เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 771 รสชาติของบ้านเกิด
บทที่ 771 รสชาติของบ้านเกิด
บทที่ 771 รสชาติของบ้านเกิด
วันนี้ซูเสี่ยวเถียนเตรียมหม้อไฟไว้สองหม้อ น้ำขาวหนึ่งหม้อและน้ำแดงอีกหนึ่งหม้อ นี่ก็เพื่อให้เหมาะสมกับรสปากของแต่ละคน
เฉียวกวางหย่วนชอบรสเผ็ดจึงตรงไปทางด้านน้ำแดง
“ขอดูหน่อยว่าวันนี้เตรียมของอร่อยอะไรมาบ้าง”
เมื่อเขาเห็นวัตถุดิบแวววาวเต็มโต๊ะก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ก่อนหน้านี้รู้สึกแค่ว่ามื้อนี้อาจเป็นการกินเนื้อทั้งเดือนของครอบครัวหนึ่ง
แต่ตอนนี้เมื่อเดินมามองใกล้ ๆ จึงตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่ปริมาณเนื้อทั้งเดือนของครอบครัวหนึ่งเท่านั้น ครอบครัวที่มีสภาพแย่หน่อยในสองสามเดือนอาจไม่สามารถกินเนื้อได้มากขนาดนี้ด้วยซ้ำ
มื้ออาหารวันนี้พวกเขารู้สึกว่ามากเกินไปจริง ๆ
“ผู้บังคับเฉียวท่านลองชิมดูสิครับ ซุปนี้เป็นย่าของผมเตรียมไว้ แต่เพราะไม่รู้รสปากของทุกคนจึงไม่ได้ทำเผ็ดเป็นพิเศษครับ” ซูอู่ร่างอธิบายให้เฉียวกวางหย่วนฟัง
“อู่ร่างฉันจำได้ว่าบ้านเกิดนายคือตะวันตกเฉียงเหนือ ทำไมถึงชอบกินหม้อไฟล่ะ?”
เฉียวกวางหย่วนมองหม้อไฟตรงหน้าพลางถามออกไปด้วยความรู้สึกสงสัย
ไม่มีเหตุผลอื่นเพียงแค่เฉียวกวางหย่วนเป็นคนจากพื้นที่มณฑลเสฉวนและนครฉงชิ่ง ทุกคนในมณฑลเสฉวน นครฉงชิ่งชอบใช้พริกในการปรุงอาหารมาก สามารถกินเผ็ดได้ ทั้งยังชอบรสชาติเผ็ด ๆ ด้วย
สิ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของมณฑลเสฉวนและนครฉงชิ่งคือหม้อไฟ สามารถกล่าวได้ว่ามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก หมาล่าสดใหม่หอมฉุยแค่คิดก็ทำให้คนอยากกินจนน้ำลายไหลแล้ว
แต่หลังเดินทางออกมาเมื่อหลายปีก่อน เฉียวกวางหย่วนก็ไม่ได้กินหม้อไฟรสชาติต้นตำรับจากมณฑลเสฉวนและนครฉงชิ่งอีกเลยจริง ๆ
ในตอนนี้กำลังมองพริกจำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่บนซุปน้ำแดงรสเผ็ด ซุปสีแดงที่กำลังเดือดปุด ๆ ส่งกลิ่นหอมฉุยออกมา
ความเผ็ดและรสชาติสดใหม่ที่ผสมผสานกันกระตุ้นให้ประสาทรับกลิ่นของคนมากขึ้น นี่เป็นรสชาติของบ้านเกิดและยังมีความเป็นต้นตำรับอย่างมากอีกด้วย
เฉียวกวางหย่วนได้กลิ่นหอมสดใหม่ที่คุ้นเคยนี้ เห็นพริกวาววับราวกับปลาแหวกว่ายอยู่ในหม้อไฟน้ำลายก็แทบจะไหลออกมา
นอกจากคนมณฑลเสฉวน นครฉงชิ่ง ก็ไม่อาจทำหม้อไฟที่มีกลิ่นอายของมณฑลเสฉวน นครฉงชิ่งแบบนี้
“ครอบครัวผมมาจากตะวันตกเฉียงเหนือ แต่คุณย่าของผมมีฝีมือด้านการทำอาหารจึงมีความเข้าใจของอาหารแต่ละชนิดอยู่บ้างครับ”
ความจริงซูอู่ร่างไม่เคยกินหม้อไฟรสชาติมณฑลเสฉวน นครฉงชิ่งต้นตำรับ เขาเพียงคิดว่านี่เป็นสูตรที่คุณย่าทำขึ้นมา
อย่างไรก็ตามในใจของซูอู่ร่างฝีมือการทำอาหารของย่าตัวเองก็ยอดเยี่ยมยิ่ง
“เป็นต้นตำรับแท้จริง ๆ ตอนฉันยังเด็กแม่ฉันทำหม้อไฟออกมามีรสชาติแบบนี้เลย กินเข้าไปคำเดียวรสชาติก็กระจายไปทั่วปาก” ชายตัวโตผู้หนึ่งจู่ ๆ ก็แสดงอารมณ์ออกมาจากใบหน้า
ซูอู่ร่างเห็นเฉียวกวางหย่วนน้ำตาปริ่มอย่างกะทันหัน ก็ไม่อาจตอบสนองกับสถานการณ์นี้ได้
“อู่ร่างครอบครัวนายมีวัตถุดิบพื้นฐานพวกนี้ด้วยหรือ?”
