เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 66 ตำหนิ
บทที่ 66 ตำหนิ
ช่วงสองปีที่ผ่านมาที่หัวหน้าเฉินสามารถอวดเบ่งบารมีที่อำเภอได้ เป็นเพราะมีความสัมพันธ์กับคนนั้นใช่ไหม?
ถ้าสามารถทำให้หัวหน้าเฉินพูดเจาะจงออกมาได้ เป็นไปได้ไหมว่าคนผู้นั้นที่ได้รับการช่วยเหลือไว้เป็นคนใหญ่คนโต?
สวรรค์ ชุมชนการผลิตหงซินจะได้ขึ้นสวรรค์งั้นหรือ?
ถ้านี่เป็นเรื่องจริง จะไม่ยุแหย่ชุมชนการผลิตหงซินอีกแล้ว จากนี้จะตั้งพวกเขาไว้เหนือสุด มีอะไรดี ๆ ก็ยึดมั่นพวกเขาไว้ก่อน!
ถึงจะบอกว่าให้ถือชุมชนการผลิตหงซินเอาไว้ แต่ท่านผู้นั้นคงไม่คิดขอบคุณหรอก ทว่าถ้าเล่นตลกกับชุมชนการผลิตหงซิน หัวหน้าเฉินอาจจะพูดอะไรสักอย่าง เกรงว่าผู้นำของชุมชนการผลิตพวกนั้นคงไม่ใช่คนดีอะไร
ตอนนั้นเองที่ผู้ดูแลเฉียนยังจำได้ว่า เมื่อไม่นานมานี้ เจ้าหน้าที่หลิวไปชุมชนการผลิตหงซินมาแล้วก็ถูกหัวหน้าเฉินไล่ตะเพิดกลับมาด้วย
ทำไมเวลามีเรื่องกับชุมชนการผลิตหงซิน หัวหน้าเฉินถึงปรากฏตัวได้ทันทีเลยล่ะ?
ครั้งเดียวอาจบังเอิญ แต่ครั้งที่สองไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน
ทันใดนั้น ผู้ดูแลเฉียนก็สร้างละครเวทีฉากใหญ่ขึ้นมาทันที เขารู้สึกว่าหัวหน้าเฉินอาจเป็นคนที่ท่านผู้นั้นจัดไว้ให้คอยดูแล
ดูเหมือนว่าท่านผู้นำสนใจชุมชนการผลิตหงซินมาก!
สิ่งที่ท่านผู้นำต้องการตอบแทนคือ สิ่งที่หัวหน้าเฉินต้องดูแล และนั่นก็คือสิ่งที่หัวหน้าเฉียนหรือเฉียนอวี้เหลียงเช่นเขากำลังดูแลอยู่
“หัวหน้าเฉินไม่ต้องเป็นกังวลนะครับ ตั้งแต่หัวหน้าจนถึงสมาชิกในกลุ่มของชุมชนการผลิตล้วนเป็นคนที่เหมาะสม พวกเขากระตือรือร้นและขยันทำงาน และเป็นกองชุมชนที่ล้ำหน้าของชุมชนเรา” คำพูดประจบประแจงของผู้ดูแลเฉียนหลุดลอยออกไป
“ชุมชนการผลิตแบบนี้สินะ ถึงได้ช่วยชีวิตผู้คนได้ พอกลับไปผมจะจัดประชุมให้นะครับ เรียกทุกคนมาศึกษาเรื่องชุมชนการผลิตหงซินนะ!”
“หัวหน้าเฉินท่านวางใจได้นะครับ ถ้าผมมีเวลาอยู่ที่ชุมชนการผลิตสักวัน ชุมชนการผลิตหงซินจะไม่เสียเปรียบแน่นอน! มันควรเป็นของพวกเขาไม่ว่าใครก็เอาไปไม่ได้”
“ไม่ต้องศึกษาหรอก ปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขก็พอ!” หลังจากเฉินจื่ออันพูดจบ สายตาเห็นซูฉางจิ่ว ซูเหล่าซาน และคนอื่นๆ เดินเข้ามา
“ผู้ดูแลเฉียน ผมไปก่อนนะ คุณกลับไปได้แล้วล่ะ!” เฉินจื่ออันพูดโดยไม่สนใจผู้ดูแลเฉียนเลย
แต่อีกฝ่ายคิดจะตามเราไปด้วย ทว่าก็ถูกชายคนนั้นฟันกลับด้วยมีด
เขาตัวสั่นเมื่อมองดูเจ้าตัวจับมือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไว้ แล้วเดินไปที่รถจี๊ปซึ่งรายล้อมไปด้วยผู้คนจากชุมชนการผลิตหงซิน
เมื่อกลุ่มของชุมชนการผลิตหงซินจากไปไกล โดยเฉพาะเฉินจื่ออันที่จากไปโดยไม่เห็นเงา ผู้ดูแลเฉียนถึงได้มีเวลาตำหนิผู้ดูแลอู๋
“วันนี้แกเกือบสร้างปัญหาแล้วนะ ไม่รู้เลยหรือไง? ถ้าหัวหน้าเฉินโกรธขึ้นมา ไม่รับประกันชีวิตแกหรอกนะ อยากให้ผมพูดอะไรล่ะ? สร้างปัญหาไว้น้อยจังนะ? ให้ผมหวาดกลัวตามแกไปด้วยสิ!”
