เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 683 ต้องทำเอกสาร
บทที่ 683 ต้องทำเอกสาร
บทที่ 683 ต้องทำเอกสาร
เหลียงซิ่วเหลือบมองพี่ชาย เธอไม่มีความรู้สึกอันใดอย่างที่พี่น้องควรจะมีสักนิด!
ฝ่ายพี่ชายรู้ว่าเมื่อก่อนน้องใช้ชีวิตลำบาก แต่อย่างที่พ่อแม่บอก ลูกชายจะเป็นผู้สืบทอดสร้างครอบครัวและเงินในอนาคตนี่ เหลียงซิ่วเป็นแค่ผู้หญิงโง่ ๆ คนหนึ่ง จะมาเทียบกับเราได้ยังไง?
น้องสาวไม่คิดจะพูดคุยกับพี่ชายตนเองอยู่แล้ว เธอเลือกที่จะเดินตรงไปหาพ่อแม่
พูดไปก็เสียเวลา ระหว่างพวกเราพี่น้องก็เป็นแค่ญาติเท่านั้นล่ะ แต่ที่ไม่เข้าใจคือ ทำไมพ่อแม่ถึงทำแบบนี้กับเธอ?
“พวกแกเองก็เป็นพ่อเป็นแม่ ลองถามตัวเองดูสิ คิดดี ๆ ว่าพวกแกลำบากแค่ไหน”
แววตาเหลียงซิ่วเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว!
“ใครบอกว่าลำบาก ฉันว่าการเป็นลูกสาวคุณต่างหากที่มันลำบาก”
เธออยากร้องไห้เหลือเกิน หลายปีที่ผ่านมาเธอเองก็ลำบากเหมือนกันนะ พอนึกถึงช่วงเวลาหลายปีก่อนก็ขมขื่นนัก
ตั้งแต่แต่งงานเข้าตระกูลซู เธอพยายามอย่างมากที่จะไม่นึกถึงเรื่องราวพวกนี้ และตั้งแต่มาอยู่บ้านนี้ชีวิตเธอดีขึ้นมาก
สิบเจ็ดสิบแปดปีที่ทนทุกข์
ถึงพ่อแม่จะขายเธอในราคา 70 หยวน แต่แม่สามีใจดีมาก สามีก็ดี เธอคิดว่าตัวเองคงมีอนาคตอันสดใสแล้ว
ทว่าพ่อแม่ยังไม่เลิกตอแย ทั้งยังอยากให้เธอเอาของ ๆ บ้านซูกลับไปที่บ้านเหลียงด้วย แต่เป็นเพราะเธอไม่เห็นด้วยจึงโดนดุด่ามาหลายปี
“แล้วตอนนั้น มันมีลูกบ้านไหนไม่เป็นแบบนี้บ้างล่ะ?”
หญิงชราไม่อยากยอมรับ จึงพยายามหาข้อแก้ตัว
กลับกัน ราคาของเด็กที่จะขายก็ไม่ได้สูง นั่นรวมถึงเหลียงซิ่วด้วย
“แต่พี่ชายฉันไม่ได้ใช้ชีวิตแบบฉันสักนิด!” เหลียงซิ่วโต้กลับ
ถึงจะประคองน้ำในถ้วยให้เท่ากันไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็คว่ำไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?
เลือกปฏิบัติเกินไปหรือเปล่า
“แล้วใครใช้ให้แกเป็นลูกสาวกัน?” แม่เฒ่าเหลียงพูดจาเล่นลิ้น ไม่รู้สึกผิดสักนิด
“เป็นลูกสาวแล้วมันยังไงคะ แม่ไม่ได้คลอดฉันมาหรือไง? ลูกสาวสมควรที่จะต่ำต้อยกว่าหรือ?” เหลียงซิ่วเจ็บปวดมาก
“ลูกสะใภ้ฉันพูดถูก ฉันเองก็มีลูกสาวที่อายุไล่เลี่ยกับเหลียงซิ่ว แต่ฉันไม่เคยบีบคั้นเธอแบบนั้นเลย” คุณย่าซูออกตัวแทนสะใภ้สาม
ในบรรดาลูกสะใภ้ทั้งหมด มีแค่คนนี้แหละที่โชคร้ายมีพ่อแม่และพี่น้องไร้ประโยชน์ ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าคิดจะเอาครอบครัวเหล่าซานเข้ามาเอี่ยวยังไง
การทะเลาะในวันนี้ถ้าทำให้เข้าใจกันได้ แบ่งทรัพย์กันอะไรเสร็จสรรพอย่างชัดเจนก็คงจะดี!
ครอบครัวอื่นที่มีลูกสาวตอบรับส่งเสริม พวกเขาเห็นด้วยกับคำพูดคุณย่าซู
เราเองก็รักลูกชาย ยังไงอนาคตก็ต้องพึ่งพาพวกเขา ไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
“พวกแก เหอะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครยกลูกสาวเป็นสมบัติล้ำค่า!” แม่เฒ่าเหลียงโต้กลับ
ไม่อยากเชื่อเลยว่ามีคนแบบนี้อยู่บนโลกด้วย
สะใภ้ซูฉางจิ่วหัวเราะลั่น
ทุกคนตกใจกันมาก มันตลกด้วยหรือ?
“ฉันว่านะ คุณเป็นผู้อาวุโสที่มีหัวใจหรือเปล่าเนี่ย? ลองดูสิว่าบ้านซูปฏิบัติต่อเสี่ยวเถียนยังไง เดี่ยวก็รู้เองล่ะ ว่าบนโลกนี้มีใครถือลูกสาวเป็นสมบัติล้ำค่า”
และบ้านซูทำแบบนั้นจริง ๆ!
