เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 769 ไปผิดทาง
บทที่ 769 ไปผิดทาง
บทที่ 769 ไปผิดทาง
เพราะมีรูมเมทช่วยเธอจึงดูเหมือนว่างงานไปเลย ไม่ได้การแล้ว เธอต้องหาอะไรทำสักอย่าง จะเอาแต่ดูอยู่แบบนี้ไม่ได้ เสี่ยวเถียนเป็นเด็กมีวินัยในตนเอง จึงเริ่มหยิบเนื้อมาหัน
การหั่นเนื้อที่ไม่ได้แช่แข็งเป็นเรื่องยาก แต่ถ้ามีฝีมือและคมมีดที่ดี ก็นับว่าเป็นเรื่องง่ายดาย ถึงเสี่ยวเถียนจะทำอะไรไม่เก่ง แต่เธอโตมากับคนทำอาหารเป็นจึงทำได้ดีไปโดยปริยาย
ในไม่ช้ากลุ่มเด็กสาวก็หันมามองเสี่ยวเถียนแล่เนื้อทีละชิ้นด้วยท่าทางโง่งม
ทำไมพวกเธอถึงตกใจงั้นเหรอ ก็เพราะว่าถ้าเป็นตัวเธอเองคงไม่สามารถหั่นเนื้อนุ่ม ๆ ให้เป็นชิ้นบาง ๆ ได้ยังไงล่ะ
ถูกต้อง วิธีแล่เนื้อเสี่ยวเถียนได้รับการสอนมาจากผู้เป็นย่า แต่เพราะไม่ได้สนใจเท่าไรและไม่ได้ฝึกฝนเป็นประจำ ตอนนี้ฝีมือจึงค่อนข้างขึ้นสนิม
“เสี่ยวเถียน ฝีมือเธอดีมากเลย!” จ้าวหงเหมยนึกอายที่ตัวเองเป็นได้แค่ผู้ช่วยเท่านั้น
คนอื่น ๆ ที่ค่อนข้างทำอาหารเก่งนั้น พอได้เห็นทักษะของเพื่อนคนนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองด้อยลงทันที
“ถ้าเธอฝึกมากเท่าไรก็จะเก่งขึ้นเท่านั้นนะ!” เสี่ยวเถียนตอบอย่างเรียบง่าย
อันที่จริง คนในยุคนี้เพิ่งจะแก้ปัญหาเรื่องอาหารการกินและเสื้อผ้าเครื่องนุ่มห่มได้ พวกการกินเนื้อสัตว์เป็นสิ่งฟุ่มเฟือยมาก
วันไหนครอบครัวนั้นได้กินเนื้อสักมื้อ พวกเขาจะตื่นมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ เวลาพวกเขาตุ๋นเนื้อ จะหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วตุ๋นเลยทันที ใครที่ไหนจะไปมีเนื้อเยอะพอให้ฝึกฝีมือล่ะ?