ความหวาดกลัวในตอนนี้หากไม่ระบายมันออกมา ผู้ดูแลเฉียนรู้สึกว่าตนเองอาจจะจุกอกตายได้
ผู้เฒ่าอู๋คนนี้เป็นเจ้าหน้าที่มาตั้งหลายปี แล้วทำไมไม่มีจิตสำนึกสักหน่อย? ว่าวันนี้สร้างปัญหาเอาไว้!
สายตาของเขาคงจะมีปัญหา เป็นผู้นำภาษาอะไร? รีบกลับบ้านไปอุ้มหลานนู้นไป!
“ผู้ดูแล ฉันผิดไปแล้ว ฉันไม่รู้จริง ๆ ถ้ารู้ก็คงไม่ทำตัวสายตาสั้นแบบนี้หรอก!” ผู้ดูแลอู๋ก็ตกใจเช่นกัน
“กลับเมื่อไร แกไปชุมชนการผลิตหงซินเลย แล้วไปเลือกคนดี ๆ มาสักคน” ผู้ดูแลเฉียนจัดการให้
“ผู้ดูแล บอกให้ไปเลือกมาดี ๆ กลัวว่าจะไม่ได้ผลน่ะซี่ ฉันจำได้ว่าที่ชุมชนใหญ่ยังมีตั๋วเกษตรอยู่หน่อยหนึ่ง ไม่งั้นไม่เอาไปให้พวกเขาคอยดูแลสักหน่อยล่ะ” ผู้ดูแลอู๋พูดอย่างไม่เต็มใจ
บอกปากเปล่า พวกเขาคงไม่ยอมแน่ แต่ถ้าถือตั๋วไปด้วยมันจะต่างกันออกไป
“ได้ ตั๋วพวกนั้นเก็บเอาไว้ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ ให้ชุมชนการผลิตหงซินไปครึ่งหนึ่งไป!”
ผู้ดูแลเฉียนไม่ได้ลังเลใจในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามตั๋วพวกนี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขา ทั้งยังไม่ให้เขาจ่ายเงินด้วย มีอะไรให้กังวลอีก?
ผู้ดูแลอู๋คิดว่าพอเอาตั๋วไปแล้ว จะแบ่งให้ชุมชนการผลิตตงเฟิงได้อีกหน่อยไหม?
เพราะครั้งนี้เฉินจื่ออันทำให้เขาอับอายขายหน้า
แล้วหัวหน้าอู๋ของชุมชนการผลิตตงเฟิงก็มองผู้ดูแลอู๋ด้วยแววตาเป็นประกาย
รถไถไม่มีแล้ว ถ้าได้เครื่องมือการเกษตรมาบ้างคงดีไม่น้อย
“ฉันบอกพวกแกแล้ว อย่าทำเรื่องลับหลัง” ผู้ดูแลเฉียนเห็นความสัมพันธ์ที่ยุ่งยากระหว่างคนทั้งสอง “พวกแกทนโทสะของหัวหน้าเฉินไม่ได้หรอก”
หลังจากถูกผู้ดูแลเฉียนตำหนิ สองลุงหลานถึงได้พักสมอง
“ลุงสามเดินไปก่อนได้เลยครับ อย่ายืนอีกเลย!” ผู้ดูแลอู๋ขอให้หัวหน้าอู๋ออกไปก่อน
ผู้ดูแลเฉียนไม่โกรธแล้ว จึงคิดว่ากลับก่อน แต่จู่ ๆ ก็นึกอะไรขึ้นแล้วเขาจึงหันกลับมาถาม
“รู้ไหมว่าเด็กคนนั้นที่หัวหน้าเฉินจับมืออยู่คือใคร?”
