เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 690 ตัดสินจากรูปร่างหน้าตาแล้วถึงค่อยให้ความเคารพ
- Home
- เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ
- บทที่ 690 ตัดสินจากรูปร่างหน้าตาแล้วถึงค่อยให้ความเคารพ
บทที่ 690 ตัดสินจากรูปร่างหน้าตาแล้วถึงค่อยให้ความเคารพ
บทที่ 690 ตัดสินจากรูปร่างหน้าตาแล้วถึงค่อยให้ความเคารพ
“เสี่ยวเถียน เราได้ยินมาว่าวันนี้เธอต้องไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัย ก็เลยจะพาไปส่งน่ะ”
คนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากหลี่ว์หรูหยา จากนั้นเขาก็เบนสายตาไปยังผู้อำนวยการตู้จากโรงงานไฟฟ้าตงเฟิง เขากับอีกฝ่ายสนิทกันดี แต่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นคู่แข่งกันเสียแล้ว
ไม่ว่ายังไง ผู้อำนวยการตู้ก็ไม่เจริญหูเจริญตาเลยสักนิด
ผู้อำนวยการตู้ก็จ้องกลับเช่นกัน
เสี่ยวเถียนไม่ได้เป็นนักแปลให้แค่โรงงานผ้าไหม แต่ยังทำงานให้กับโรงงานไฟฟ้าด้วย ถึงเขาจะอยู่แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็คุ้นเคยกับเสี่ยวเถียนเป็นอย่างดี และหวังว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสาวน้อยแสนฉลาดคนนี้ได้
เสี่ยวเถียนและคนที่จะเดินทางไปส่งประหลาดใจ
สถานการณ์ตอนนี้ดูแปลก ๆ นะ เธอแค่จะไปรายงานตัวเองนะ แล้วเอารถมาทำไมตั้งสองคัน?
ฉือเก๋อหัวเราะขึ้นมา
“มาพอดีเลยนะ พวกเราคนเยอะ สองคันก็ดีเลยล่ะ!”
ก่อนหน้านี้คิดแต่เรื่องรถประจำทาง มันจะไปสบายกว่ารถส่วนตัวได้ยังไง?
หลี่ว์หรูหยาไม่คิดเลยว่าหลังจากเผชิญหน้ากันระหว่างสองผู้อำนวยการมาตั้งนานนม ปัญหาทุกอย่างก็ได้รับการแก้ไขแล้ว
“พอดีเลยครับ ๆ!” เขายิ้มอย่างมีความสุข
ตอนนั้นกำลังคิดอยู่ว่าตนจะไปส่งเสี่ยวเถียน แต่พอเห็นสมาชิกบ้านนี้ขึ้นรถทีละคน เขาก็พบว่าไม่มีที่พอสำหรับเขาแล้ว
“รองผู้อำนวยการ ดื่มชารอเราที่หออีหมิงก่อนเถอะ เดี๋ยวพวกเราจะกลับมานะ!” ฉือเก๋อเอ่ยอย่างสุภาพ
หัวใจอันเบิกบานของเขาหดเหี่ยวลงทันที รู้สึกเสียดายที่ไปส่งไม่ได้
ทำไมคนต้องไปเยอะขนาดนี้ด้วยเนี่ย ดูสิ เขาไปด้วยไม่ได้เลยนะ!
แต่พอเห็นผู้อำนวยการตู้ก็ไปไม่ได้เหมือนกัน เขาถึงค่อยโล่งใจ
“เหล่าตู้ เข้าไปดื่มชากันเถอะ ชาที่นี่อร่อยมากเลยนะ” หลี่ว์หรูหยาหันไปพูดกับสหายราวกับเป็นญาติมิตร
ถึงจะไม่ชอบใจและไม่อยากคุยด้วย แต่ผู้อำนวยการตู้คิดว่าถ้าไม่มีคนคุยตอนรอก็คงจะเหงาพิลึก จึงจำต้องเดินเข้ามาดื่มชาด้วยกัน ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายหยิบหนังสือขึ้นมาตั้งหน้าตั้งตาอ่าน ทีแรกคิดว่าคงจะอ่านนิยายศิลปะการต่อสู้ที่กำลังได้รับความนิยมในช่วงสองปีที่ผ่านมาเสียอีก พอชะโงกไปดูจึงได้รู้ว่าเป็นหนังสือเศรษฐศาสตร์
เห็นเช่นนั้นแล้วก็รู้สึกว่ายากจะเข้าใจเหลือเกิน
“ผู้อำนวยการหลี่ว์ คุณยังเรียนหนังสืออยู่อีกหรือ?”
หลี่ว์หรูหยามองกลับมาด้วยสายตาแปลก ๆ “นายไม่เรียนแล้วหรือ?”
