เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 666 ขาดเงินทุน
บทที่ 666 ขาดเงินทุน
บทที่ 666 ขาดเงินทุน
ในห้องส่วนตัว
ครูใหญ่กู้ไม่สนใจว่าที่นั่งอยู่หัวโต๊ะตรงข้ามตัวเองจะเป็นผู้อำนวยการของสำนักการศึกษา และจ้องมองอย่างโกรธเคือง
“เหล่ากู้ขอโทษจริง ๆ ผมคิดว่าคุณขึ้นรถมาแล้ว ใครจะรู้ว่าคุณจะเคลื่อนไหวช้าอุ้ยอ้ายแบบนี้”
พูดไปผู้อำนวยการหลี่ก็ยังใช้สายตาชี้ไปยังร่างกายที่อุดมสมบูรณ์อยู่บ้างของครูใหญ่กู้ครั้งหนึ่ง คนที่สายตาเฉียบแหลมก็จะรู้อย่างชัดแจ้งว่าความอ้วนเกินไปส่งผลต่อความเร็วของครูใหญ่กู้!
“คุณ คุณ คุณ…”
ครูใหญ่กู้ถูกทำให้โกรธแทบตายแล้ว
พูดเสียดิบดีว่าจะพาเขามาด้วยแต่พอตัวเองขึ้นรถก็หนีไปเฉยเลย
“เหล่ากู้ผมขอโทษคุณแล้วก็อย่าคิดเล็กคิดน้อยเลย ถึงคุณจะเคลื่อนไหวได้ไม่มั่นคงแต่ก็ยังกินได้มากไม่ใช่หรือ!” ผู้อำนวยการหลี่พูดอย่างมีเหตุมีผล
ยิ่งผู้อำนวยการหลี่พูดอย่าสงบ ก็ยิ่งทำให้ครูใหญ่กู้โกรธ
นี่จะเป็นความผิดของตนได้อย่างไร?
ผู้อำนวยการหลี่หมายความว่ามีโอกาสก็ให้เขากินข้าวให้มากหรือ?
เหอะแม้สภาพครอบครัวเขาจะไม่นับว่าดีแต่ก็ไม่ถึงขั้นไม่มีข้าวกิน นี่กำลังเยาะเย้ยใครกัน?
“เหอะผมไม่กิน!”
“คุณจะไม่กินจริงหรือ?” ผู้อำนวยการหลี่ถามอย่างแปลกใจ
อาหารของหออีหมิงเขากินมาหลายครั้งแล้วก็ยังอยากกินอีก ครูใหญ่กู้โง่หรือเปล่า? แม้แต่อาหารอร่อย ๆ ขนาดนี้ก็ไม่อยากจะกินหรือ?
ซูเสี่ยวเถียนเห็นผู้อำนวยการหลี่เป็นแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร กับข้าวที่บ้านของพวกเขาก็นับว่าเพียงพอแล้ว ทำไมยังต้องให้ครูใหญ่กู้กินน้อยลงอีกสักคำด้วย?
“ครูใหญ่กู้ทำงานหนักแล้วนั่งพักสักหน่อยสิคะ” ซูเสี่ยวเถียนเอาน้ำเปลือกแอปริคอทแก้วหนึ่งมาให้ครูใหญ่กู้อย่างเอาใจใส่ยิ่ง
ตอนที่ซูเสี่ยวจิ่วเคยเอาน้ำเปลือกแอปริคอทมา ครูใหญ่กู้ก็กลืนลงไปอึกหนึ่งอย่างไม่รู้รสชาติ
ในขณะนี้ที่ซูเสี่ยวเถียนเอาเข้ามาให้ครูใหญ่กู้จึงได้ชิมรสชาติสักหน่อย
“น้ำนี่เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ อร่อยมาก!” หลังจากที่ครูใหญ่กู้ได้ลองดื่มดวงตาก็เป็นประกาย
น้ำก็ดื่มอยู่บ่อยครั้งแต่กลับไม่เคยดื่มน้ำที่อร่อยขนาดนี้
ทันใดนั้นครูใหญ่กู้ก็นึกถึงกับข้าวของผู้อำนวยหลี่ว่ารสชาติไม่น่าจะแย่อะไร
บางทีอาจจะอร่อยมากก็ได้
“ผู้อำนวยการหลี่คุณทิ้งผมไปแล้วก็อย่าได้ทำแบบนี้กับผมอีก” หลังจากที่ครูใหญ่กู้เข้าใจก็พูดกับผู้อำนวยการหลี่ทันที
ผู้อำนวยการหลี่เห็นการตอบสนองของครูใหญ่กู้ก็ผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็คิดว่าคนตระกูลซูไม่ใช่พวกใจแคบ แน่นอนว่าอาหารบนโต๊ะจะให้ทุกคนกินอย่างเอร็ดอร่อยก็ทำให้ปล่อยวางได้บ้าง
“นักเรียนซูเสี่ยวเถียนคะแนนสอบครั้งนี้ของเธอดีมาก ทางโรงเรียนจึงตัดสินใจจะชมเชยเธอ”
“…” ซูเสี่ยวเถียน
ความจริงไม่ต้องก็ได้ค่ะ!
