเสี่ยวเถียนคาดเดา เหล่าสมาชิกของชุมชนการผลิตหงซินทะเลาะกันไม่จบในเรื่องปัญหาของสัญญาฟาร์มทั้งสองแห่ง
โดยปกติหากในครอบครัวมีพื้นฐานสักหน่อยก็ล้วนอยากทำสัญญาเพื่อเงินจำนวนมาก
ไม่กี่ปีมานี้การทำฟาร์มมีผลประโยชน์ที่ดีเหล่าสมาชิกก็เห็นอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะการแข่งขันในฟาร์มหมูนับว่ายิ่งรุนแรง เพราะปัญหาเรื่องการขายฟาร์มไก่จึงไม่ได้ขายดีนัก
ซูเหล่าต้าและภรรยานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ในบ้าน
ไม่กี่ปีมานี้ที่ทั้งสองคนทำฟาร์มเรียกได้ว่าทุ่มเทจนสุดแรง แต่ตอนนี้มีการเปิดนโยบายเสรีทุกคนล้วนอยากให้ครอบครัวตัวเองได้แบ่งน้ำแกง*[2]
ทุกคนในหมู่บ้านเห็นผลประโยชน์ของฟาร์มทั้งสอง ไม่นึกถึงด้วยซ้ำว่าฟาร์มทั้งสองสร้างขึ้นมาเพื่อใคร
“ฉันได้ยินคนบอกว่าลูกสะใภ้ของหัวหน้าชุมชนการผลิตประกาศว่าต้องการเป็นผู้ทำสัญญาฟาร์ม” หวังเซียงฮวาพูดพลางถอนหายใจ
หัวหน้าชุมชนการผลิตซูฉางจิ่วเป็นคนที่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร แต่ลูกสะใภ้ของเขาเถียนเสี่ยวเหอกลับไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร
ตอนแรกซูเสี่ยวเถียนต้องการคนมาร่วมหุ้นเปิดร้านค้าในอำเภอ และต้องการส่วนแบ่งรายได้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์แต่ถูกเถียนเสี่ยวเหอปฏิเสธ
เถียนเสี่ยวเหอยืนกรานว่าซูเสี่ยวเถียนกำลังทำแบบทุนนิยม
หลังจากนั้นยังไปรายงานความผิดของซูเสี่ยวเถียนต่อหน่วยงานราชการด้วย
แต่ในตอนนี้มีการเปิดนโยบายเสรีแล้วนับว่าที่เธอไปรายงานต่อหน่วยงานราชการก็ไม่มีผลอะไร
เถียนเสี่ยวเหอไม่พอใจเรื่องนี้มาก
ถึงขั้นพูดในที่ลับและที่แจ้งว่าหากไม่ใช่เพราะพ่อสามีตัวเองคอยดูแล ตระกูลซูก็ไม่อาจมีชีวิตที่ดีอย่างตอนนี้
พอชีวิตของตระกูลซูไปได้ดีก็ไม่ดูแลพวกเลยนับว่าไม่รู้จักบุญคุณ
โดยเฉพาะร้านหมูพะโล้ที่อำเภอเดือนหนึ่งมีรายได้มั่นคงที่หนึ่งพันหยวน ทำให้เถียนเสี่ยวเหอยิ่งอิจฉาตาร้อน
เธอสนับสนุนให้สามีไปหาซูฉางจิ่วอยู่หลายครั้งบอกให้ซูฉางจิ่วไปบอกคนตระกูลซูว่าเธอต้องการเปิดร้าน
ทว่าตลอดมาซูฉางจิ่วล้วนไม่เห็นด้วย
ครั้งนี้เถียนเสี่ยวเหอนับว่าสบโอกาสแล้ว
เธอไม่ชอบตระกูลซูครั้งนี้พูดออกไปแต่เนิ่น ๆ แล้วว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอาสิทธิ์ในการจัดการฟาร์มมาให้ได้
ทั้งยังบอกอีกว่าไม่อาจเอาเรื่องดี ๆ ในหมู่บ้านทั้งหมดไปให้ตระกูลผู้เฒ่าซูครอบครองได้
หวังเซียงฮวาแม้ไม่อยากยอมแพ้การแข่งครั้งนี้แต่ก็รู้สึกว่าแข่งกับคนไม่ซื่อตรงอย่างเถียนเสี่ยวเหอไปก็ไร้ความหมาย
แม้จะชนะแต่ไม่แน่ว่าเถียนเสี่ยวเหอคงยังสร้างปัญหาอย่างไม่ลดละทำให้พวกเขาอยู่ไม่เป็นสุข
ยิ่งคิดหวังเซียงฮวาก็ยิ่งไม่อยากลงไปในน้ำขุ่น
“อย่าเลย พวกเราวางมือเถอะ!” หวังเซียงฮวาเปิดปากพูด
ซูเหล่าต้าอดกลั้นทอดถอนใจต้องการสัญญาของฟาร์มนี้
ซูเหล่าต้ายังถึงขั้นเคยคิดว่าต้องไปหาคนที่พึ่งพาได้มาช่วย
ครอบครัวหลักตระกูลซูของพวกเขาตอนนี้ไม่ใช่ครอบครัวหลักตระกูลซูเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของภรรยา ซูเหล่าต้าก็รู้สึกว่าการยอมแพ้ก็นับเป็นทางเลือกหนึ่ง ทุกคนล้วนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันจะแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายก็นับว่าไร้ความหมายเกินไปแล้ว!
