เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 739 คนสร้างความร้าวฉาน
บทที่ 739 คนสร้างความร้าวฉาน
บทที่ 739 คนสร้างความร้าวฉาน
ฉีเสี่ยวฟางแม่คนไร้ค่านั่นเห็นว่าซูเสี่ยวเถียนแข็งแกร่ง ทั้งยังเป็นหัวหน้าเอกเลยรีบประจบประแจงสินะ
คนแบบนี้ มีแต่จะต้องทำให้รับรู้ถึงพลังเท่านั้น ถ้าจัดการซูเสี่ยวเถียนไม่ได้ แล้วจะจัดการฉีเสี่ยวฟางคนชนบทไม่ได้เลยหรือยังไง?
อิ่นหรูอวิ๋นในตอนนี้ไม่ได้ตระหนักเลยว่าตัวเองทำผิดตรงไหน ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการอยู่ร่วมกันต้องเคารพผู้อื่นเป็นขั้นพื้นฐาน เดิมเป็นเพราะข้างกายมีอ้ายอวี้มาตลอด เลยลืมไปเสียสนิทว่าการสนทนากับคนปกติควรเป็นยังไง
ตอนฉีเสี่ยวฟางเดินทางมาถึงเมืองหลวง เธอเองก็สับสนเป็นอย่างมาก แล้วก็ไม่มีความมั่นใจในตัวเองสักนิด
เธอได้รับสายตาว่างเปล่ามานับครั้งไม่ถ้วน พอมาถึงหอพักก็ได้เจออิ่นหรูอวิ๋นที่พูดเก่งมากเนื่องจากฝีปากของเธอที่คารมคมคายดี ทำให้หลงผิดจนเกือบเชื่อว่าเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
เธอจึงหวังปฏิบัติต่ออิ่นหรูอวิ๋นจากใจทั้งหมด และเชื่อว่าอีกฝ่ายจะปฏิบัติด้วยอย่างดีเช่นกัน แต่ตอนเห็นแววตาดูถูกเหยียดหยามแล้ว ฉีเสี่ยวฟางรู้สึกได้เลยว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดต่างจากการกระทำอย่างยิ่ง
โชคดีที่ต่อให้เธอใสซื่อก็ไม่ได้โง่ จึงตัดขาดได้ทันท่วงที
หลังจากเรียนรู้จากความเจ็บปวดแล้ว ฉีเสี่ยวฟางสังเกตคนในห้องเงียบ ๆ ทำให้เธอได้เห็นความจริงใจของซูเสี่ยวเถียนที่มีต่อเพื่อนร่วมห้อง โดยเฉพาะตอนเสี่ยวเถียนและพวกเพื่อนในเมืองปฏิบัติต่อเฉียนเสี่ยวเป่ยและหลี่เจี้ยนหงที่มาจากชนบท ท่าทียังเหมือนเดิมเลย และรู้สึกว่าซูเสี่ยวเถียนเป็นคนที่ควรค่าแก่การเป็นเพื่อนกัน
ทว่าเพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เลยทำให้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเข้ากลุ่มกับอีกฝ่าย
ถ้าเฉียนเสี่ยวเป่ยและหลี่เจี้ยนหงไม่เป็นฝ่ายชวนไปนั่งกินข้าวด้วยให้เข้าใกล้กันมากขึ้น เราคงไม่มีทางได้สนิทกันหรอก แต่ตอนนี้มีโอกาสแล้ว สำหรับคนตรง ๆ อย่างฉีเสี่ยวฟางไม่รู้สึกหรอกว่าสิ่งที่เธอทำคือการประจบ
ถือว่าเป็นการชดเชยสิ่งที่ทำไปก่อนหน้านี้ต่างหาก!