ไม่รู้ว่าจะชมเชยอย่างไรด้วย
“นักเรียนซูเสี่ยวเถียนครั้งนี้โรงเรียนของพวกเรามีนักเรียนห้าคนที่ติดสิบอันดับแรกของเมืองหลวง พวกเราล้วนต้องให้การชมเชยทั้งหมด” ครูใหญ่กู้ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ!
หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเขาเองที่สอบได้คะแนนยอดเยี่ยม
“ครูใหญ่กู้เรื่องเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ? ทำไมผมไม่เห็นรู้เลย?” ผู้อำนวยการหลี่ถามอย่างประหลาดใจ
“เพิ่งตัดสินใจเมื่อครู่ ผู้อำนวยการหลี่ ผมยังไม่ได้ส่งรายงานคุณเลย!” ครูใหญ่กู้พูดอย่างภาคภูมิใจ
ถึงอย่างไรการรายงานก็เป็นเพียงเรื่องทำพอเป็นพิธี อย่างไรก็ใช้เงินจากงบของโรงเรียนอยู่แล้ว ทั้งยังไม่ต้องควักเงินของสำนักการศึกษาออกมาใช้ ผู้อำนวยหลี่ถึงคิดอยากจะจัดการแต่ก็จัดการไม่ได้แล้ว แน่นอนว่าผู้อำนวยการหลี่เพียงแค่ถามหนึ่งประโยค หลังจากนั้นก็มองไปยังซูเสี่ยวเถียนอย่างครุ่นคิด
ซูเสี่ยวเถียนไม่เพียงแต่นำเกียรติมาให้โรงเรียนมัธยมอันดับเจ็ด แต่ยังนำเกียรติมาให้สำนักการศึกษาของพวกเขาด้วย ในเมื่อโรงเรียนมัธยมอันดับเจ็ดล้วนคิดจะชมเชยและให้รางวัล สำนักงานการศึกษาก็ควรจะแสดงท่าทีอะไรบ้างไม่ใช่หรือ?
เรื่องนี้เมื่อกลับไปแน่นอนว่าต้องเอาไปหารือกับคนอื่น ๆ สักหน่อยแล้ว
“นักเรียนซูเสี่ยวเถียนรางวัลที่ครูใหญ่กู้ให้เธอก็รับไปเถอะ ส่วนพวกเราสำนักการศึกษาจะต้องเอารางวัลมาให้เธอด้วยแน่นอน”
ผู้อำนวยการหลี่เชื่อว่าขอเพียงเขายกเรื่องนี้ขึ้นมาคนอื่นจะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน ข้อแตกต่างเดียวก็คือควรให้เงินหรือสิ่งของเป็นของรางวัลเท่าไหร่ดี
ซูเสี่ยวเถียนยิ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าอย่างไร
ช่างเถอะไม่พูดแล้ว
ซูเสี่ยวเถียนออกไปข้างนอก เฉินจื่ออันก็เดินออกมา
“เสี่ยวเถียน!”
“อาเขย!” ซูเสี่ยวเถียนเห็นเฉินจื่ออันออกมาก็ยิ้มทักทาย
“เสี่ยวเถียนมีเรื่องที่อาอยากจะปรึกษาหารือกับหลานหน่อย”
ซูเสี่ยวเถียนแปลกใจยิ่ง อาเขยมีเรื่องอะไรที่ต้องมาปรึกษาตนด้วยหรือ? อาเขยของเธอเป็นนายกเทศมนตรียังมีอะไรที่จะต้องมาปรึกษากับตนที่เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งด้วย?
“อาเขยมีเรื่องอะไรก็บอกหนูมาได้เลยค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนพูดอย่างสุภาพ
เพราะหลายปีมานี้เฉินจื่ออันดีต่อครอบครัวพวกเขา ดีต่ออาของเธอ ตราบใดที่เธอช่วยได้จะต้องช่วยแน่นอน
“อาสนใจโรงงานของเธอมาก อาเลยหวังว่าเธอจะมาเปิดโรงงานสาขาที่ลี่เฉิงด้วย”
เฉินจื่ออันพูดกับซูเสี่ยวเถียนอย่างเป็นธรรมชาติ
ทันใดนั้นซูเสี่ยวเถียนก็รู้สึกว่าว่าอาเขยของตนเข้าใจอะไรผิดหรือไม่?