“…” ผู้อำนวยการตู้
คนเป็นถึงผู้อำนวยการต้องมานั่งอ่านหนังสือแบบนี้มันจะมีอะไรให้สนใจ?
“นายรู้ไหมว่าทำไมเสี่ยวเถียนถึงเก่งนัก” อีกฝ่ายพูดอย่างมีลับลมคมใน
“บอกฉันทีสิ” ผู้อำนวยการตู้ตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้ว และเขยิบเข้าไปใกล้อีกฝ่าย
“เพราะเสี่ยวเถียนแบกหนังสือไปไหนมาไหนอยู่ตลอด เพื่อที่จะได้อ่านทุกครั้งที่มีเวลา” หลี่ว์หรูหยาลดเสียงลง
“แต่เสี่ยวเถียนเป็นนักเรียนนะ” เขาเอ่ยอย่างผิดหวัง
ทีแรกก็คิดว่าจะพูดอะไร แต่ตอนนี้กลายเป็นแบบนี้เสียได้ เสี่ยวเถียนเป็นนักเรียน การเรียนหนังสือคือเรื่องปกติ พอเห็นท่าทางดูแคลนแบบนั้น หลี่ว์หรูหยาพลันพ่นลมหายใจเย็นชา
“นายยังไม่รู้สินะ?”
“จะบอกให้แล้วกัน ถ้าเสี่ยวเถียนไม่ได้อ่านหนังสือ นายคิดว่าเธอจะแปลงานได้แม่นยำขนาดไหน?”
อันที่จริงนี่ก็คือปัญหา
เพราะวัยของเสี่ยวเถียน เธอคงไม่เข้าใจศัพท์เฉพาะทางของผ้าไหมและไฟฟ้าอะไรพวกนี้หรอก ทว่าเธอกลับแปลทุกอย่างได้ออกมาได้ถูกต้องหรือนี่จะคือเหตุผล?
“เสี่ยวเถียนบอกว่า ความรู้จะสั่งสมไปเรื่อย ตามกาลเวลา! การเรียนหนังสือมันไม่ได้เป็นอันตรายนะ!”
ว่าจบก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ ปล่อยคนข้าง ๆ มองตนแทน
ผู้อำนวยการตู้คิดหนัก เขาต้องทำบ้างแล้วหรือเปล่า
ขณะนี้ฝั่งเสี่ยวเถียนที่กำลังโดยสารด้วยรถยนต์กำลังต่อสู้กับปัญหาหนึ่งอยู่ นี่ไม่ใช่ยุคปัจจุบันนะ เพิ่งจะยุค 80 เอง แม้แต่รถยนต์ในเมืองหลวงก็ยังเป็นของหายาก แต่มีสองคันรถไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัยอย่างเอิกเกริกแบบนี้ คาดว่าคงกลายเป็นดาราดังในไม่ช้า
“คุณปู่ฉือ แบบนี้ไม่ค่อยดีหรือเปล่าคะ?” เสี่ยวเถียนลังเลใจ
ฉือเก๋อมองเธอ นี่กำลังพยายามทำตัวให้ไม่เป็นที่สนใจหรือ?
“เสี่ยวเถียน แค่อายุกับผลการเรียนของเธอก็ไม่สามารถปิดบังใครได้แล้วนะ แค่สอบติดก็เป็นเรื่องดึงดูดความสนใจของทุกคนแล้ว ไม่สู้ทำตัวสูงส่งไปตั้งแต่เนิ่น ๆ เลย จะได้ไม่โดนคนรังแกด้วย”
ฉือเก๋อก็คิดเรื่องนี้เหมือนกัน
หลานยังเด็ก กลัวว่าถ้าโดนรังแกขึ้นมาจะทำยังไง
แต่ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีแล้ว
“เสี่ยวเถียน คนบนโลกมักตัดสินเราจากรูปร่างหน้าตาแล้วถึงค่อยเคารพกันอยู่แล้ว ถ้าเธอทำตัวมีหน้ามีตา ก็จะไม่มีใครมารังแกหรอกนะ”
เด็กสาวเงียบไป คนยุคนี้เป็นแบบนั้นแล้วหรือ?
แต่ปู่ฉือเป็นผู้รอบรู้ ความคิดของเขาคงถูกต้องแล้วล่ะ
“หนูเข้าใจแล้วค่ะปู่ฉือ!”
เธอมาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือ ครอบครัวเป็นชาวนา ภูมิหลังเช่นนี้ไม่พอให้คนในเมืองมองเห็นหรอก เพราะงั้นจึงต้องโดดเด่นให้ได้
รถแล่นไปจนสุดทาง และไม่นานก็เดินทางมาถึงประตูมหาวิทยาลัยเมืองหลวง