เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 694 รูมเมทมาแล้ว
บทที่ 694 รูมเมทมาแล้ว
บทที่ 694 รูมเมทมาแล้ว
พอคุณป้าออกไป อวี่รุ่ยหยวนก็จัดเตียงให้เรียบร้อยขึ้น เธอเป็นคนละเอียดอ่อน ไม่ใช่แค่ทำให้เตียงเสี่ยวเถียนสะอาดและเรียบร้อย แต่ยังติดขอบข้างเตียงกันระวังให้หลานด้วย
“ทำแบบนี้แล้วดูดีขึ้นเลยนะ เวลานอนจะได้ไม่ต้องกลัวติดผนังด้วย” อวี่รุ่ยหยวนพึงพอใจมาก
เสี่ยวเถียนรู้สึกสิ้นเปลืองเกินไป แต่ในเมื่อย่าอยากทำงั้นเธอจะไม่ขัดแล้วกัน
“พอคุณย่าจัดเตียงแล้วดูหรูหรามากเลยค่ะ!” เสี่ยวเถียนชมจากใจ
อี้หย่วน ซื่อเลี่ยง และซานกงที่ยืนมองอยู่ข้าง ๆ สัมผัสได้ทันทีว่าเตียงที่เราเคยนอนตอนเรียนเหมือนเล้าหมูเลย แต่เสี่ยวเถียนเป็นเด็กผู้หญิง ควรทำให้เป็นระเบียบคือเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
“แต่ผ้าปูตรงนี้มันไม่ค่อยต่อกันเท่าไร ไว้วันหยุดกลับบ้านย่าจะเตรียมมาให้เปลี่ยนใหม่นะ!” อวี่รุ่ยหยวนเสียใจ
แต่เสี่ยวเถียนคิดว่าผ้าปูลายดอกไม้สีเหลืองอันนี้ก็สวยอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากหรอก
“แค่นี้ก็ดีแล้วค่ะ”
“แต่เด็กผู้หญิงต้องละเอียดอ่อนนะ!” หญิงชรายืนกราน
สุดท้ายเสี่ยวเถียนก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง พลางเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้มหวาน
“ขอบคุณค่ะคุณย่า”
“เกรงใจทำไมกัน ย่าจะบอกอะไรให้นะเสี่ยวเถียน ย่าทำอาหารไม่เก่งเท่าคุณย่าของหนู แต่เรื่องนี้ย่าเก่งกว่าแน่นอน”
อวี่รุ่ยหยวนภาคภูมิใจมาก
คำพูดของอวี่รุ่ยหยวน ทำเอาทุกคนหัวเราะร่า
เธอทำอาหารไม่เป็นจริง ๆ ตอนยังเด็กไม่เคยต้องทำงานบ้านอะไรเลย
“ดีจังเลยค่ะที่หนูมีคุณย่าสองคน!”
ทุกคนหัวเราะอีกครั้ง
ซื่อเลี่ยงดูเวลา ตอนนี้เกือบจะเที่ยงแล้วด้วย เขานึกถึงคนขับรถที่ยังรอเราอยู่ก่อนจะชวนทุกคนไปกินข้าว
“ปู่ครับย่าครับ พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ! แถวนี้มีร้านหนึ่งรสชาติใช้ได้เลยครับ!”
คนบ้านซูเป็นเจ้าของร้านอาหาร แถมรสชาติอาหารยังอร่อยอีกต่างหาก การที่ซื่อเลี่ยงบอกร้านนั้นรสชาติดี แสดงว่าน่าจะดีจริง คนอื่น ๆ จึงไม่ปฏิเสธ
“ไปกันเถอะค่ะ หนูก็หิวเหมือนกัน!”
เสี่ยวเถียนลูบท้องแฟบ ๆ ของตัวเอง หลังจากมาอยู่ที่นี่ต้องศึกษาเรื่องร้านอาหารใกล้มหาวิทยาลัยไว้เสียแล้ว เพราะตั้งแต่กินอาหารฝีมือย่า เธอกลายเป็นคนเลือกมากไปเลย
ขณะที่กำลังจะออกไป จู่ ๆ ประตูก็เปิดออกพร้อมกับร่างคนสามคนเดินเข้ามา
ข้างหน้าคือเด็กสาวหน้ากลม มัดหางม้าสูง สวมชุดสีฟ้าอ่อนดูสดชื่นสะอาดตา ส่วนข้างหลังคือชายหญิงคู่หนึ่ง ผู้หญิงก็สวย ผู้ชายก็หล่อ ทั้งตัวเขาถือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ส่วนผู้หญิงหน้าตาอ่อนโยน รู้ได้เลยว่าเป็นคนใจดี
สาวหน้ากลมกำลังคุยกับพวกเขา ก่อนจะประหลาดใจที่เห็นคนมาก่อนพวกเรา เพราะคิดว่าตัวเองมาเร็วแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าจะมีคนมาก่อนอีก
“สวัสดีค่ะ!” หลังจากทักทายเสร็จเธอก็มองหารูมเมท
แต่หลังจากมองหากลับกลายเป็นว่าหาไม่เจอ!
มีชายหนุ่มสามคน เด็กประถมคนหนึ่ง และผู้อาวุโสที่ไม่น่าพักที่นี้ด้วย หรือรูมเมทของเธอจะไม่อยู่นะ?