เฉียวกวางหย่วนเปิดปากพูดอย่างกะทันหัน
ซูอู่ร่างรู้เสียที่ไหน เวลาเนิ่นนานถึงเพียงนี้เขาใช้เวลาอยู่ที่บ้านน้อยมาก ดังนั้นตอนนี้ในบ้านมีอะไรบ้างจึงไม่ได้รู้อย่างชัดเจนนัก
เมื่อจนปัญญาซูอู่ร่างก็ทำได้เพียงใช้สายตามองไปทางซูเสี่ยวเถียน
ซูเสี่ยวเถียนได้ยินคำพูดนี้ของเฉียวกวางหย่วน เธอก็ยิ้มถาม “ผู้บังคับเฉียวเป็นคนมณฑลเสฉวนและนครฉงชิ่งหรือคะ?”
“ใช่ บ้านเกิดฉันคือมณฑลเสฉวนและนครฉงชิ่ง หม้อไฟนี่เป็นรสชาติของบ้านเกิด ฉันอยากรู้ว่าพวกเธอซื้อวัตถุดิบพื้นฐานพวกนี้มาจากที่ไหน”
แม้ซูอู่ร่างจะแนะนำว่านี่คือซุปที่คุณย่าเป็นคนทำ แต่ก็ไม่รู้ว่าเฉียวกวางหย่วนคิดว่าวัตถุดิบพื้นฐานน่าจะมาจากมณฑลเสฉวน นครฉงชิ่ง
“นี่เป็นวัตถุพื้นฐานที่คุณย่าของหนูทำขึ้นมาค่ะ หากผู้บังคับเฉียวชอบอีกสักเดี๋ยวจะนำมาให้ท่านสักสองขวดนะคะ”
ความจริงซูเสี่ยวเถียนก็พิจารณาการผลิตวัตถุดิบหม้อไฟด้วย ตอนที่เธออ่านหนังสือก็เห็นว่าสูตรส่วนผสมพื้นฐานของหม้อไฟนั้นแตกต่างกันหลายสูตร
แต่เทคโนโลยีในตอนนี้ยังไม่สมบูรณ์ การจะผลิตวัตถุดิบพื้นฐานของหม้อไฟจึงทำได้ยาก ไม่เช่นนั้นการทำวัตถุดิบหม้อไฟย่อมเป็นธุรกิจที่สามารถทำกำไรได้อย่างแท้จริง
ในอนาคตอีกไม่กี่สิบปีหม้อไฟจะเป็นอาหารอันโอชะที่เป็นที่นิยมของคนโดยทั่วประเทศจีน
เฉียวกวางหย่วนได้ยินซูเสี่ยวเถียนพูดเช่นนี้ในความสุขก็ยังเจือความผิดหวังอยู่บ้าง
หากนี่เป็นคุณย่าซูทำเช่นนั้นก็นับว่ามีรสชาติของบ้านเกิดแต่ก็ไม่ใช่ของบ้านเกิด ทว่าเป็นเขาที่จากมานานจึงโหยหารสชาตินี้
“เช่นนั้นก็ขอบใจมากวัตถุดิบพื้นฐานของบ้านพวกเธอราคาเท่าไหร่ ฉันจะจ่ายเงินให้” เฉียวกวางหย่วนพูดกำลังคลำเงินในกระเป๋าเสื้อ
“นี่เป็นของที่ใช้ในครอบครัวเองผู้บังคับเฉียวหากท่านต้องการจ่ายเงิน วัตถุดิบพื้นฐานนี้ก็ไม่อาจให้ท่านแล้วจริง ๆ ค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนรีบพูดหยุดไว้
เห็นเฉียวกวางหย่วนมีความลังเลซูเสี่ยวเถียนก็กล่าว “ผู้บังคับเฉียว เครื่องปรุงพื้นฐานที่ใช้ไปแล้วย่อมเสียรสชาติเครื่องปรุงไปแล้ว ไม่คุ้มค่าหรอกค่ะ”
เฉียวกวางหย่วนก้มหัวมองซุปสีแดงเดือดปุด ๆ ในหม้อมีกลิ่นอายที่คุ้นเคยลอยออกมา ในลานเล็ก ๆ เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของหม้อไฟ
บนโต๊ะวางชามไว้สิบกว่าใบ ทั้งยังมีต้นหอม ซอสเปรี้ยว และซีอิ๊ววางไว้แล้ว
ซูเสี่ยวเถียนหยิบทัพพีตักซุปขึ้นมา เทซุปแดงที่กำลังเดือดปุด ๆ ลงไปในชาม กลิ่นหอมที่โชยออกมาทำให้เฉียวกวางหย่วนจ้องมองมากขึ้น
“ได้ เรื่องนี้ฉันเฉียวกวางหย่วนยอมรับ!”
