เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 772 เดินบนทางคนอื่น
บทที่ 772 เดินบนทางคนอื่น
บทที่ 772 เดินบนทางคนอื่น
คนส่วนหนึ่งกินหม้อไฟซุปน้ำแดงเผ็ดร้อนกันอย่างเพลิดเพลิน
เหล่าชายหนุ่มแย่งชิงกันกิน จนเห็นได้ว่าซูเสี่ยวเถียนกำลังเป็นกังวลว่าหากหม้อไฟพลิกคว่ำขึ้นมาจะทำอย่างไร!
เฉียวกวางหย่วนเห็นคนเหล่านั้นกินอย่างตะกละตะกลามท่าทีราวกับไม่ได้กินอะไรมาแปดชั่วโคตรก็รู้สึกรังเกียจ
คนหนุ่มเหล่านี้เข้าใจเรื่องการเคารพผู้อาวุโสเมตตาเด็กหรือไม่?
เขาที่เป็นผู้กองอยู่ตรงนี้ พวกนั้นยังแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ ยังจะให้ได้กินอาหารดี ๆ ได้อยู่อีกหรือ?
แต่การกินหม้อไฟสุดท้ายก็ไม่ใช่การกินคนละหม้อจึงทำได้เพียงแย่งกันเท่านั้น
เฉียวกวางหย่วนหลั่งน้ำตาอยู่ในใจ หม้อไฟของเขาถูกเจ้าพวกหน้าเหม็นไร้คุณธรรมแย่งหมดแล้วจะทำอย่างไรดี?
บางคนที่กินรสไม่จัดไม่สามารถกินเผ็ดได้ก็ไปแย่งกันกินหม้อไฟซุปน้ำขาว
คนทั้งสองฝั่งมีจำนวนพอ ๆ กัน ฝั่งหม้อซุปน้ำขาวก็แย่งกันกินอย่างคึกคัก แม้ยังเทียบกับความวุ่นวายของกลุ่มคนที่กินหม้อไฟซุปน้ำแดงไม่ได้ก็ตาม
ซูเสี่ยวเถียนและซูอู่ร่างสองพี่น้องเห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมา
“หงเหมยพวกเธอต้องรีบหน่อยแล้ว ไม่อย่างนั้นอาหารอร่อย ๆ คงถูกกินหมดก่อน”
ซูเสี่ยวเถียนมองพวกเพื่อนร่วมห้องของตัวเองที่สงวนท่าทีอยู่บ้างจึงรีบกล่าวเสียงดัง ในตอนนี้เองมีเพื่อนของซูอู่ร่างคนพบว่านักศึกษาหญิงเหล่านี้กินน้อยมาก จึงรีบช่วยคีบผักไปให้พวกเธอ
เฉียวกวางหย่วนเห็นก็ยิ่งโกรธ
เจ้าหน้าเหม็นพวกนี้ทำไมไม่รู้จักคีบให้ผู้กองอย่างเขาบ้าง?
ทุกคนไปประจบประแจงเด็กสาวกันหมดแล้ว!
เป็นเพราะซูเสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าในใจเฉียวกวางหย่วนคิดเช่นนี้ หากรู้จะต้องพูดประโยคหนึ่งแน่นอนว่า ผู้กองเฉียวคุณคิดแบบนี้คงได้อยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต!
พวกจ้าวหงเหมยได้รับความช่วยเหลือจากเหล่าทหารจนได้กินไปไม่น้อย
ในมหาวิทยาลัยพวกเขาเป็นครูฝึกและนักศึกษา แต่ที่นี่ลดการจำกัดสถานะลง พูดกันอย่างสบาย ๆ มากขึ้น เพียงครู่เดียวกลุ่มนักศึกษาชายหญิงก็มารวมตัวกัน ถึงขั้นสัญญาว่าหลังจากนี้ต้องติดต่อกันด้วย
ทันใดนั้นซูเสี่ยวเถียนก็คิดขึ้นมาว่าตัวเองได้เชื่อมสายสัมพันธ์ขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจแล้วใช่หรือไม่ แต่หากสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้ก็นับว่าดีที่สุด
เธอคิดเช่นนี้ทั้งยังมองไปยังพี่ชายตัวเองที่ดูเศร้าสร้อย โอกาสดีแบบนี้ทำไมไม่รู้จักไปสานสัมพันธ์กับพวกเพื่อนนักศึกษาหญิงล่ะ?