“พวกคุณ…”
เด็กสาวถามด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้จะพูดอะไรดี
สองสามีภรรยาวางสัมภาระลงแล้วมองคนกลุ่มนั้น จากนั้นหันมามองหน้ากันเอง กลุ่มคนตรงหน้ามีกันถึงหกเจ็ดคน ทำไมถึงไม่เจอเด็กสาวที่ควรอยู่ห้องนี้เลยล่ะ?
“สวัสดีค่ะ คุณก็พักอยู่หอนี้หรือคะ?” เสี่ยวเถียนรับรู้ได้ว่ารูทเมทเธอมาแล้วจึงเป็นฝ่ายทักขึ้น
“ใช่จ้ะ ฉันอยู่ห้องนี้ เธอมาส่งพี่สาวหรือ?” สาวหน้ากลมถามอย่างกระตือรือร้น
“ฉันอยู่ห้องนี้ค่ะ!” เสี่ยวเถียนยิ้มบาง
“เธออยู่ห้องนี้?” น้ำเสียงนั่นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ค่ะ!”
สีหน้าเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย เสี่ยวเถียนชอบที่ได้มองอีกฝ่าย
“เธออายุเท่าไรหรือ?” อีกฝ่ายอดถามไม่ได้!
เพราะไม่เชื่อว่าตนเองจะเป็นรูมเมทกับเด็กผู้หญิงคนนี้น่ะสิ ที่นี่คือมหาวิทยาลัยนะ ไม่ใช่โรงเรียนมัธยมเสียหน่อย! ตัวเธอหรือน้องเขามาผิดหอกันแน่!
“เสี่ยวเยว่!” ผู้หญิงด้านหลังเอ่ยเสียงดัง
“แม่ หนูเห็นเธอยังเด็กเกินไปก็เลยถามแค่นั้นเอง!”
สาวที่ชื่อเสี่ยวเยว่รีบร้อนตอบ
หญิงวัยกลางคนมองลูกสาวด้วยแววตาตำหนิ ก่อนจะหันมาหาเสี่ยวเถียนด้วยท่าทีขอโทษ “ขอโทษด้วยนะจ๊ะ เสี่ยวเยว่ถูกป้าตามใจจนเคยตัวน่ะ ก็เลยพูดจาไม่รู้ขอบเขต!”
“สวัสดีค่ะคุณป้า หนูอายุน้อยจริง ๆ นั่นล่ะค่ะ” เสี่ยวเถียนชอบอีกฝ่ายจัง
เสี่ยวเยว่ได้ยินก็ดึงสติกลับมาทันที
“เธอชื่ออะไรหรือ อายุเท่าไรล่ะ?”
หญิงวัยกลางคนมองลูกสาวโดยไม่พูดอะไร
นิสัยแบบนี้ไม่รู้จะใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยยังไง เธอไม่สบายใจเอาเสียเลย เราสองคนก็ไม่ใช่คนช่างพูด ทำไมถึงมีลูกสาวที่ทำอะไรไม่ค่อยระมัดระวังตัวแบบนี้นะ?
“ฉันชื่อซูเสี่ยวเถียนค่ะ ปีนี้อายุ 13 ค่ะ!” เสี่ยวเถียนบอกอย่างไม่ปิดบัง
สิบสาม?
ทั้งสามตกใจมาก
นักศึกษาอายุแค่ 13 ปี คิดยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้
พวกผู้ใหญ่ไม่เท่าไร แต่เป็นเสี่ยวเยว่ที่ร้องลั่น “อายุ 13 เองหรือ? จริงหรือ?”
“จริงค่ะ อายุ 13 ค่ะ ต่อไปนี้เราจะเป็นรูมเมทกันแล้วนะคะ!”
เห็นสีหน้าของเสี่ยวเยว่ เสี่ยวเถียนพลันยิ้มแย้มมีความสุข และรู้สึกว่าอีกสี่ปีข้างหน้าตนเองจะต้องมีความสุขแน่ ๆ ที่ได้เพื่อนร่วมห้องเช่นนี้มา และการที่เธอสงสัยมันก็เป็นเรื่องปกติ
ในยุคปัจจุบัน เด็กที่อายุ 13 จะอยู่เพียงแค่มัธยมต้นเท่านั้น แต่ตอนนี้เธออยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่คนอื่นจะไม่เชื่อ
“เสี่ยวเถียน ฉันเรียกเธอแบบนั้นได้ไหม?” เสี่ยวเยว่ถามอย่างกระตือรือร้น
“ได้ค่ะ พี่ ๆ ก็เรียกฉันแบบนี้เหมือนกัน!” เด็กสาวพยักหน้า
“เสี่ยวเถียน ฉันถามหน่อยได้ไหม เธอเรียนมัธยมปลายมาหรือเปล่า? สอบเข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่จบประถมใช่ไหม? ถ้าไม่ใช่ งั้นแสดงว่าตอนเรียนประถมก็ยังสอบไม่ได้สินะ!”
เสี่ยวเยว่ถามออกมารวดเดียว ไม่รู้กำลังถามเสี่ยวเถียนหรือบอกตัวเองกันแน่