เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 718 เหมือนจะรู้จักน้องสาวคนนี้นะ
บทที่ 718 เหมือนจะรู้จักน้องสาวคนนี้นะ
บทที่ 718 เหมือนจะรู้จักน้องสาวคนนี้นะ
หลายปีที่ผ่านมาเสี่ยวเถียนอ่านหนังสือเยอะมาก ถ้าเอาแค่จำนวนที่เธออ่าน น่าจะมากกว่าพวกนักวิชาการอาวุโสพวกนั้นอีก เพราะงั้นข้อเสียของเสี่ยวเถียนในตอนนี้คือเธออ่านหนังสือหลายแขนงมากเกินไปจึงไม่เชี่ยวชาญสักอย่าง
แต่โชคดีที่เสี่ยวเถียนพอใจกับตอนนี้แล้ว
เธออายุแค่ 13 ปีเท่านั้น แต่ให้อิงจากเกณฑ์อายุที่คนจบมหาวิทยาลัยก็คือ 22 เพราะงั้นเธอก็ยังเหลือเวลาอีก 9 ปีให้เรียนเพิ่ม ถ้าถึงตอนนั้นเธอจะมุ่งมั่นต่อไป
นี่เป็นสาเหตุที่เธอทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ใครใช้ให้เธอมีระบบห้องสมุดกับตัวเองล่ะ แถมยังอยู่นอกเหนือการควบคุมอีกด้วยนะ?
“อาหารเสฉวนของร้านนี้คือต้นตำรับเลยค่ะ!” เสี่ยวเถียนกินไปด้วยตื้นตันใจไปด้วย
ฉืออี้หย่วนรู้สึกแปลก ๆ แต่หลังจากคิดอยู่พักหนึ่งก็ไม่ได้คิดต่ออีก
เสี่ยวเถียนรู้ถึงปัญหานี้เช่นกัน
เธอเดินทางมาอาศัยอยู่ในเมืองหลวงจากตะวันตกเฉียงเหนือและเคยไปแค่หรงเฉิง แต่ไม่เคยเดินทางไปเสฉวน-ฉงชิ่งเลย
แล้วกับอาหารจานเด็ดที่ตนไม่เคยไปกินถึงถิ่นจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นของต้นตำรับ?
เหตุผลที่เสี่ยวเถียนรู้เพราะในชาติที่แล้ว เธอเคยร่อนเร่และทำงานที่เสฉวน-ฉงชิ่งเป็นเวลาสามปี ตอนนั้นเธอกินอาหารเสฉวนบ่อยที่สุด จึงรู้ไปโดยปริยายว่ารสชาติที่ชิมอยู่คือของต้นตำรับ
ปกติพวกอาหารการกินจะเป็นประเภทเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม หากเปลี่ยนสถานที่แล้วรสชาติก็จะเปลี่ยนไปด้วย แต่ร้านนี้กลับสามารถทำรสชาติของเสฉวนและฉงชิ่งได้เหมือนต้นตำรับแทบทุกประการเลย
เพื่อปกปิดความผิดพลาดที่ทำไป เด็กหญิงจึงรีบชวนพี่ชายกินข้าวต่อ หลังจากกินไปได้เล็กน้อย พนักงานก็เดินเข้ามาพร้อมกับหม้อเลือดเป็ดต้มเผ็ด และข้าวสองถ้วย
เลือดเป็ดต้มเผ็ดที่เต็มไปด้วยน้ำมันสีแดง ๆ โดยมีฉากหลังเป็นข้าวสีขาวดูน่ากินมากขึ้นกว่าเดิม
พนักงานคนนี้เป็นเด็กสาวอายุ 17-18 ปี เสี่ยวเถียนยิ้มถาม “พี่สาว เถ้าแก่พี่เป็นคนที่ไหนหรือคะ?”
อีกฝ่ายลังเลไม่รู้จะตอบดีไหม
“หนูแค่คิดว่าอาหารจานนี้มันเหมือนรสชาติต้นตำรับเลยน่ะค่ะ ก็เลยถาม ไม่สะดวกตอบก็ไม่เป็นไรนะ”
พนักงานมองเด็กหญิง และคิดว่าเด็กอายุเท่านี้คงไม่น่ามีเจตนาร้ายอะไร
“เถ้าแก่ฉันมาจากเสฉวน-ฉงชิ่งค่ะ ได้ยินว่าบรรพบุรุษเป็นพ่อครัวน่ะ”
เสี่ยวเถียนพยักหน้ารับ เธอเดาถูกจริง ๆ ด้วย
“เสี่ยวเถียน งั้นบอกพี่หน่อยสิว่าทำไมอาหารจานนี้ถึงชื่อเลือดเป็ดต้มเผ็ด?”