ไม่แน่ว่าในหมู่เพื่อนนักศึกษาหญิงอาจมีคนที่กลายมาเป็นพี่สะใภ้ของตนก็ได้ แต่หากซูเสี่ยวเถียนพูดอย่างตรงไปตรงมาแล้วคงนับว่าเป็นการไม่รู้จักคิด ความคิดเช่นนี้จึงสลายหายไปในทันใด
เรื่องของพรหมลิขิตไม่อาจบังคับได้ มันจะมาถึงเองอย่างเป็นธรรมชาติและได้อยู่ร่วมกัน
มื้อเดียวนี้พวกซูเสี่ยวเถียนได้เตรียมทั้งเนื้อและผักลวกไว้แล้ว เป็นดังคาดทุกคนล้วนเป็นชายหนุ่ม แม้ซูเสี่ยวเถียนจะเตรียมไว้เยอะมาก แต่เหล่าพวกเขากินกันหมดแล้วก็ยังคงไม่หนำใจ
ในตอนนี้เนื้อที่คุณย่าซูเตรียมไว้ก็กลายเป็นส่วนเสริมที่ดีที่สุดแล้ว
ต้องกล่าวว่าฝีมือการทำอาหารของคุณย่าซูยอดเยี่ยมจริง ๆ เหล่าเด็กหนุ่มที่กินเนื้อไปแล้ว พอตอนมากินเนื้อเหล่านี้ด้วยก็ยังเอ่ยชมไม่ขาดปาก
เฉียวกวางหย่วนถึงขั้นถามว่า “อู่ร่างร้านอาหารของบ้านนายคงจะขายดีมากใช่ไหม?”
ด้วยฝีมือการทำอาหารแบบนี้การจะตั้งตัวในเมืองหลวงย่อมไม่มีปัญหา
ร้านอาหารในใจกลางเมืองหลวง เป็นธรรมดาที่จะมีการครอบครองโดยสืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนานนับร้อยปีแล้ว
ชื่อเสียงเก่าแก่ที่สืบทอดกันมานับร้อยปี ฝีมือการทำอาหารก็พิถีพิถันเป็นอย่างมาก แต่ร้านอาหารพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถซื้อกินได้ ลูกค้าที่แท้จริงส่วนใหญ่เป็นพวกคนชั้นกลางขึ้นไป
สำหรับพวกเขามีเงินแต่ไม่มากพอที่จะไปกินร้านอาหารหรู แต่ร้านอาหารหออีหมิงนี้รสชาติอร่อยอีกทั้งราคายังไม่นับว่าแพง จึงกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ตั้งแต่เริ่มต้นซูเสี่ยวเถียนก็ตัดสินใจแล้วว่าจะให้คนเหล่านี้มาเป็นกลุ่มเป้าหมาย และหากจะดึงลูกค้าเหล่านี้เอาไว้ที่ร้านตนเองให้เหนียวแน่นฝีมือการทำอาหารจะตกลงไปไม่ได้
ความจริงแล้วสองปีมานี้ฝีมือการทำอาหารของคุณย่าซูไม่เพียงแต่ไม่มีตกลงแต่ยังค่อย ๆ พัฒนาขึ้นอีกด้วย
ซูเสี่ยวเถียนเชื่อว่าตราบใดที่รักษาระดับฝีมือการทำอาหารในตอนนี้ไว้ การที่หออีหมิงจะมั่นคงไปอีกยี่สิบสามสิบปีก็ไม่ใช่ปัญหา
แต่เธอก็คิดว่าไม่อาจมีเพียงร้านอาหารแห่งเดียวเป็นทุนเดิมไปตลอดได้ ยังจำเป็นต้องบุกเบิกและริเริ่มสิ่งใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องด้วย
การเปิดร้านสาขานอกจากให้สะใภ้ใหญ่หลี่หลินหลินไปเปิดร้านหนึ่งแล้ว ครอบครัวพวกเขายังไม่มีหนทางเปิดสาขาสองจริง ๆ ถึงอย่างไรฝีมือการทำอาหารก็เป็นส่วนสำคัญที่สุดในการดึงดูดลูกค้า
ดังนั้นซูเสี่ยวเถียนจึงคิดจะเปิดร้อนหม้อไฟแห่งหนึ่ง
พูดไปแล้วการเปิดร้านหม้อไฟก็จำเป็นต้องใช้ฝีมือการทำอาหารน้อยมากทีเดียว ขอเพียงต้มซุปหม้อไฟก็เรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือทั้งหมดสามารถให้ลูกค้าทำได้
แต่เรื่องนี้ซูเสี่ยวเถียนยังไม่ได้หารือกับคนในครอบครัว
วันนี้บังเอิญได้เจอเฉียวกวางหย่วนที่เป็นคนมณฑลเสฉวน นครฉงชิ่ง ซูเสี่ยวเถียนก็คิดจะปรึกษาเฉียวกวางหย่วนสักหน่อย
มือทั้งสองข้างของเฉียวกวางหย่วนถือซี่โครงหมูแทะกินด้วยสีหน้าพอใจ!
