เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 758 หออีหมิงเป็นของพี่นะ
บทที่ 758 หออีหมิงเป็นของพี่นะ
บทที่ 758 หออีหมิงเป็นของพี่นะ
เสี่ยวปาเสี่ยวจิ่วรู้งานมาก เราปล่อยให้สองพี่น้องได้คุยกัน ส่วนตัวเองปรี่เข้ามาล้างจานให้แทน
ล้อเล่นหรือเปล่า เราโตพอทำเองแล้วนะ ทำไมต้องให้คนอื่นทำด้วยล่ะ?
หลังคุยเสร็จ เสี่ยวอู่เสี่ยวเถียนก็พบว่าห้องครัวถูกเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว
“เด็กดี รู้จักดูแลน้องด้วย เก่งมาก!” ฝ่ามือหยาบลูบหัวน้องชายทั้งสอง
ถึงคราวที่เด็กน้อยทั้งสองจะต้องเขินแล้ว
“พี่ เดี๋ยวหนูจะออกไปดูฟาร์มกับโรงงานที่ชานเมืองค่ะ พี่พักอยู่บ้านเถอะ”
เสี่ยวเถียนกะว่าจะไปดูความคืบหน้าเสียหน่อย จึงโบกมือลาทุกคนทันที
ซูอู่ร่างรู้สึกสนใจมากเลยอยากไปด้วย
เสี่ยวเถียนคิดได้พี่ห้าไปด้วยก็ดีนะ ดังนั้นสองพี่น้องขึ้นรถนั่งออกไปชานเมือง ตั้งแต่เริ่มสร้างฟาร์ม ตอนนี้มันเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว สมบูรณ์แบบตามฉบับฟาร์มสมัยใหม่ ดีกว่าฟาร์มที่สร้างในหมู่บ้านมาก
ตอนพ่อใหญ่แม่ใหญ่ดูแลฟาร์มที่บ้านเกิด พวกเขาทั้งสองทำได้ดีมาก แม้สถานการณ์ในตอนนี้จะดีขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังทำงานอย่างขยันขันแข็งอยู่ดี ฟาร์มหมูและไก่กำลังเติบโตไปได้ด้วยดี แค่เวลาเพียงไม่กี่เดือนเสี่ยวเถียนมองเห็นถึงผลประโยชน์แล้ว
เธอมองเห็นเลยว่าซูเหล่าต้า หวังเซียงฮวา และคนงานอื่น ๆ ที่จ้างมาพยายามกันอย่างมากจนได้ผลลัพธ์เช่นนี้
เด็กหญิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ หลังจากนี้คงไม่ได้มาบ่อย ๆ แล้ว เพราะตัวมหาวิทยาลัยกับฟาร์มอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล ตอนแรกที่สร้างก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้หรอก หลังจากนี้ฟาร์มตั้งต้นของเธอจะเป็นสิ่งที่นำไปพัฒนาต่อในอนาคต และเธอตั้งความหวังไว้กับมันสูงมาก
เช่นเดียวกันเลย แผนแรกสำหรับสิ่งที่จะพัฒนาในอนาคตก็คือโรงงานที่มีความสำคัญต่อเสี่ยวเถียนเช่นกัน แต่ตอนนี้มันยังไม่ได้เริ่มการผลิตอย่างเป็นทางการ แต่งานเบื้องต้นได้ดำเนินการไว้ก่อนแล้ว
ถามว่ามันคืออะไร?
ก็คือการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยังไงล่ะ!
