เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 687 ฉันไม่ใช่คนขลาดเขลา
บทที่ 687 ฉันไม่ใช่คนขลาดเขลา
บทที่ 687 ฉันไม่ใช่คนขลาดเขลา
พ่อเฒ่าและลูกชายทั้งสามอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่กล้าปริปากเอ่ยออกมา เขารู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านน่ากลัวมาก หากได้แว้งกัดแล้วเขาจะไม่ยอมปล่อยเราแน่นอน
ถ้าโกรธขึ้นมาจริง ๆ เรื่องวันนี้เขาไม่ยุ่งแน่
“ถ้าอย่างนั้นก็จบเรื่องแล้วไหม? เราทำเป็นลายลักษณ์อักษรได้หรือยังไง?” ซูฉางจิ่ว
หัวหน้าเหลียงตอบรับ
ขณะที่พ่อเฒ่ากำลังจะเอ่ยก็โดนขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน “ถ้าพี่ยังมีข้อโต้แย้ง ผมจะกลับไปก่อนแล้วปล่อยให้จัดการกันเองนะ!”
ชายชราหุบปากฉับ
แล้วเรื่องราวก็เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วหลังจากประทับตรา ลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย และลายมือชื่อหัวหน้าทั้งสองหมู่บ้าน ถือว่าเป็นขั้นตอนอย่างเป็นทางการ
“แม่คะ มีเงินให้ฉันยืมก่อนไหมคะ ไว้กลับไปเมืองหลวงแม่ค่อยหักจากเงินเดือนฉันค่ะ” เหลียงซิ่วหันมามองแม่สามีแล้วพูด
ท่าทางเธอดูละอายใจมาก และมันทำหัวหน้าเหลียงทนไม่ได้
ชีวิตบ้านซูดีขึ้นก็จริง แต่สุดท้ายก็ยังมีผู้อาวุโสทั้งสองดูแลอยู่ดี แล้วตัวเหลียงซิ่วก็ยังต้องบากบั่นทำงานหาเงินด้วย
หญิงชราแปลกใจมากว่าทำไมสะใภ้สามถึงหันมาพูดแบบนี้ แต่พอคิดอีกทีก็เข้าใจ
ก่อนจะเอ่ยด้วยความไม่เต็มใจ “ทำไมเธอถึงเรื่องเยอะแบบนี้ล่ะ? ดูพี่สะใภ้อีกสองคนซิ ประพฤติตัวดีไม่มีอะไรน่าห่วงเลยสักนิด!”
ถึงจะคุยกับเหลียงซิ่ว แต่ทุกคนในบริเวณบอกได้เลยว่าหมายถึงสามีภรรยาเหลียง
หัวหน้าเหลียงดูลำบากใจนิดหน่อย
อดไม่ได้ที่จะมองคนของตัวเอง
เสี่ยวเถียนอมยิ้ม
คุณย่าสุดยอดไปเลย
คนเป็นตายายเข้าใจบทสนทนานั้นดี แต่มันไม่ได้พูดออกมาง่าย ๆ เลย และท่าทางเหลียงซิ่วที่เหมือนกำลังจะร้องไห้ออกมา ยิ่งเรียกความสงสารจากผู้คนได้มากกว่าเดิม
“แม่ ฉันจะตั้งใจทำงานหนักค่ะ แต่เรื่องนี้มันไม่ใช่ความผิดของฉัน…”
เหลียงซิ่วรู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองพูดเหลือเกินจนหัวหน้าเหลียงต้องออกปาก “ดูซิ พวกพี่กำลังบังคับลูกอยู่นะ!”
ซิ่วเอ๋อร์เป็นคนจิตใจดีและเก่ง ทำไมต้องมาเจอพ่อแม่ไม่ได้เรื่องแบบนี้ด้วยนะ?
