เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 764 จะไปกำหนดให้เก่งได้ยังไง
บทที่ 764 จะไปกำหนดให้เก่งได้ยังไง
บทที่ 764 จะไปกำหนดให้เก่งได้ยังไง
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ อาทิตย์นี้ทุก ๆ คนมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากด้วยการนำทีมของซูเสี่ยวเถียน
ลู่หยางมีความสุขเหลือเกิน เดิมทีคิดว่ากองร้อยที่ตัวเองดูแลนั้นแย่ที่สุด แต่สุดท้ายก็พบว่าเขาเก็บสมบัติได้ ทุกคนในกองร้อย 13 เก่งมาก ๆ ไม่คิดเลยว่าจะได้สอนกองร้อยที่มากความสามารถเช่นนี้ คราวนี้เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะเอาตำแหน่งนักเรียนดีเด่นมาให้ได้
เขาโอ้อวดอยู่ทุกวัน บอกเพื่อนไปทั่วว่าตัวเองโชคดี เพราะงั้นตอนกลางคืนจึงโดนเพื่อนใช้ผ้าห่มฟาดอยู่หลายครั้ง แต่ตนเป็นคนดื้นรั้น จึงพยายามอวดให้ทุกคนฟังต่อไป
เสี่ยวเถียนไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทางฝั่งครูฝึก ตอนนี้รู้แค่ว่าโดนรายงานอีกแล้ว แจ้งว่าเธอเอารัดเอาเปรียบประเทศชาติและประชาชน ส่วนเหตุผลคือนั่งรถยนต์จากโรงงานผ้าไหมไป-กลับมหาวิทยาลัย
ตอนได้ยินเสี่ยวเถียนตกตะลึงไปชั่วขณะ ยุคนี้มีคนใช้รถกันให้รึ่ม แค่เติมน้ำมันคืนก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง แต่คนทั่วไปเขาไม่เขม่นคนพวกนี้หรอกนะ
ข่าวนี้ได้มาจากกระทรวงพาณิชย์ ได้ยินว่ารายงานไปที่นั่นโดยตรงเลย แต่ทางผู้นำจะไม่รู้ได้ยังไงล่ะว่าซูเสี่ยวเถียนมีความสำคัญต่อทางโรงงานผ้าไหมมากแค่ไหน ตอนเห็นรายงานที่ว่าจึงแค่ตรวจสอบ พอรู้ว่ามีการเติมน้ำมันคืนแล้วก็ปัดเรื่องนี้ตกไป
ส่วนคนที่เฝ้ารอเห็นความโชคร้ายของซูเสี่ยวเถียนไม่พอใจเป็นอย่างมากที่มันไม่เป็นไปตามแผน ยิ่งเห็นว่าการฝึกทหารใกล้เสร็จก็ยิ่งร้อนใจ ตนคิดมาตลอดว่าซูเสี่ยวเถียนมีคนในครอบครัวอยู่ที่โรงงานผ้าไหม ทางโรงงานเลยส่งรถมารับ
แต่ดันไม่รู้ว่าซูเสี่ยวเถียนเป็นผู้มีบุญคุณกับทางโรงงานทั้งสองมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าตัวไม่อยากเป็นจุดสนใจ ป่านนี้โรงงานคงยกรถให้ใช้เองแล้ว
หลังจากเสร็จสิ้นการฝึก ทางมหาวิทยาลัยจิ่งเฉิงมีโควตาสำหรับนักเรียนดีเด่น 100 คนเพื่อเข้าร่วมการเดินขบวนในวันชาติจีน
แต่คัดเด็กจำนวนแค่ร้อยคน มันตัดสินยากนิดหน่อย และด้วยความตั้งใจของลู่หยาง เลยทำให้กองร้อยที่ตนดูแลได้เข้าร่วม อันที่จริง ในมหาวิทยาลัยมีหลายกองร้อย โดยเฉลี่ยหากได้เข้าร่วมกองร้อยละ 3 คนถือว่าดีมากแล้ว
แต่กองร้อยที่ลู่หยางฝึกสอนได้เข้าร่วม 49 คน ในขณะที่กองร้อยอื่น ๆ ได้แค่สองคนด้วยซ้ำ
เป็นที่แน่นอนว่าเรื่องนี้จึงถูกคัดค้านทันที
“พวกนายค้านอะไรกัน? ดูใบประกาศคะแนนนี่ก่อนเถอะ” ลู่หยางตบกระดาษบนโต๊ะให้ดูด้วยความมั่นใจมาก
“มันจะดูแต่คะแนนไม่ได้ ก็เหมือนกับเรื่องทำกิจวัตรประจำวันนั่นละ กองร้อยนายมีแต่ผู้หญิงเลยทำได้ดีกว่าหน่อยนึงไง!”
ใครบางคนพูดออกมาราวกับว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว
ลู่หยางได้ฟังพานนึกหงุดหงิด
“ทำกิจวัตรประจำวัน? เป้าหมายการฝึกมันมีแค่ทำกิจวัตรประจำวันหรือไง?”
พูดอย่างกับว่าการที่กองร้อย 13 มีแต่ผู้หญิงมันคือการได้เปรียบ? ไหนตอนแรกใครมันบอก กองร้อยที่มีแต่ผู้หญิงเสียเปรียบไง?
“งั้นฉันจะแจกแจงให้อย่างละเอียดเลยแล้วกัน รายการแรกคือการยืนท่าทหาร กองร้อยของฉันมีนักเรียนทั้งหมด 50 คน ติด 40 คน”
“รายการที่สองคือฝึกหมุนตัว พวกเขาติด 39 คน ผลลัพธ์ที่ว่านี้ ฉันถามหน่อยเถอะ กองร้อยของพวกแกทำได้ดีสักกี่คนเชียว?”