เสี่ยวเถียนเป็นคนจริงใจมาก ส่วนตัวเธอเป็นคนตรงไปตรงมา หากเราสองคนไม่ได้มีช่วงเวลาแย่ ๆ มาแต่แรก บางทีอาจได้เป็นเพื่อนที่ดีกันก็ได้
คงบอกได้แค่ว่าโชคชะตาหลอกลวงเหวี่ยงอิ่นหรูอวิ๋นมาให้พบ เลยเกิดช่องว่างระหว่างตนกับเสี่ยวเถียน
เด็กสาวที่อายุน้อยที่สุดในห้องมองฉีเสี่ยวฟาง เธออดชื่นชมไม่ได้ที่ฝีมือของเพื่อนคนนี้ดีจริง ๆ
“เสี่ยวฟาง ฝีมือเธอเยี่ยมไปเลย เหมือนเย็บด้วยเครื่องจักรแน่ะ”
เฉียนเสี่ยวเป่ยตื้นตันใจมาก เธอเองก็เริ่มเรียนรู้ตอนอายุได้ห้าหกขวบ แต่ผ่านมาสิบปีก็แล้วฝีมือก็ยังไม่น่าเป็นที่พอใจ
ถ้าไม่มีการเปรียบเทียบก็คงไม่รู้หรอก แต่ตอนนี้ฉีเสี่ยวฟางได้แสดงให้เห็นแล้ว ทักษะที่มีอยู่น้อยนิดของตนช่างน่าอายจริง ๆ
“ฝีมือดีจริง ๆ นะ ละเอียดอ่อนกว่าแม่กับย่าฉันอีก” เสี่ยวเถียนพยักหน้า
เด็กสาวนึกไปถึงป้าเถาฮวาด้วย เหมือนแกจะอยากได้คนที่ทำงานละเอียด ๆ เหมือนกันนะ เห็นว่าทดสอบกี่คนต่อกี่คน กลับไม่มีใครเป็นที่น่าพอใจเลย
ไม่รู้ฉีเสี่ยวฟางมีความคิดอยากหาเงินบ้างหรือเปล่า
ถึงสองวันนี้เจ้าตัวจะไม่ได้พูดอะไรเลย แต่เสี่ยวเถียนสามารถบอกได้เลยว่าฐานะทางบ้านของเธอไม่ดีอย่างแน่นอน และต่อให้พอมีเงินอยู่บ้าง แต่คงไม่มีใครเลือกกินอาหารเน้นปริมาณแต่ราคาถูกทุกวันหรอกมั้ง
ถ้าสามารถหาเงินมาดำรงชีพได้จากการช่วยป้าเถาฮวาทำงานคงเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อยเลยนะ
เสี่ยวเถียนไม่พูดออกไป
หนึ่งคือความสัมพันธ์ระหว่างเราไม่ได้ดีขนาดนั้น แถมยังไม่ได้รู้จักกันดี
สองคือนักศึกษามหาวิทยาลัยในยุคนี้มีความภาคภูมิใจในตัวเองสูง หากผลีผลามเอ่ยออกไปอาจไปทำลายความรู้สึกนั้นของเพื่อนได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีอันใด
มีหลายครั้งหลายเรื่องกับสิ่งที่เราคิดว่าดี แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะดีต่อคนอื่น
ฉีเสี่ยวฟางมีท่าทีที่สงบมาก เธอแค่ยกยิ้มเล็กน้อยตอนเพื่อนเอ่ยชม
“ฐานะบ้านฉันไม่ค่อยดีน่ะ ตัวฉันก็กินเยอะด้วย เทียบกับครอบครัวอื่นในหมู่บ้านแล้วแย่กว่าเล็กน้อย แถมยังเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้าน ถ้าฉันไม่ทำจะมีใครทำได้อีก?”