“ผู้กองเฉียวคุณเป็นคนมณฑลเสฉวน นครฉงชิ่ง คุณว่าส่วนผสมหม้อไฟของบ้านพวกเราเป็นอย่างไรบ้างคะ?” ซูเสี่ยวเถียนเปิดปากถามตามตรง
คนเป็นทหารส่วนใหญ่มีนิสัยตรงไปตรงมา ซูเสี่ยวเถียนก็ไม่คิดจะพูดอ้อมค้อม
เฉียวกวางหย่วนหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งกล่าว “ดีมาก รสชาติเหมือนที่บ้านเกิดของฉันเลย ถ้าไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่เมืองหลวงฉันคงคิดว่า ฉันกลับมาที่มณฑลเสฉวน นครฉงชิ่งแล้ว”
“ผู้กองเฉียวหากเปิดร้านหม้อไฟรสชาติแบบนี้จะสามารถดึงดูดคนได้ไหมคะ?”
เฉียวกวางหย่วนได้ยินคำพูดนี้ดวงตาที่หรี่ลงครึ่งหนึ่งก็เบิกกว้างขึ้นในทันใด
“เสี่ยวเถียนเธอหมายความว่าอย่างไร?”
“คุณก็รู้ว่าที่บ้านหนูเปิดร้านอาหาร แต่ก็ไม่อาจทำธุรกิจอาหารเพียงประเภทเดียวได้ค่ะ หากจะขยายกิจการหม้อไฟด้วยคุณคิดว่าอย่างไรคะ?”
เป็นธรรมดาที่ในเมืองหลวงจะมีร้านหม้อไฟ แต่ในปัจจุบันพูดได้ว่านิยมใช้เนื้อแกะกันมาก
หมาล่าสดใหม่ที่มีกลิ่นอายของมณฑลเสฉวน นครฉงชิ่งยังมีไม่มากจริง ๆ ซูเสี่ยวเถียนมีความคิดที่จะชิงบุกเบิกก่อน
ก่อนที่คนอื่นจะคิดเรื่องนี้ การครอบครองตลาดส่วนใหญ่เป็นเรื่องสำคัญมาก
ในอนาคตขอเพียงผู้คนคุ้นเคยกับการกินหม้อไฟของครอบครัวพวกเขา และครอบครัวพวกเขาสามารถรักษารสชาติกับคุณภาพไว้ได้ ก็รับรองได้ว่าจะคงอยู่ต่อไปได้นานอีกหลายสิบปี
“ได้แน่นอนด้วยซุปแบบนี้ของครอบครัวเธออย่าว่าแต่เปิดร้านหม้อไฟในเมืองหลวงเลย ต่อให้ไปที่มณฑลเสฉวน นครฉงชิ่ง ก็ยังสามารถลงหลักปักฐานได้” เฉียวกวางหย่วนพูดอย่างจริงจังเป็นอย่างมาก
นี่เป็นคำพูดจากใจจริงของเขา ตั้งแต่เด็กเขาได้กลิ่นของหม้อไฟมาจนโตจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหม้อไฟแบบไหนที่คนนิยมมากที่สุด?
ซูเสี่ยวเถียนเด็กสาวคนนี้ถามเขาก็นับว่าถามถูกคนแล้ว
“คุณคิดว่ามีส่วนไหนที่ต้องปรับปรุงไหมคะ?” ซูเสี่ยวเถียนถามซักไซ้ต่ออีกครั้ง
“ถ้าเผ็ดกว่านี้อีกหน่อยจะดีมาก!”
ซูเสี่ยวเถียน “…”
คุณแน่ใจว่าทุกคนจะสามารถกินเผ็ดได้เหมือนคุณหรือ?
ไม่เห็นสหายร่วมรบคนอื่นกินไปไม่กี่คำก็ดื่มน้ำแทบตายหรือ?
วันนี้เตรียมน้ำเปลือกแอปริคอตมาสองถังก็หมดเกลี้ยง
เห็นสีหน้าตกตะลึงของซูเสี่ยวเถียน เฉียวกวางหย่วนก็ลูบหลังหัวอย่างเขินอาย “ฉันกินเผ็ดได้ค่อนข้างมาก!”
“หนูวางแผนว่าจะพัฒนาให้มีรสชาติสี่แบบ เผ็ดน้อย เผ็ดปานกลาง เผ็ดมาก และเผ็ดพิเศษค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนยิ้มพูด “รสชาติที่คุณกินวันนี้เป็นระดับเผ็ดปานกลางค่ะ!”
ความจริงแนวทางนี้เป็นเรื่องปกติของคนรุ่นต่อไป นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่กลับได้รับความนิยมไปทั่วโลก
บนเส้นทางนี้จะนำพาครอบครัวไปสู่ความมั่งคั่ง ละทิ้งสิ่งเก่าๆ บางส่วนไปคงเหลือไว้แต่แก่นสำคัญและพัฒนาสู่ทิศทางใหม่ เป็นการก้าวนำหน้าตามเส้นทางของผู้อื่นไปก้าวหนึ่ง!
พูดได้ว่าตามปกติแล้วการเดินบนทางคนอื่นจะทำให้คนอื่นไร้ทางเดิน!