จู่ ๆ ผู้ดูแลเฉียนคิดขึ้นได้ว่าหัวหน้าเฉินมักจะจูงมือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ตลอด จึงอดไม่ได้ที่จะสงสัย
“ไม่รู้สิ แต่เดี๋ยวจะไปถามมาให้นะ!”
ผู้ดูแลเฉียนจากไปแล้ว ส่วนผู้ดูแลอู๋ก็ไปหามาว่าใครคือเด็กผู้หญิงที่หัวหน้าเฉินมองดูด้วยสายตาที่ต่างออกไป
แต่ซูเสี่ยวเถียนกลับนั่งอยู่บนรถของเฉินจื่ออัน มุ่งไปทางชุมชนการผลิตหงซิน
ชาติก่อนซูเสี่ยวเถียนเคยนั่งรถมาแล้ว แต่ในชาตินี้ นี่เป็นครั้งแรก
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความสามารถในการรองรับแรงกระแทกของรถจี๊ปดีเลย ต่อให้เป็นถนนลูกรังในชนบทจะไม่เป็นหลุมเป็นบ่อก็ดีกว่ารถบรรทุกพื้นเรียบคันแข็งแรงอีก
คนที่นั่งในรถจี๊ปกับซูเสี่ยวเถียน มีคุณปู่ซู คุณย่าซู และซูฉางจิ่ว
นอกจากนี้ นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ซูฉางจิ่วและคุณปู่ซูได้นั่งรถจี๊ป สดใหม่มาก แต่เพราะเฉินจื่ออันอยู่ด้วยจึงสำรวมอยู่บ้าง
แต่คุณย่าซูที่เคยนั่งรถจี๊ปไปที่ชุมชนการผลิตมาก่อน จึงใจเย็นกว่าอีกสองคนมาก
ตลอดทั้งเช้าที่เฉินจื่ออันมาถึงชุมชนการผลิตหงซิน พอรู้ว่ากำลังจะไปจ่ายปันส่วนสาธารณะ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงให้คุณย่าซูพาไปดูด้วย
ปกติแล้วซูเสี่ยวเถียนจะเป็นตัวเกาะแข้งขาคุณย่าซู จึงตามไปชุมชนใหญ่เหมือนกัน
ระหว่างทาง ซูเสี่ยวเถียนและเฉินจื่ออันคุยกันอย่างมีความสุข ชายหนุ่มรู้สึกว่าเธอแตกต่างไปจากที่คิดไว้อย่างสิ้นเชิง
เด็กคนนี้มีความรู้มาก ซึ่งบางอย่างเขายังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
ดูเหมือนการสอนของลุงเขยจะไม่เปล่าประโยชน์
เป็นผลให้ความรักของเฉินจื่ออันที่มีต่อซูเสี่ยวเถียนเพิ่มขึ้นอีก เหมือนเป็นคนรุ่นหลังของบ้านเขา
“เสี่ยวเถียน หนูชอบนั่งรถไหม?”
ซูเสี่ยวเถียนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ชอบค่ะ สบายกว่ารถลากมากเลย แถมเร็วกว่าด้วยค่ะ!”
“คุณลุงเฉินจะพาหนูเข้าตัวเมืองอำเภอบ้างดีไหม? พอไปถึงที่นั่น ลุงจะพาหนูไปนั่งรถทุกวันเลย” เฉินจื่ออันแซวเด็กหญิง
พอคุณปู่คุณย่าซูได้ยินประโยคนี้ กลับรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
ทั้งสองกอดซูเสี่ยวเถียนไว้ในอ้อมแขนแน่น กลัวว่าเฉินจื่ออันจะกระชากหลานรักออกไปทันใด
ซูเสี่ยวเถียนหัวเราะ คุณปู่กับคุณย่าประหม่ามาก ที่หัวหน้าเฉินพูดแบบนี้ แค่ฟังก็รู้ว่าเขากำลังเกลี้ยกล่อมเด็ก
“คุณลุงเฉิน หนูต้องดูแลคุณปู่คุณย่าที่บ้านค่ะ ไปตัวอำเภอด้วยไม่ได้หรอกนะ! แต่ว่ารอหนูโตขึ้น หนูจะไปแน่นอนค่ะ”
“โอ้โห เป็นเด็กเป็นเล็กแต่ทะเยอทะยานจังเลย งั้นคุณลุงเฉินจะรอหนูที่นั่นนะ!” เฉินจื่ออันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ในอนาคตหนูจะไม่ไปแค่ตัวอำเภอด้วยค่ะ แต่จะไปจะทั้งเทศบาลนครกับเมืองหลวงเลย!” ซูเสี่ยวเถียนพูดทีละนิด จริงจังกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
เดิมทีมันเป็นแค่สิ่งที่สาวน้อยพูดไปอย่างนั้น ทว่าด้วยอะไรบางอย่างเฉินจื่ออันจึงรู้สึกว่ามันไม่ธรรมดา ในอนาคตข้างหน้าเด็กคนนี้อาจไปได้ทั้งเทศบาลนครกับเมืองหลวงจริง ๆ!