“รายการที่สามคือฝึกเดินแบบหมุนตัว กองร้อยฉันติด 42 คน พวกแกว่าเยอะไหม? มากกว่ากองร้อยซูอู่ร่างไม่กี่คนเองนะ?”
“ส่วนเรื่องการจัดระเบียบภายในกองขอไม่พูดแล้วกัน เพราะยังไงไงพวกแกก็คิดว่ากองร้อยฉันมีแต่ผู้หญิง ได้เปรียบอยู่แล้ว”
“แล้วก็เรื่องระเบียบวินัยด้วย ถึงนักเรียนหญิงจะไม่ได้เปรียบแต่ก็ไม่เสียเปรียบนะ เรื่องพฤติกรรมชายหญิงเองก็ไม่ต่างกันหรอก!”
“ฉันจะบอกเรื่องวิ่ง 5 กิโลเมตรให้ฟังก็แล้วกัน พวกแกดูผลลัพธ์สิ อายไหมล่ะ? กองร้อยของฉันมีแต่ผู้หญิงแต่ติดร้อยอันดับเพียบเลย แล้วกับพวกแกที่เป็นผู้ชาย ตอนดูผลไม่รู้สึกอายบ้างหรือ?”
ลู่หยางพูดรัว ๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นอย่างมีชัย ทำหน้าตาราวกับว่า ฉันได้ครอบครองทุกอย่างบนโลกแล้ว
“พูดแบบนั้นก็ไม่ใช่หรือเปล่า ลองดูใบประกาศผลสิ กองร้อยแกมีตั้งหลายคน แต่ฉันมีคนเดียวเอง แล้วจะไปอธิบายกับนักเรียนยังไง?”
เพื่อนคนหนึ่งค้าน
“มีอะไรให้ต้องอธิบายล่ะ? จะบอกว่าผมฝึกพวกคุณไม่ดีเอง? หรือบอกว่าผมไม่เคร่งครัดต่อพวกคุณพอ? ก็บอกไป พอตอนนี้จะมาอยากได้ความยุติธรรม ลองถามความเหนื่อยยากของนักเรียนไหมว่ามันยุติธรรมหรือเปล่า?”
ลู่หยางเป็นคนที่มักจะถือหางให้นักเรียนที่สุด ถ้ากองร้อยของเขาทำไม่ดีเองก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้ปัญหาคือนักเรียนของเขาทำดีเกินไป จึงไม่มีเหตุผลให้ไม่คอยหนุนหลังพวกเขา
ซูอู่ร่างมองลู่หยางด้วยความอิจฉา ไอ้เวรนี่ ถึงคราวเปล่งประกายแล้วนะ กองร้อยที่เขาฝึกสอนมีนักเรียนติดอันดับ 100 ไม่เกิน 20 คน และตอนนี้เพื่อนเขาก็โดดเด่นมาก!
“ก็ฉันไม่เห็นด้วยไง ถ้ากลับไปก็โดนด่าเอาน่ะสิ!”
พอสู้ไม่ได้ก็เริ่มพูดจาไม่มีเหตุผล
ลู่หยางถือได้ว่าตอนนี้มีอำนาจแล้ว
“ถ้าแกบอกไม่เห็นด้วยฉันก็ต้องไม่เห็นด้วยหรือ? แล้วก่อนหน้านี้มัวแต่ไปทำอะไรล่ะ?” ลู่หยางร้องเหอะ “งั้นพรุ่งนี้มาสู้ด้วยการวิ่ง 5 กิโลเมตรไหมล่ะ?”
นี่คือการท้าทาย
เพราะมันยังไม่ถึงเวลา
“ถ้านักเรียนชายในกองร้อยของแกวิ่งได้เร็วกว่านักเรียนหญิงในกองร้อยของฉัน ฉันจะฟังแกแล้วกัน จิ๊ ๆ แต่นักเรียนของแกทำไป 24 นาที ในขณะที่นักเรียนฉันทำได้ 18 นาทีเองนะ! สุดยอดใช่ไหมล่ะ?”
หลังจากโดนเหน็บแนม ทุกคนลุกขึ้นคิดจะประชันกับลู่หยาง
แต่ที่อีกฝ่ายพูดมันคือความจริง ไม่รู้นักเรียนหญิงกองร้อยนั้นไปแข็งแกร่งมากจากไหน ทำไมเก่งกันทุกคน
เฉียวกวางหย่วนเห็นความวุ่นวายก็ปวดหัวแทบตาย เพราะไม่คิดเลยว่าผลที่ออกมามันจะต่างกันได้ขนาดนี้ เพราะงั้นเราก็เลยจะเอา 100 คนที่ผ่านมาจัดเป็นขบวนทหาร แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่ากองร้อยเดียวจะเหมาไปเกือบครึ่งแล้ว
เฉียวกวางหย่วนตรวจสอบผลลัพธ์แล้ว นักเรียนของลู่หยางทำได้ดีมาก นอกจากซูเสี่ยวเถียน คนอื่น ๆ ก็เก่งทั้งนั้น แล้วผลประเมินรวมแบบนี้ กองร้อยอื่นต้องคัดค้านแน่นอน ถึงครูฝึกจะไม่พูด แต่ตัวนักเรียนจะไม่มีเชียวหรือ?
เขานึกสงสัย คนรอบข้างเด็กคนนี้เป็นสัตว์ประหลาดหรือเปล่า? แม้ผลลัพธ์ของคณะภาษาจีนจะไม่เท่ากับนักเรียนเตรียมทหาร แต่ก็ตามหลังอยู่ไม่ห่างเลย ความแข็งแกร่งของแบบอย่าง มันสำคัญอย่างนี้เองสินะ?