ฉืออี้หย่วนแปลกใจในชื่ออาหารมาก ถึงจะกินเมนูนี้หลายครั้งแต่ไม่เคยเข้าใจชื่อมันเลย
เสี่ยวเถียนที่รู้เยอะและจำได้เอ่ยตอบทันที
“งั้นตั้งใจฟังที่บอกดี ๆ นะ!” เด็กหญิงเงยหน้าอย่างมีชัย
เห็นท่าทางแบบนั้นก็อดเคาะหัวน้องไม่ได้
“พูดเพราะ ๆ หน่อย”
เด็กสาวกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย
“คุณหนูพูดให้ฟังชัด ๆ นะ! คุณชายจะตั้งใจฟังเอง” จากนั้นคนเป็นพี่ก็อดร่วมือด้วยไม่ได้
“เลือดเป็ดต้มเผ็ด (เหมาเซวี่ยวั่ง) เป็นอาหารเลื่องชื่อของอาหารเสฉวนค่ะ นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดฉงชิ่งอาหารท่องยุทธภพด้วยนะ (เป็นฉายาของอาหารฉงชิ่ง เพราะถูกจัดว่าเป็นอาหารนอกกระแส) คำว่าเหมาเป็นภาษาท้องถิ่นของเสฉวน-ฉงชิ่ง หมายถึงหยาบหรือลวก ๆ ค่ะ ว่าง่าย ๆ คืออาหารจานนี้ไม่ใช่อาหารที่ทำขึ้นอย่างประณีต”
ฉืออี้หยวนมองหม้อเบื้องหน้าอีกครั้ง ถึงจะมีน้ำมันสีแดง ๆ แต่ดู ๆ ไปแล้วมันก็ไม่ได้ทำลวก ๆ อะไรเท่าไรนี่นา
เขาไม่ได้พูดอะไรแล้วตั้งใจฟังต่อ
เสี่ยวเถียนพึงพอใจมาก
“เดี๋ยวหนูแนะนำให้พี่เองค่ะ คำว่า เซวี่ยวั่งที่แปลว่าเต้าหู้เลือด ปกติแล้วเราจะใช้เลือดเป็ด บางทีก็ใส่เลือดหมูค่ะ ส่วนผสมหลักคือปลาไหลหั่นบาง ๆ ผ้าขี้ริ้ว กระเพาะ หมึก ไส้ใหญ่ แล้วก็อีกหลาย ๆ อย่างค่ะไขมันในลำไส้ ฯลฯ ส่วนหม้อนี้หนูไม่ได้สนใจเท่าไร แต่ถ้าเอาตามความเคยชินคือจะใส่ผักกาดขาวกับถั่วงอกค่ะ ถ้าไม่มีก็ใช้ผักชนิดอื่น ๆ แทนก็ได้”
“ได้ยินว่าน้ำมันพริกในหม้อจะใส่ไม่ต่ำกว่าครึ่ง จะมีความเนียนและใส ไม่ขุ่นข้น น้ำสีแดงสดจะเผ็ดและอร่อยมาก รสชาติเข้มข้น บางคนบอกเลือดเป็ดต้มเผ็ดเป็นตัวเลือกที่ดีในการเรียกน้ำย่อยและความอยากอาหารค่ะ”
ว่าจบก็ยักคิ้วใส่ด้วยความภาคภูมิใจ
ฉืออี้หย่วนมองน้องด้วยสายตาอ่อนโยน เพลิดเพลินกับการได้เห็นเด็กหญิงทำตัวยียวน
เด็กคนนี้ทำให้เขายิ้มได้เสมอเลย
“งั้นพวกเรามาชิมไหม?” เขาว่าก่อนจะตักผักกาดนุ่ม ๆ ออกมา
“พี่อี้หยวน กินเนื้อก่อนแล้วค่อยผักสิ”
คนเป็นพี่ตกใจไปครู่หนึ่ง กินอะไรก็ไม่ได้หรือ? มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือเนี่ย?