“พวกเราเรากินผลไม้กันก่อนแล้วนะ” เสี่ยวเถียนเห็นผักล้างเรียบร้อยแล้วก็เอ่ยขึ้น “พักเสร็จก็ค่อยมาเอาเนื้อเสียบไม้กันต่อ”
เพราะเราต้องกินปิ้งย่างกัน การเสียบไม้รอไว้ก่อนจะสะดวกกว่ามาก
ตอนอู่ร่างกลับมาถึง ก็เห็นพวกน้องกำลังหัวเราะสนุกสนาน และมีกองเนื้อเสียบไม้วางเรียบร้อยอยู่ในกะละมัง
“เสี่ยวเถียน พี่กลับมาแล้ว!” เขากระแอมกระไอ
“พี่ห้า ย่าเตรียมของอร่อยอะไรให้บ้างคะ?” เธอยิ้ม
“จริงอย่างที่เธอว่า ย่ากลัวเราจะหิว” ซูอู่ร่างยักไหล่เล็กน้อย
คนเป็นน้องหัวเราะ คิ้วเลิกขึ้นดูมีชีวิตชีวาและน่ารักมาก
ชายหนุ่มยกหม้อย้ายลงจากรถสามล้อทีละใบ
“อันนี้คือกระดูกผัดซอสที่คุณย่าทำ พี่ว่าน่าจะพอให้เรากินนะ ส่วนอันนี้เป็นสตูว์เนื้อ…”
อู่ร่างแนะนำทีละอย่าง
พวกสาว ๆ ที่กำลังฟังรู้สึกสับสน ที่นี่ไม่ใช่บ้านเสี่ยวเถียนเหรอ? ทำไมต้องเอาอาหารมาจากที่อื่นด้วยล่ะ? เพื่อนตัวน้อยไม่ได้บอกอะไรเลย แถมพวกเธออายเกินกว่าจะถามด้วย ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราจะดี แต่จริง ๆ วันเวลามันยังไม่ได้นานเท่าไร ไม่แปลกที่จะมีความลับ
ไม่ใช่ว่าเสี่ยวเถียนตั้งใจจะปิดบัง แต่ความจริงแล้วเธอแค่ลืมต่างหาก เพราะคิดว่าบอกไปแล้ว
“ไว้ค่อยเอาจานมาใส่ก็ได้ค่ะ แล้วก็พี่ห้า เพื่อนพี่ไปไหนกันหมด นี่มันเที่ยงแล้วนะคะ!”
เสี่ยวเถียนมองนาฬิกาก่อนจะพบว่ามันแปลก ๆ ว่ากันตามหลักแล้ว พวกทหารมีวินัยในเรื่องของเวลามาก ๆ
ซูอู่ร่างก็อยากรู้เหมือนกัน จากเวลาพวกเพื่อน ๆ ของเขาควรจะมาถึงแล้ว แต่นี่ไม่มีใครมาเลย
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเสี่ยวเถียนที่จัดแจงอาหารจนเต็มโต๊ะก็ได้ยินเสียงเคาะประตูในที่สุด
ซูอู่ร่างเป็นคนไปเปิดก่อนจะพบว่าเพื่อนตนเองมากันแล้ว โดยมีคนนำทัพคือเฉียวกวางหย่วน
อีกฝ่ายมองสภาพแวดล้อมโดยรอบตอนเข้ามาตัวลานบ้าน แล้วอดถอนหายใจไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าเจ้าเด็กคนนี้จะมีฐานะดีจริง ๆ เพราะไม่มีทางที่พื้นฐานครอบครัวแบบนี้จะเลี้ยงดูลูกหลานไม่ได้หรอก
ที่คิดเช่นนี้เพราะไม่รู้ว่าหลายปีก่อนหน้านั้นตระกูลซูแทบเอาชีวิตไม่รอด
“อู่ร่าง บ้านแกหาเจอง่ายจริงๆ แต่เราเดินผิดซอยกันอยู่หลายรอบเลยน่ะ!” ลู่หยางเอ่ยโดยไม่สนใจสายตาทิ่มแทงจากผู้บังคับกองร้อย
ใช่แล้ว พวกเราเดินผิดกันอยู่หลายรอบ แล้วใครใช้ให้เราเป็นคนต่างถิ่นล่ะ เราไม่รู้จักตรอกซอกซอยในเมืองหลวงเลยเดินหลงอยู่นาน จากนั้นพวกอู่ร่างก็ตระหนักได้ว่า ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาเพิ่งมาถึง เพราะเพื่อน ๆ ของเขาไม่ใช่ประเภทมาสายอยู่แล้ว