เสี่ยวเถียนมีสูตรอาหารดี ๆ อยู่ในมือมากมายหลายสูตร แต่ถ้าอยากจะพัฒนาโรงงาน เราไม่สามารถพึ่งพาแค่สูตรได้ เพราะงั้นเธอจึงคิดปัญหานี้มาตั้งแต่ตอนเริ่มสร้างแล้วล่ะ
ในห้องทดลอง ทุก ๆ อย่างกำลังดำเนินไปอย่างเป็นระบบระเบียบ
คนในห้องนี้เป็นคนที่เสี่ยวเถียนคัดเลือกมาจากมหาวิทยาลัย ช่วงสังเกตการณ์มีคนใช้ได้หลายคนเลย เสี่ยวเถียนคิดว่าเราสามารถอบรบพวกเขาไว้ก่อนได้ แต่ว่าเธอต้องไปเรียนเนี่ยสิ เวลาของเธอมีน้อยนิด เธอจำเป็นต้องลงมือทันที
เราสามารถทำทุกอย่างเองได้ ไม่งั้นจะเหนื่อยเกิน! แต่ไหนแต่ไรมาคนที่หาเงินไดมักจะใช้คนเพื่อหาเงินให้แทน ตัวเองจะได้ไม่ต้องลำบากลงแรงด้วยตนเอง
ทันทีที่ทุกคนเห็นเสี่ยวเถียน พวกเขาก็เข้ามารวมตัวแล้วรายงานเรื่องในช่วงนี้ให้ฟัง ทั้งยังบอกเล่าความคิดที่จุดประกายได้ในช่วงนี้ให้เธอฟังด้วย ขอบอกเลยว่าความคิดของคนมีการศึกษานั้นดีมากจริง ๆ เสี่ยวเถียนทั้งสนับสนุนและเสนอความเห็นกลับไป
“ลองทำตามสิ่งที่พวกคุณคิดดูนะ มันอาจสำเร็จก็ได้ค่ะ แล้วถ้าทำได้ทางโรงงานจะเสนอขายหุ้นให้ค่ะ” เสี่ยวเถียนเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
หุ้นของโรงงานคือสิ่งที่พวกเขาแค่นอนรอผลลัพธ์เฉย ๆ ก็สำเร็จ หากเราสามารถพัฒนาได้ไกล
แล้วคนหนุ่มสาวพวกนี้จะไม่ตื่นเต้นได้ยังไงล่ะ?
หลาย ๆ คนแสดงตัวว่าจะขยันทำงานให้หนักเพื่อปรับปรุงสูตรอาหารสำหรับอนาคต ทั้งยังมุ่งมั่นที่จะทำให้ดีขึ้นอีกด้วย!
เสี่ยวเถียนพึงพอใจมาก
และเพื่อไม่ให้พวกเขาเกิดการแข่งขันระหว่างกันและกัน จึงบอกให้ร่วมมือกันช่วยเหลือ
ซูอู่ร่างดูน้องสาวที่เป็นผู้ใหญ่แต่ยังเด็กอยู่ ถึงจะไม่ได้พูดออกมาแต่ยังอดประหลาดใจไม่ได้ระหว่างกลับพวกเราสองคนคุยกันไม่หยุด
“เสี่ยวเถียน เธอคิดเรื่องพวกนี้ได้ยังไงเหรอ?”
ความสามารถที่สาวน้อยแสดงให้เห็นในวันนี้ ตัวเขายังไม่สามารถคิดได้เลย แม้จะโตกว่าอีกฝ่ายไม่กี่ปีก็คาม
“ถ้าพี่อยากหาเงิน มันจะคิดได้เองค่ะ!” เสี่ยวเถียนยิ้ม
“แต่บ้านเราก็ไม่ได้ขาดเงินนี่นา หออีหมิงทำเงินได้ค่อนข้างดีนะ” ซูอู่ร่างยิ้ม
เด็กคนนี้มักคิดเรื่องหาเงินตลอด ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน
“พี่ห้า ปู่ย่าบอกว่าหออีหมิงยกให้เป็นของพี่ค่ะ ตอนนี้แม่แค่ช่วยดูแลแทนเท่านั้น”
คนน้องมองพี่ชาย แล้วไขความกระจ่างให้ได้ฟัง
เรื่องนั้นทำให้ซูอู่ร่างตกใจมาก!
“เพราะงั้นเงินที่หออีหมิงหามาได้มันเป็นของพี่แล้วค่ะ ไม่ใช่ของเราแล้ว!” เสี่ยวเถียนเอ่ย
เขาได้แต่สงสัยว่าได้ยินผิดไปหรือเปล่า?
ที่บ้านมีลูกหลานตั้งมากมาย ทำไมถึงยกร้านอาหารแห่งนั้นให้เขาล่ะ? เขาดูไม่ใช่หลานคนโปรดปู่ย่าเสียหน่อย
เพราะตระกูลเรามีหลานชายตั้งเก้าคน ไม่ใช่ว่าเก็บหออีหมิงไว้เป็นสินสอดเสี่ยวเถียนเหรอ?