เมื่อเห็นความสงสัยของอีกฝ่าย เสี่ยวเถียนจึงรีบอธิบาย
“กินเนื้อก่อนแล้วค่อยตามด้วยผักกาด ถั่วงอกแล้ววุ้นเส้นค่ะ เพราะส่วนใบมีความมันและเผ็ดกว่า ถ้ากินเผ็ดสัตว์ก่อน แล้วจึงค่อยใส่กะหล่ำปลี ถั่วงอก และวุ้นเส้น เพราะใบของกะหล่ำปลีมักจะมีความมันและมีเผ็ดน้อยกว่า ถ้ากินของเผ็ดอย่างแกเลยจะไม่ไหว ต้องกินทีละสเต็ปค่ะ เริ่มจากเผ็ดน้อยก่อน”
ฉืออี้หย่วนเข้าใจแล้ว เพราะมันเผ็ดเกินจะกินไม่ไหวเลยต้องเริ่มจากเผ็ดน้อยก่อนแล้วค่อนไล่ระดับไป
นับว่าสมเหตุสมผลอยู่
ทั้งสองหัวเราะก่อนจะลงมือกินข้าว บรรยากาศเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่ง
ตอนนั้นเองที่มีลูกค้าเข้าร้าน หนึ่งในนั้นเหลือบเห็นฉืออี้หย่วนก่อนจะตะโกนลั่นอย่างมีความสุข
“อี้หย่วน นายก็มาด้วยหรือ!”
อีกฝ่ายก้าวฉับ ๆ เข้ามาหา ก่อนจะพบกับเสี่ยวเถียนจากนั้นก็ชะงักไป แล้วกะพริบตาปริบ ๆ
มองผิดไปหรือเปล่าเนี่ย?
ฉืออี้หย่วนกำลังกินข้าวกับสาวน้อย?
ก่อนจะนึกถึงเรื่องที่เพื่อนบอกว่าอีกฝ่ายมักจะพาเด็กผู้หญิงไปไหนมาไหนด้วยกันมาตลอดสองวัน หรือจะเป็นคนนี้?
“สวัสดีสาวน้อย เป็นน้องสาวของอี้หย่วนหรือ?”
เสี่ยวเถียนมองผู้ชายคนนั้นที่ทำตัวสนิทสนม ทีแรกก็รับไม่ได้หรอก แต่ดูจากท่าทางแล้วน่าจะสนิทกับพี่อี้หย่วนมาก จึงยิ้มทักแทน
“อี้หย่วนแนะนำให้รู้จักหน่อยซี่ ไอ้หนุ่มเอ๊ย ก็ว่าทำไมไม่ไปเที่ยวด้วยกัน ที่แท้ก็มีนัดกับสาวงามนี่เอง” อีกฝ่ายเอ่ยอย่างมีความสุข
ฉืออี้หย่วนมองเด็กหญิงโดยไม่รู้ตัว เพราะกลัวน้องจะตกใจ
“ไอ้หมา นายทำเสี่ยวเถียนตกใจแล้วเนี่ย!”
เสี่ยวเถียนหัวเราะลั่นทันทีที่ได้ยินพี่อี้หย่วนเรียกเพื่อนว่า ‘ไอ้หมา’ ด้วยความจริงจัง
ถึงคำเรียกไอ้หมาจะไว้เรียกเด็ก ๆ แต่คนตรงหน้าก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว แถมยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยจิ่งเฉิงด้วย
พอมาอยู่รวมกับพี่อี้หย่วนแล้ว จู่ ๆ ประโยคดังกล่าวก็ปรากฏขึ้นในหัว เป็นความสุขที่ยากจะอธิบายจริง ๆ
ใบหน้าไอ้หมาที่ตะลึงเปลี่ยนเป็นมืดสนิทเพราะเสียงหัวเราะนั่น
ทำไมฉืออี้หย่วนไม่รู้จักไว้หน้าตาสาวงามคนนี้บ้างสักหน่อยหรือ? จากนั้นก็มองเพื่อนด้วยสายตาไม่พอใจ
“ฉันขอโทษนะเพื่อน ฉันทนไม่ไหวจริง ๆ!”
ยิ่งเห็นรอยยิ้มสดใส ไอ้หมาก็ยิ่งรู้สึกว่าคุ้มค่าเหลือเกินที่ทำให้สาวน้อยยิ้มเพราะชื่อเรียกของเขา!
“ฉืออี้หย่วน ต่อจากนี้ไปเรียกฉันว่าสหายจ้าวเจี้ยนจวิน!”
เสี่ยวเถียนขบคิด ชื่อพื้น ๆ มากเลย สมกับยุคจริง ๆ!
แต่ดีกว่าไอ้หมาเล็กน้อยนะ
ยังไงก็เถอะหยุดล้อดีกว่า เธอขำต่อไม่ไหวแล้ว
“อี้หย่วน บังเอิญจังเลย” จากนั้นก็มีอีกหลาย ๆ คนทยอยกันเข้ามา หนึ่งในนั้นทักคนพี่ก่อนจะถูกเสี่ยวเถียนดึงดูดความสนใจ
ทำไมคุ้น ๆ กับเด็กคนนี้นะ? เหมือนเคยเจอที่ไหน?