โรงงานที่แรกยังไม่ทันเปิด จะมาเปิดโรงงานสาขานับว่าไกลเกินไปมากแล้ว
แต่ข้อเสนอของเฉินจื่ออัน ซูเสี่ยวเถียนก็ยังรู้สึกสนใจ ช่วงเวลากว่าสิบปีข้างหน้าสถานที่ที่มีการพัฒนาเร็วที่สุดก็คือลี่เฉิง หากในตอนนี้สามารถไปตั้งรกรากที่ลี่เฉิงก่อนล่วงหน้าได้ในอนาคตก็นับว่ายอดเยี่ยมทีเดียว
นอกจากนี้ขอเพียงสามารถครอบครองพื้นที่ในลี่เฉิงได้ในอนาคตก็จะสามารถทำเงินได้มากมายมหาศาล
ซื้อขายอย่างไรก็สามารถทำเงินได้แต่ก็ไม่ทำเงินได้เร็วเท่าอสังหาริมทรัพย์! หากเธอสามารถมีที่ดินในลี่เฉิงได้ เมื่อเกิดการพัฒนานั่นจะไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แล้ว ส่วนโครงการอสังหาริมทรัพย์ในเมืองหลวงก็ช่างมันเถอะ ไม่ใช่ว่าเธอจะสามารถไปขอมีส่วนแบ่งในผลประโยชน์ที่ไม่ควรได้
เมืองหลวงต่างจากลี่เฉิงที่ล้ำลึกยิ่ง ไม่รู้ว่าฉืออี้หย่วนร่ำรวยขึ้นในเมืองหลวงได้อย่างไร แต่ที่ลี่เฉิงสะดวกกว่ามาก หนึ่งคือหลาย ๆ คนในตอนนี้ยังไม่เห็นศักยภาพของลี่เฉิง
สองคือเฉินจื่ออันอยู่ที่ลี่เฉิงมีเรื่องมากมายที่สามารถทำได้สะดวก ยังไม่ต้องพูดถึงว่าไม่อาจเอาเปรียบผู้อื่นเปล่า ๆ ได้ในประเทศจีนเป็นสังคมที่เห็นแก่ญาติพี่น้อง ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เกี่ยวข้องกับญาติพี่น้อง
ความลำบากที่อาเขยต้องเผชิญเธอก็สามารถเข้าใจได้
ลี่เฉิงในตอนนี้แม้จะดีกว่าเมื่อปีสองปีก่อนอยู่บ้าง แต่หนทางในการพัฒนาก็ยังอีกยาวไกล ยิ่ง คาดว่าทางฝั่งอาเขยก็เจอปัญหาอยู่บ้างเช่นกันจึงคิดจะเชิญเธอไปที่ลี่เฉิง
อาเขยของตนขอสร้างโรงงานอย่างจริงใจ เธอก็คิดจะสนับสนุนการก่อสร้างที่ลี่เฉิงเช่นกัน
ในฐานะโรงงานที่สร้างเร็วที่สุดแม้คนอื่นจะมีความคิดอย่างไรก็พูดไม่ออกแล้ว! อย่างไรก็ตามในยุคสมัยนี้การจะเอาเงินทุนก้อนใหญ่ไปลงยังที่ดินของลี่เฉิงก็ยังมีความเสี่ยงอยู่มาก
“อาเขยคะหนูคิดว่าแบบนี้ค่ะ เงินที่จำเป็นในการเปิดโรงงานนับว่าไม่น้อยเลยทางหนูในตอนนี้มีเงินไม่พอค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนพูดสถานการณ์ของตัวเองออกไป “ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องเงินแต่ยังมีปัญหาเรื่องคนด้วยค่ะ”
คนที่ใช้ได้ในมือของซูเสี่ยวเถียนมีน้อยเกินไปจริง ๆ
แม้พี่ใหญ่จะเป็นคนที่เก่งกาจยิ่งแต่ก็ล้วนต้องพัฒนาในขอบเขตของตัวเอง ไม่อาจละทิ้งความฝันทั้งหมดของตัวเองได้
“เสี่ยวเถียนปัญหาเรื่องคนความจริงแล้วแก้ไขได้ง่ายมาก ไม่มีใครที่มีคนมีความสามารถมากมายตั้งแต่เริ่มพัฒนาหรอก เรื่องคนสามารถค่อย ๆ ฝึกฝนจนเติบโตขึ้นได้”
เฉินจื่ออันพูดอย่างจริงใจเป็นอย่างมาก ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเขามักจะคิดว่าในมือไม่มีคนที่ใช้ได้ แต่หลังจากคิดดูแล้วก็เข้าใจว่าไม่มีคนที่ใช้ได้ก็แค่ฝึกฝนให้คนใช้ได้ก็พอ!
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนคนอย่างค่อยเป็นค่อยไป โรงงานของซูเสี่ยวเถียนเองเหมือนกัน
“แต่ยังขาดเงินทุนนะคะ!”