ว่ากันตรง ๆ เป็นทักษะที่ฝึกฝนมา
เมื่ออายุได้ 4-5 ขวบก็เริ่มเย็บปักถักร้อยแล้ว พออายุ 10 ขวบ ถ้าให้ทำเสื้อผ้าเธอสามารถจัดการได้ กระทั่งโตอีกหน่อย พวกงานเย็บปักถักร้อยทั้งหมดในบ้านมีเธอเป็นคนจัดการทั้งหมด
ถ้ามีเวลาว่างก็จะช่วยเพื่อนบ้าน และก็พวกยุวชนจากในเมืองทำงานเย็บผ้านิด ๆ หน่อย ๆ เพื่อแลกเป็นมันฝรั่งสองหัว กับแป้งครึ่งถ้วยมาเจือจุนครอบครัว
กระทั่งพี่ ๆ แต่งงาน สถานการณ์ถึงค่อยดีขึ้น
เสี่ยวเถียนไม่คิดเลยว่าฉีเสี่ยวฟางจะบอกเรื่องนี้ตรง ๆ ให้ฟัง
เพราะคิดว่าการขยันหมั่นเพียรก็เรื่องหนึ่ง แต่ก็มีหลายครั้งที่มันเป็นเรื่องของพรสวรรค์ด้วย
“ถ้ามันไม่งดงามก็ไม่มีประโยชน์หรอก ทุกวันนี้คนในเมืองซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปใส่กันทั้งนั้น ใครที่ไหนมันจะทำเสื้อผ้าใส่เอง!”
อิ่นหรูอวิ๋นทนฟังไม่ไหวจนต้องเอ่ยแดกดัน
มันคุ้มค่าหรือที่คนเป็นนักศึกษาจะแสดงฝีมือเย็บผ้าการงานที่คนชนชั้นต่ำเขาทำกัน?
แน่นอนว่าหลังจากพูดออกไป สีหน้าลำบากใจฉายชัดไปทั่วใบหน้าฉีเสี่ยวฟาง
อิ่นหรูอวิ๋นภูมิใจมาก!
แถมยังมีหลี่เจี้ยนหงและเฉียนเสี่ยวเป่ยที่มีสีหน้าน่าเกลียดรวมอยู่ด้วย
เหมือนจะมีแค่สามคนที่มาจากบ้านนอกสินะ
ที่อิ่นหรูอวิ๋นเอ่ยออกมาก็เพื่อพุ่งเป้าไปที่คนทั้งสามอย่างเห็นได้ชัด
มีแค่พวกเธอสามคนที่ใส่เสื้อผ้าตัดเย็บเอง ในขณะที่คนอื่น ๆ ซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูป
นี่หรือคือความแตกต่างระหว่างคนบ้านนอกกับคนเมืองนะ?
“มีเงินแล้วไง? คนนึงอยู่ในเมือง คนนึงอยู่ชนบท ถ้าไม่มีชาวไร่ชาวนาแล้วเราจะกินอะไรกันล่ะ? เธอก็คงโชคดีที่ได้เป็นนักศึกษาก็เท่านั้น แม้กระทั่งจิตสำนึกยังไม่มีเลย ฉันว่าเธอไม่น่ามาเรียนมหาวิทยาลัยเลยนะ ควรไปทำนามากกว่า ไม่งั้นก็คงไม่พูดจาอะไรแบบนี้ออกมาหรอก!” จ้าวหงเหมยตะคอกกลับด้วยความโกรธ
อิ่นหรูอวิ๋นสมองน่าจะมีปัญหาแล้วล่ะ อยู่ให้มันสงบ ๆ ไม่ได้เลยหรือยังไง?
ตอนนี้บรรยากาศในห้องกำลังจะกลมเกลียวกันแท้ ๆ แต่เสนอหน้าออกมาเสียได้! ไม่เคยเจอใครที่มันน่ารำคาญขนาดนี้มาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้อิ่นหรูอวิ๋นไม่เอ่ยเตือน ถังหมิ่นหมิ่นจะขอแลกเสื้อผ้ากับเสี่ยวเถียนหรือ?
เธอได้แต่อดกลั้นเอาไว้
“เธอ…” อิ่นหรูอวิ๋นที่โดนตำหนิไม่สามารถพูดหักล้างใด ๆ ได้เลย
เพราะกลัวที่ต้องเผชิญหน้าด้วย อีกฝ่ายคงมาจากฐานะทางบ้านดีแน่นอน และมีนิสัยไม่ยอมใครด้วย
“เอาล่ะ ๆ หงเหมยอย่างไปโกรธคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเราเลย รีบเปลี่ยนชุดเร็วเข้า เธอใช้ผ้าพันขาไม่เป็นไม่ใช่หรือ?”
ต่งเยี่ยนอันเอ่ยปากสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้น