“ถ้าพวกเรายอมแพ้เรื่องสิทธิ์ในการจัดการฟาร์มจะยังทำฟาร์มที่บ้านได้หรือ?” ซูเหล่าต้าถาม
ซูเหล่าต้าไม่ใช่ว่าไม่เคยพิจารณาชีวิตเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง
เหล่าซานกับภรรยาอยู่ที่เมืองหลวง เหล่าเอ้อร์กับภรรยาอยู่ที่ตัวเมืองของมณฑล เขากับภรรยาย่อมไม่อาจอยู่ที่นี่ไปได้ตลอด
เห็นพวกลูกนับวันยิ่งโตขึ้นแม้จะเป็นพ่อแม่ก็ล้วนแต่รู้จักช่วยพวกลูกๆ พวกเขาสองสามีภรรยาอยู่ที่ชนบทแบบนี้จะทำอะไรได้?
หวังเซียงฮวาคิดครู่หนึ่งก่อนพูด “พวกเราไม่แข่งขันเรื่องสิทธิ์ในการจัดการฟาร์มแล้วจะไปทำอย่างอื่นไม่ได้หรือ?”
“ทำอย่างอื่นหรือ? เธอไม่คิดจะเปิดฟาร์มอีกแห่งในหมู่บ้านหรือ?” ซูเหล่าต้าถาม
ซูเหล่าต้าพูดออกมาเช่นนี้ก็เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนแล้วว่าในใจเขาคิดเรื่องปัญหานี้อยู่จริง ๆ
สองสามีภรรยาล้วนเป็นคนที่มีฝีมือการจะเปิดฟาร์มแยกย่อมไม่มีปัญหา
เขาคิดว่าหากหัวหน้าชุมชนการผลิตเป็นผู้ใหญ่ แน่นอนว่าต้องช่วยลูกสะใภ้ของตัวเองทำให้ชีวิตของพวกเขาเสียเปรียบ เขาจึงจะเปิดฟาร์มอีกแห่งในหมู่บ้าน
หวังเซียงฮวาหัวเราะคิกคักพลางพูด “ฉันไม่คิดอะไรยุ่งเหยิงขนาดนี้หรอกเรื่องฟาร์มไก่สักแห่ง ตอนนี้การขายไข่ไก่กำลังมีปัญหาหากเปิดฟาร์มไก่อีกไม่แน่อาจเป็นการทำลายตัวเอง”
“เธอคิดมาเป็นอย่างดีเลย!” ซูเหล่าโถวยิ้มพูด
“คุณลองคิดดูหลี่จู้จื่อทำการค้าพวกนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนอิจฉา แต่ไม่กี่ปีมานี้คนอื่นยังไม่มีวิธีแย่งการค้ามาจากหลี่จู้จื่อ” หวังเซียงฮวายิ้มบางพลางพูด
มีบางคนที่คิดจะแย่งการค้าไปคาดว่าคงทำได้อีกไม่นาน เป็นแบบนี้หวังเซียงฮวากลับมีความสุขที่เห็นพวกที่ไม่เห็นความดีของคนอื่นจะไปได้ไม่ดี
“ที่เธอพูดก็ถูกแต่ถ้าเราไม่คิดจะทำฟาร์มแล้วพวกเราจะไปทำเกี่ยวกับอะไร?”
“ไม่เป็นไรพวกเราหาเส้นทางอื่นเอาก็ได้! เส้นทางนี้คนยื้อแย่งไปมาก็โยนทิ้งไปเถอะ เป็นแบบนี้ถ้าคุณไม่โยนมันทิ้งจะโชคร้ายได้!”
คำพูดนี้ของหวังเซียงฮวาพุ่งไปยังเถียนเสี่ยวเหอที่ขยับตัวเล็กน้อยอยู่ข้างหลัง
เมื่อก่อนประเมินเถียนเสี่ยวเหอต่ำไป
คิดว่ามีความสามารถไม่มากแต่กลับเป็นคนที่มีความสามารถในการกลับถูกเป็นผิด กลับผิดเป็นถูกอย่างยิ่ง!
“เธอหมายความว่ายังไง?” ซูเหล่าต้าถาม
ภรรยาของเขาคนนี้เมื่อก่อนมีนิสัยขี้เล่น คาดไม่ถึงว่าผ่านมาหลายปีเธอจะมีความสามารถและมีความคิดเป็นของตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้นความคิดนี้คืออะไรเขาก็ยังคาดเดาไม่ออก
หวังเซียงฮวาเข้าไปใกล้ซูเหล่าต้าเปิดปากอย่างมีลับลมคมใน “ตอนที่โทรศัพท์คุณแม่ไม่ได้พูดหรือว่าเสี่ยวเถียนกำลังวางแผนเปิดโรงงานในเมืองหลวง?”
[1] นโยบายเหมารวมผลผลิตภายในครัวเรือน หมายถึง นโยบายทางการเกษตรที่จะต้องรวบรวมผลผลิตทางการเกษตรทั้งหมดไปให้ทางรัฐก่อนจากนั้นทางรัฐจะจัดแบ่งให้แต่ละครัวเรือน
[2] แบ่งน้ำแกง หมายถึง แบ่งผลประโยชน์