ซูเสี่ยวเถียนยิ้มใช้ตะเกียบส่วนรวมคีบวัตถุดิบวางลงไปบนซุปน้ำแดงในหม้อที่กำลังเดือด
“กินทั้งแบบนี้ยังไม่ดี จะดีที่สุดถ้าลวกแล้วกิน” ในเมื่อเฉียวกวางหย่วนตัดสินใจยอมรับก็ถือโอกาสปล่อยวางไปด้วย
ไม่ว่าจะว่าอย่างไรก็กินก่อนค่อยพูดจะดีกว่า หากไม่กินไม่แน่ว่าในใจซูอู่ร่างคงยังมีความคิดอื่นอยู่อีก
“เหล่าสหายวันนี้อู่ร่างเตรียมอาหารไว้มากมายขนาดนี้ พวกเราก็อย่าได้เกรงใจ กินข้าวกันเถอะ!”
เฉียวกวางหย่วนพูดพลางหยิบตะเกียบขึ้นมาเริ่มนำกินก่อน
ตะเกียบสำหรับหม้อไฟของตระกูลซูก็ถูกทำขึ้นมาเป็นพิเศษ โดยยาวกว่าตะเกียบปกติสองนิ้วซึ่งทำให้ตอนกินหม้อไฟยิ่งสะดวก
“กินหม้อไฟต้องมีความพิถีพิถัน ลวกสไบนางขึ้นเจ็ดลงแปด ก็คือในหม้อไฟไม่อาจเอาเข้าออกเกินสิบห้าครั้งได้ มากสุดคือสิบสองสิบสามวินาทีจึงจะได้กินรสชาติที่ดีที่สุด” เฉียวกวางหย่วนคีบสไบนางสดใหม่ชิ้นหนึ่งขึ้นมาพลางพูด
พูดไปเขาก็จุ่มลวกขึ้นมาจากในหม้อเดือด ๆ จริง ๆ สไบนางที่อยู่ในหม้อที่กำลังเดือดเริ่มขดตัวแล้ว
“ดูสิแบบนี้ก็ได้แล้ว กินตอนร้อน ๆ จะอร่อยที่สุด แม้หลาย ๆ คนจะบอกว่าร้อนเกินไปจะทำให้ปากเป็นแผลแต่ขอแค่ตอนนี้อร่อยใครจะสนใจเรื่องนั้นล่ะ!”
เฉียวกวางหย่วนพูดคำนี้จบ สไบนางที่ถูกคีบอยู่บนตะเกียบก็ถูกม้วนอยู่ในชาม หลังจากนั้นก็ถูกเอาเข้าปากแล้ว
เห็นเพียงเฉียวกวางหย่วนหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งอย่างพอใจมาก
รสชาติเผ็ดร้อนทำให้ทั้งร่างของเฉียวกวางหย่วนตื่นเต้นมีชีวิตชีวาขึ้นมา
รสชาติที่เผ็ดร้อนสดใหม่ทำให้คนกินยิ่งอยากกินต่อ ยิ่งกินก็ยิ่งชอบ โดยเฉพาะคนที่อยู่ห่างบ้านเกิดอย่างเฉียวกวางหย่วน ตอนกินเข้าไปคำแรกทั่วปากอบอวลไปด้วยรสชาติของบ้านเกิด
ทั้งยังนำพาความคิดถึงบ้านเกิดมาให้เขาไม่หยุดอีกด้วย
คนอื่นเห็นเฉียวกวางหย่วนกินคำแล้วคำเล่าอย่างต่อเนื่องก็เพิ่งตอบสนองออกมา ต้องรีบขยับมือหากไม่รีบขยับมือต้องถูกผู้บังคับกินหมดก่อนแน่
“ผู้บังคับท่านกินช้าลงหน่อยเถอะครับ หากท่านกินหมดแล้วพวกเราจะกินอะไรล่ะครับ?” มีคนร้องโอดครวญขึ้น
บรรยากาศก็อบอุ่นขึ้นมาเช่นนี้
แรกเริ่มเหล่าหญิงสาวยังมีความเขินอายอยู่บ้าง แต่หลังจากกินหม้อไฟเผ็ดร้อนเข้าไปคำหนึ่ง รสชาติที่อร่อยอย่างถึงที่สุดนั้นแตกซ่านอยู่ในปาก ยิ่งกินก็ยิ่งสดชื่น กินจนเหงื่อไหลผุดซึมจากแผ่นหลังก็ยังคงหยุดไม่ได้
ความรู้สึกเผ็ดร้อนกับกลิ่นหอมฉุย ทำให้คนกินแล้วก็ยิ่งอยากกินอีก ยิ่งกินก็ยิ่งอร่อย
ตรงกันข้ามกับอาหารอันโอชะที่คุณย่าซูเตรียมไว้อย่างตั้งใจ ซึ่งตอนนี้ถูกปฏิบัติอย่างเย็นชาอยู่ด้านข้าง
สามสิบกว่าคนล้อมรอบโต๊ะทั้งสองตัว ยืนกินกันอยู่ไม่ต้องพูดเลยว่าเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ตระการตามากขนาดไหน!