“เป็นเด็กที่มีความทะเยอทะยานจังเลยนะ รอหนูโตขึ้นจนไปเมืองหลวงได้เมื่อไร ต้องได้เจอกับท่านผู้นำแน่!” เฉินจื่ออันกล่าวด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น
ซูเสี่ยวเถียนชะงัก ท่านผู้นำ?
รอถึงวันที่เธอโตขึ้น ท่านผู้นำก็คงไม่อยู่แล้ว ชีวิตนี้ถูกกำหนดแล้วว่าจะไม่ได้เจอ!
แต่เธอพูดไม่ได้ ทุกคนในประเทศรู้ว่าท่านผู้นำจะต้องอายุยืนยาวหมื่นปี หมื่น ๆ ปี!
เฉินจื่ออันพักอยู่ที่บ้านเป็นเวลาหนึ่งคืนตามปกติ พอตกค่ำ เขาไปที่คอกวัวอย่างเงียบ ๆ และพูดคุยกับฉือเก๋อสองสามประโยค
พอรู้ว่าบ้านซูได้ช่วยเหลือฉือเก๋อ ตู้ถงเหอและคนอื่น ๆ ดีใจมากมาก เขารู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งต่อครอบครัวซูมากขึ้นเรื่อย ๆ
คนบ้านซู เป็นคนที่เฉินจื่ออันยิ่งเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น
ฝั่งครอบครัวซูกำลังมีความสุข แต่ชีวิตของซูหม่านซิ่วกลับลุกเป็นไฟ
หลังจากเพิ่งกินข้าวเย็นเสร็จ ล้างหม้อล้างถ้วย รวมทั้งล้างหน้าล้างเท้าให้คนในครอบครัวแล้ว ซูหม่านซิ่วจึงเอนตัวนอนบนเตียงเตาตัดสินใจจะพักสักครู่ ทว่าไอ้หมาหวังก็พรวดพราดเข้ามา
“กลับมาแล้วหรือ”
ซูหม่านซิ่วประหลาดใจมากที่สามีกลับมาในยามนี้
ตั้งแต่ที่ไอ้หมาหวังกับหลิวเสี่ยวชุ่ยคบหากัน ไม่ต้องพูดถึงว่าจะกลับไวเลย ต่อให้ฟ้าสางก็ไม่กลับบ้าน
แต่พูดออกไปได้แค่ประโยคเดียว ผมของเธอก็ถูกไอ้หมาหวังดึงเสียแล้ว
“อ๊า!”
ซูหม่านซิ่วอดร้องไม่ได้ที่ผมโดนทึ้งจนเจ็บ
ไอ้หมาหวังจ้องมองภรรยาอย่างขุ่นเคือง แล้วดึงเธอลงจากเตียงเตาอย่างไร้ปรานีจนล้มลงพื้น
ผมถูกทึ้งจนเจ็บ ทั้งยังล้มซ้ำอีก ไม่รู้ว่าจะโต้ตอบอย่างไร
ไอ้หมาหวังที่ใบหน้ามืดมนไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขาขึ้นคร่อมร่างซูหม่านซิ่ว ฝ่ามือที่ดูไม่มีแรงกลับเหมือนพัด ฟาดเข้ากับศีรษะ ใบหน้า และเนื้อตัวของเธออย่างหนัก
ตอนนั้นซูหม่านซิ่วเพิ่งจะโต้กลับได้แต่ถูกตบตีอีกครั้ง จึงอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
“พอแล้ว ๆ คุณตบตีฉันทำไมกัน?” ซูหม่านซิ่วสะอื้นฮักด้วยความเจ็บปวด
*[1] เปรียบว่า คนกำลังจะตาย