“เสี่ยวเถียน อย่าจาพูดไปเรื่อยเลยน่า” เขาคิดว่าน้องแกล้งเล่นเฉย ๆ จึงหยุดเอาไว้
ต่อให้เขาได้ฟังผ่าน ๆ หู ก็ไม่สามารถทำให้คนที่บ้านทะเลาะเพราะเรื่องนี้ได้หรอกนะ เราเป็นครอบครัวใหญ่ มีหออีหมิงเป็นสถานที่ทำเงินให้ การยกให้ใครสักคนมันยากมากนะ
“เรื่องจริงค่ะ ก่อนหน้านี้ปู่ย่าบอกว่าพี่ใหญ่แต่งงานแล้ว หลังจากนี้เราจะแยกครอบครัวกัน และตอนนี้ก็ถือว่าแยกแล้วด้วยค่ะ”
อะไรนะ?
แยกครอบครัว?
ทำไมเขาไม่เห็นรู้เรื่องเลยล่ะ?
“พวกท่านบอกว่าในบ้านเราไม่มีอะไรจะแบ่งให้แล้ว นอกจากเงินที่เก็บเล็กผสมน้อยมาตลอดหลายปีก็แบ่งออกเป็นสามครอบครัวแล้วด้วย ใครจะซื้ออสังหาฯ อะไรมันก็จะเป็นของคนนั้นเลยค่ะ”
“ส่วนกิจการหลักในตอนนี้คือหออีหมิงที่เป็นของพี่ค่ะ”
ซูอู่ร่างไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงเป็นของเขา
“ทำไมล่ะ?”
อันที่จริงเขาคิดอยู่เสมอว่าเขาอาจเป็นลูกที่โดนทอดทิ้งมากที่สุดในบ้านเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นลูกคนกลางที่มีพี่ชาย 4 คนและน้องชาย 4 คน ดั่งคำกล่าวจากบ้านเกิด เอ็นดูคนโต รักคนเล็ก ลืมคนกลาง
และเขาคือลูกคนกลางคนนั้น
แต่ตอนนี้น้องกลับบอกว่า ปู่ย่าไม่ได้ลืมเขา แถมยังยกหออีหมิงที่เป็นกิจการทำกำไรให้เขาอีกด้วย
“เพราะพี่ปกป้องครอบครัวและประเทศชาติค่ะ พี่ไม่มีเวลาหาเงินเหมือนพวกเรา ปู่เลยบอกว่าจะให้พี่ลำบากเพราะปกป้องพวกเราไม่ได้! และจะไม่ให้พี่ลำบากกว่าคนอื่น ๆ ด้วยค่ะ”
ปู่ย่าคิดไว้รอบคอบมาก เสี่ยวเถียนคิดว่าการจัดการแบบนี้มันดีที่สุดแล้ว
ซูอู่ร่างได้แต่ตะลึงงัน ไม่รู้จะพูดอะไรดี
“แล้วคนอื่นเห็นด้วยหรือเปล่า?” เขาลังเล
“เห็นด้วยค่ะ ใคร ๆ ก็บอกว่าวิธีนี้สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว พี่ห้า คนอื่น ๆ ในบ้านเข้าใจเป็นอย่างดีแถมสถานการณ์ครอบครัวเราตอนนี้ก็ไม่ได้อดอยากเหมือนเมื่อก่อนแล้วด้วย”
ซูอู่ร่างทำให้ทุกคนตกใจด้วยการเลือกทางเดินนี้ และคนที่บ้านก็คิดเพื่อเขาเยอะเลยใช่ไหม?
บอกตามตรง เขาไม่ได้อิจฉาที่พี่น้องในบ้านหาเงินได้เลย เพราะตนเลือกที่จะมาเป็นทหาร เรื่องหาเงินอะไรนั่นมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาอยู่แล้ว!
แถมยังตั้งใจไว้แต่แรกด้วยว่าจะต้องอยู่อย่างขัดสนไปตลอดชีวิต