“ฉัน…”
พ่อเฒ่าอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยออกมา ส่วนในใจก็เอาแต่บ่นว่าลูกสาวคนนี้มันไม่ได้เรื่อง แต่งงานกับคนบ้านซูมาตั้งหลายปียังจัดการหัวหงอกตายยากสองคู่นั้นไม่ได้อีก แม้กระทั่งอำนาจในบ้านก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ
ถ้ามันมีประโยชน์คงกุมอำนาจไว้ได้แล้ว ทำไมมันลำบากขนาดนี้?
คุณย่าซูบ่นพร่ำ ก่อนจะกลับเข้าห้องไปหยิบเงินออกมา 60 หยวน
“เอาไป!” คุณย่าซูเอ่ยมาอย่างพอใจ
เหลียงซิ่วรับไว้ด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะยื่นเงินไปทางบิดา
ในจังหวะที่จะรับมันไป ลูกสาวก็ชักมือกลับเสียอย่างนั้น
“อาเสี่ยวชี อาเป็นผู้อาวุโสและเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ฉันฝากเงินนี้ไว้กับคุณนะคะ ให้อาส่งให้พ่อแม่ทุก ๆ เดือน อาตกลงหรือเปล่าคะ?”
พ่อเฒ่าไม่พอใจที่เหลียงซิ่วทำตัวโง่เง่าแบบนี้
“นังเด็กโง่ แกพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? นี่มันเงินที่แกให้พวกฉัน แล้วจะเอาไปให้คนอื่นเขาทำไม?”
เหลียงซิ่วได้ยินสิ่งที่แม่บอก ก็ตอบกลับ “ถ้าวันนี้ฉันให้เงินแม่ไป แม่มั่นใจว่าจะไม่โกหกว่าไม่ได้เงินจากฉันหรือเปล่าล่ะ แล้วถ้าปีหน้าฉันส่งเงินให้อีก แถมยังไม่มีพยาน แม่จะยอมรับไหมล่ะ?”
เธอพูดจาไม่น่าพอใจเท่าไร ทั้งยังทำให้คนคิดว่าตัวเธอขี้สงสัยเกินไปด้วย
แต่แม่เฒ่ากลับลังเล เพราะตนเองมีความคิดจะโกงลูกสาวจริง ๆ เดือนละห้าหยวนน้อยเกินไปแล้ว ต้องขอให้ได้มากกว่านี้
เมื่อเห็นสีหน้าหญิงชรา ทุกคนก็เข้าใจ
สมกับที่เป็นแม่ลูกกัน เหลียงซิ่วรู้จักแม่ตัวเองดีจริง ๆ
“ฉันไม่เคยได้ยินว่าลูกสาวที่แต่งงานต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่เลย เหลียงซิ่ว เห็นแก่ที่เธอมีเสี่ยวเถียนให้ตระกูลเรา ฉันยอมให้เงินคุณปีละ 60 หยวน แต่ถ้าขอมากกว่านั้นก็เก็บของกลับบ้านไปซะ!”
ซูเหล่าซานเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ท่าทางเหมือนกับว่าไม่พอใจภรรยาสักนิด
หัวหน้าเหลียงอยากจะบอกว่า เหล่าซาน ลูกโตขนาดนี้แล้วจะไปไหนได้ แต่พอเห็นสภาพคนของตัวเองแล้วก็ไม่พูดดีกว่า จึงได้แต่เอ่ยสนับสนุนอีกฝ่ายด้วยความเกรงใจ
ถึงจะไม่พอใจ แต่พ่อเฒ่าก็ยังกดลายนิ้วมือบนกระดาษเพื่อรับเงิน 60 หยวนเอาไว้
จากนั้นคนบ้านซูก็ให้คนพาหัวหน้าเหลียงไปส่งที่บ้าน แต่อีกฝ่ายปฏิเสธแล้วมองสามีภรรยาเหลียงแทน
“ทำไม? ที่ไม่ไปคือรอให้เขาเชิญกินข้าวหรือ?”