จากนั้นบางคนก็วางถุงตาข่ายลงบนโต๊ะกลางลานบ้าน ในนั้นใส่ของมาแน่นขนัด อีกทั้งยังหนักมาก เลยต้องรีบวางไว้ก่อน
“ทุกอย่างพร้อมแล้วครับ รอแค่ทางผู้บังคับเท่านั้น พวกเราไปล้างมือกันก่อนไหม?” อู่ร่างต้อนรับแขก
“เด็กดี ฉันมักจะบอกเสมอเลยว่าฐานะบ้านแกไม่ดี” เฉียวกวางหย่วนตบไหล่นักเรียนคนนี้
ซูอู่ร่างรู้สึกละอายใจกับคำพูดอีกฝ่ายนัก เพราะเขาเองก็คิดเช่นนั้นมาตลอดเหมือนกัน
ลานบ้านแห่งนี้เป็นของเสี่ยวเถียน แล้วถ้าผู้บังคับได้มาเห็นสภาพหมู่บ้านหนานหลิ่งของเรา คงไม่น่าพูดแบบนี้ได้หรอก
แต่ไม่มีโอกาสให้ได้พูดเลย
งั้นก็ช่างมันเถอะ ไม่ต้องพูดหรอก
“ท่านครับ หลังจากประกาศใช้นโยบายเมื่อสองปีก่อน ครอบครัวผมเพิ่งเริ่มทำธุรกิจเล็ก ๆ สถานการณ์จึงค่อย ๆ ดีขึ้นครับ” ซูอู่ร่างอธิบายอย่างเขิน ๆ
“ฉันรู้ ไม่ได้โทษแกหรอก แค่คิดว่าแกไม่อยากทำตัวเป็นจุดสนใจเท่านั้น!” ฝ่ายผู้บังคับยกยิ้ม
ในตอนที่ทั้งสองคนกำลังสนทนา ฉับพลันก็ได้ยินเสียงของลู่หยาง!
“เอ้ย นั่นเสี่ยวเถียนไม่ใช่เหรอ? เจ้าโง่หน้าไหนมันบอกไม่เคยเห็นเธอมาก่อนเนี่ย มา ๆ ให้พวกเขาได้เจอหน่อยว่าเคยเห็นเธอไหม!”
น้ำเสียงดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ หากนี่ไม่ใช่บ้านของตระกูลซู เจ้าพวกนั้นคงเข้ามารุมทึ้งตัวเองแล้ว
เสี่ยวเถียนมองครูฝึกลู่ และคิดว่าเขาน่าสนใจจริง ๆ โรงเรียนทหารเป็นสถานที่ที่เคร่งครัดมาก หาได้ยากที่จะมีคนมีชีวิตชีวาเช่นนี้อยู่ด้วย
“สวัสดีค่ะครูฝึกลู่ แล้วก็เพื่อนของครูทุกท่านด้วยนะคะ ยินดีต้อนรับสู่บ้านของหนูค่ะ”
ลู่หยางมองเด็กสาวที่ทำตัวเหมือนพนักงานต้อนรับจึงอดแซวไม่ได้
“เสี่ยวเถียน บอกครูหน่อยสิ วันนี้เรามาเป็นแขก ได้เตรียมขนมอะไรไว้ต้อนรับหรือเปล่า?”
เด็กสาวยิ้มแล้วชี้ไปยังโต๊ะสองตัวใต้ต้นไม้ใหญ่ บนนั้นเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายอย่าง
สายตาของเขามองตามทิศทางที่ปลายนิ้วชี้ ก่อนจะตกใจ คุณพระคุณเจ้า นี่มันคือการต้อนรับแบบไหนเนี่ย? เขาอยู่มาจนถึงอายุขนาดนี้แล้ว ยังไม่ได้เคยได้กินอาหารมากมายขนาดนี้มาก่อนเลย
“เสี่ยวเถียน เธอเตรียมของอร่อยมาต้อนรับเราจริง ๆ เหรอ?”
แน่ใจนะว่าไม่ได้ต้อนรับบุคคลสำคัญที่ไหน?
ลู่หยางเหมือนจะลอยได้อย่างไรอย่างนั้น แล้วเขาก็ลอยไปแล้ว รู้สึกราวกับว่าตนเป็นบุคคลสำคัญเลยล่ะ
“กลับมาได้แล้ว ดูท่าทางโง่งมของแกซิ” เฉียวกวางหย่วนด่า
แม้ตัวลู่หยางจะถูกดึงจนล้มลงกับพื้น แต่แววตายังจ้องมองไปยังกระดูกชิ้นโตด้วยแววตาเบิกกว้าง