ตั้งแต่เล็กจนโต พวกเขาเฝ้าเลี้ยงดูทะนุถนอมหลานสาวคนนี้อย่างดี
จากนั้นก็ว่าต่อด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “อย่าว่าแต่เสี่ยวเถียนเลย ขนาดอาของเสี่ยวเถียนเอง พวกเขายังปฏิบัติต่อเธออย่างดีเหมือนกัน”
แม่เฒ่าเหลียงไม่ยอมรับสักนิดแม้จะฟังอยู่ เพราะรู้เรื่องนี้ตั้งนานแล้ว หลายปีที่ผ่านมาก็คิดมาตลอดว่าคนบ้านนี้โง่งม สมองทำงานบกพร่อง ทำไมต้องปฏิบัติต่อไอ้เด็กพวกนั้นอย่างดีด้วย
สะใภ้ซูฉางจิ่วว่าต่อ “แม้แต่บ้านเราเอง ถึงจะไม่ได้บอกว่ารักลูกสาวมากเกินไป แต่ก็ทำในสิ่งที่ควรทำ ลูกสาวเรียนเก่ง รักเรียน เราก็ส่งเขาไปเรียนหนังสือ!”
หญิงชรารู้สึกว่าสมองคนในหมู่บ้านมันมีปัญหาหรือเปล่า?
ส่งลูกสาวไปเรียน ทั้ง ๆ ที่จะต้องกลายเป็นครอบครัวคนอื่นในอนาคตหรือ!
ต่อให้ดีแค่ไหนก็ไม่ใช่คนบ้านเราเสียหน่อย สุดท้ายแล้วก็ต้องกลายเป็นของสมาชิกของบ้านอื่นอยู่ดี!
“ส่งไอ้พวกเลี้ยงเสียข้าวสุกเรียนหนังสือ น้ำท่วมสมองหรือไง?” แม่เฒ่าเผลอพูดความในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
ทำให้สะใภ้หัวหน้าซูโกรธจัด กล้าพูดได้ยังไง!
“ฉันคงพูดเยอะไป งั้นจะบอกอะไรให้แล้วกัน อย่าคิดว่าผู้หญิงคือคนที่เลี้ยงเสียข้าวสุก เพราะคุณเองก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน พวกเราก็ไม่ได้ต่างกันหรอกมั้ง?” เธอพูดประโยคนี้อย่างชัดเจน
“ไม่ว่ายังไงก็ตาม เดือนละห้าหยวนนั่นน้อยไป หรือจะให้ทีเดียวสองร้อยก็น้อยทั้งนั้น!”
อีกฝ่ายเมินเฉยแล้วพูดเรื่องอื่นแทน
“เหลียงซิ่วคำนวณไว้แล้วไง เงินเยอะขนาดนี้ ทำไมยังไม่พอใจอีก?”
สะใภ้ซูฉางจิ่วเข้าใจหัวอกน้องสะใภ้คนนี้
เหลียงซิ่วพูดถูก แต่เพราะลูกชายยังเกาะพ่อแม่กินอยู่ ใครมันจะไปส่งเงินห้าหยวนให้ได้?
ถ้าคำนวณแล้วเขาจะได้แค่ห้าหยวนจากเหลียงซิ่วเท่านั้น แต่จะไม่เอ่ยออกไปหรอกนะ
คนที่ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ ไม่สมควรได้รับความเคารพสักนิด
ถ้าถามเธอ เธอคงจะบอกเหลียงซิ่วว่าไม่ต้องให้เงินสักแดงหรอก
“เงินห้าหยวนมันไม่เท่าไรเลยนะ แล้วจะไปหางานดี ๆ จากที่ไหน?”
“มันตั้งห้าหยวน ควรเอา ๆ ไปสักทีไหม ถ้าฉันเป็นเหลียงซิ่วคงไม่ให้สักหยวนหรอก!”
“เกิดมาก็เคยเห็นคนหน้าด้านมาเยอะนะ แต่ไม่เคยเจอคนหน้าด้านเท่าคนพวกนี้มาก่อน”
“มาขอเงินลูกสาวที่แต่งงานไปแล้วเนี่ยนะ ไม่รู้สมองคิดอะไรอยู่?”
“ลูกชายพวกนี้ก็คงเป็นเครื่องประดับล่ะมั้ง? คนแบบนี้จะสร้างครอบครัวเรอะ มีหวังล่มจมก่อนอีก!”
…
ทุกคนแย่งกันพูดกันจาและมุ่งประเด็นไปยังคนบ้านเหลียง
สองผู้อาวุโสบ้านเหลียงเห็นฉากพวกนี้ก็คิดแค่ว่ายังไงวันนี้จะต้องขอเงินมาอีกให้ได้
พวกเขามองตากันแล้วตอบตกลง
“งั้นเลือกเป็นส่งเงินเดือนละ 5 หยวนแล้วกัน แต่แกต้องบอกก่อนนะว่าจะส่งให้หนึ่งปี ไม่สิสามปี เผื่อแกหนีขึ้นมาจะไปตามตัวที่ไหน!”
แม่เฒ่าเหลียงจะกลับไปมือเปล่าไม่ได้ และจะพยายามหาเท่าที่จะทำได้ ทว่าถึงจะขอครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ขออีก ถ้าไม่ได้ผลก็เดินทางไปเมืองหลวงให้รู้แล้วรู้รอด
แววตาล่อกแล่กคู่นั้น มีหรือที่ลูกสาวจะไม่เข้าใจ ดูเหมือนแม่ของเธอจะนิสัยแย่กว่าที่คิดไว้เยอะ! จากนั้นก็ตอบเสียงเรียบ “ในเมื่อมันเป็นเงินบำนาญ งั้นก็ต้องทำเอกสารค่ะ”