ช่างเป็นประโยคที่แทงใจดำเหลือเกิน
ความจริงเราก็อยากกินบ้าง แต่ก่อนหน้านี้ก็กลัวไม่ได้เงินเลยไม่สร้างปัญหา แต่ตอนนี้ได้เงินแล้วจะกลัวอะไรอีกล่ะ? ทว่า… ที่กลัวคือหัวหน้าเหลียงต่างหาก
“ซิ่วเอ๋อร์ แกดูซิ หลานชายไม่ได้กินเนื้อมาตั้งหลายเดือน งานเลี้ยงบ้านแกมีเนื้อตั้งเยอะ แบ่งให้พวกเขาสักหน่อยไม่ได้หรือไง?”
ต่อหน้าหัวหน้าเหลียงแม่เฒ่าไม่กล้าไปไหนไกล เลยยืนพูดอยู่ตรงนี้แสดงความต้องการออกมา
คุณย่าซูพูดตรง ๆ “คิดอะไรอยู่? พวกเราให้เงินพวกหน้าด้านแบบแกไปตั้งเยอะ มันไม่พอกินหรือไง? 60 หยวนแลกเป็นเนื้อได้ตั้ง 60 จินด้วยซ้ำ!”
นี่เป็นการปฏิเสธอย่างชัดเจน แกที่โดนด่าเลยทำให้ต้องเผชิญหน้ากับคุณย่าซูโดยตรง ทว่าแม่สามีกลับดึงสะใภ้ตนขึ้นแล้วดันไปหาแม่เฒ่าเหลียง “ไม่งั้นก็คืนเงินมาแล้วเอาลูกกลับไป ลูกสาวแบบนี้พวกเราไม่ต้องการ!”
หัวหน้าเหลียงเห็นว่าเรื่องชักจะบานปลาย จึงรีบสวน “ยังไม่ไปอีก ยืนรอหาพระแสงอะไรอยู่?”
คนบ้านเหลียงจากไปด้วยความไม่เต็มใจ ถึงจะน่าเสียดายที่ไม่ได้กินเนื้อ แต่ก็ยังเดินตามหัวหน้าไปโดยที่คิดว่าอย่างน้อยก็ได้เงิน 60 หยวนมาแล้ว
สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ หัวหน้าเหลียงด่าพวกเขาไปตลอดอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
หัวหน้าเหลียงกินอิ่มแล้ว แต่คนบ้านเหลียงไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้าถึงบ่าย และตอนนี้พวกเขาก็หิวมาก โดนด่าไม่พอ พอจะแก้ตัวหัวหน้าเหลียงก็บอกอีกว่า ถ้าอนาคตยังทำตัวแบบนี้อีกจะไม่ส่งเงินให้อีกเลย!
เราวุ่นวายกันมาตั้งขนาดนี้ก็เพื่อเงิน ถ้าไม่ได้มันมาที่ทำมาไม่เสียเปล่าหรอกเรอะ? ถึงไม่พอใจแค่ไหนก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนลงไป
ในขณะเดียวกัน หลังจากส่งญาติกลับไปคุณย่าซูก็เอาของฝากดี ๆ ออกมา เราไม่ได้เอามาแค่ขนมกินเล่นนะ แต่ยังมีพวกเกี๊ยวเนื้อด้วย แล้วแต่ละครอบครัวก็ได้รับผ้าไปคนละผืน
ตระกูลหวังและตระกูลฉีรับของขวัญไปด้วยความเกรงใจ
คุณย่าซูกลัวสะใภ้สามจะค้านเลยบอกไปว่า “สะใภ้สาม อย่าคิดว่าฉันลำเอียงเลยนะ พ่อแม่เธอได้รับเงินไป 60 หยวนแล้ว ถึงครอบครัวพี่สะใภ้ทั้งสองคนจะได้ของขวัญไป ราคาก็ไม่มากเท่าเงิน 60 หยวนหรอก”
เหลียงซิ่วพยักหน้า “แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันรู้ดีค่ะ ฉันไม่ใช่คนขลาดเขลา!”