เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 773 ซูเสี่ยวเถียนโอ้อวด
บทที่ 773 ซูเสี่ยวเถียนโอ้อวด
บทที่ 773 ซูเสี่ยวเถียนโอ้อวด
“ไม่เลวไม่เลว ครั้งหน้าที่มาเมืองหลวงหากร้านหม้อไฟของครอบครัวเธอเปิดแล้ว ฉันจะมาลองชิมรสเผ็ดที่สุดแน่นอน!”
เฉียวกวางหย่วนพูดราวกับเริ่มจินตนาการถึงรสชาติเผ็ดร้อนนั้นแล้ว
“เอาเป็นตามนี้นะคะ!” ซูเสี่ยวเถียนยิ้ม
เฉียวกวางหย่วนมองหญิงสาวที่มีรอยยิ้มสดใส ทันใดนั้นก็รู้สึกอิจฉาซูอู่ร่างขึ้นมาโดยพลัน
สวรรค์ติดค้างน้องสาวให้เขาอยู่คนหนึ่ง นั่นคือน้องสาวอย่างซูเสี่ยวเถียน!
กลุ่มชายหนุ่มที่กินหม้อไฟแล้ว ย้ายมากินกระดูกผัดซอส รวมถึงพวกเนื้อวัวตุ๋นและกับข้าวที่คุณย่าซูเตรียมไว้
กินลงไปจนท้องกลมป่องจึงเพิ่งหยุดกิน
เมื่อทุกคนกินจนอิ่มแล้วเฉียวกวางหย่วนก็ลูบท้องพลางพูดอย่างมีความสุข “ครั้งก่อนกินเนื้อไปนิดหน่อย วันนี้ได้กลับมากินชดเชยแล้ว!”
ซูอู่ร่างแรกเริ่มไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนี้ แต่หลังจากนึกขึ้นได้ว่าครั้งก่อนที่มหาวิทยาลัยเขาเอาเนื้อไปให้ผู้กองได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เขานึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นหลังจากกินเสร็จผู้กองก็ยังมีท่าทีไม่พึงพอใจ ไม่พอใจเป็นอย่างมาก!
วันนี้มีท่าทีเหมาะสมคงเพราะกินอิ่มจนพอใจแล้ว
มื้อนี้ถูกเตรียมไว้นับว่าชดเชยให้ผู้กองแล้ว ไม่เช่นนั้นคาดว่าผู้กองอาจยังพร่ำพูดไปอีกหลายปี ไม่แน่จนถึงตอนที่พวกเขาจบการศึกษาคงจะยังพร่ำพูดเรื่องนี้อยู่
หลังกินอาหารกลางวันเสร็จพวกเด็กสาวก็วางตะเกียบกำลังจะเก็บกวาดทำความสะอาด
แต่พวกพี่ชายทหารทุกคนล้วนช่วยเหลืออย่างกระตือรือร้นยิ่ง ทั้งยังแบ่งงานกันจนไม่ต้องให้เหล่าเด็กสาวกังวลใจ
“พวกเธออย่าทำงานหนักเลยผิวก็ยิ่งบอบบางอยู่ งานใช้แรงงานพวกนี้ให้พวกเราทำเอง!”
“พวกเธอช่วยเตรียมอาหารแล้ว เรื่องเก็บกวาดล้างจานให้พวกเราจัดการเถอะ!”
“พวกเธอวางใจเถอะ พวกเราทำได้รับปากว่าจะไม่ทำจานแตก!”
ทุกคนแย่งกันพูดจนเหล่าเด็กสาวไม่รู้จะทำเช่นไร
ซูเสียวเถียนยิ้มอย่างมีความสุขพลางพูด “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปพักในห้องฉันก่อนสักหน่อยเถอะ”
หลังพูดจบก็พาพวกเพื่อนนักศึกษาไปที่ห้องนอนตัวเอง
พวกจ้าวหงเหมยเห็นเหล่าพี่ทหารจัดการเก็บกวาดสนามรบก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก
“เสี่ยวเถียนจะให้พวกผู้ชายไปจัดการงานในครัวได้ยังไง?” เป็นหลี่เจี้ยนหงที่รู้สึกกระอักกระอ่วนที่สุด
ตอนอยู่บ้านผู้ชายมีหน้าที่เพียงกินข้าว เรื่องเก็บกวาดชามตะเกียบล้วนเป็นผู้หญิงทำ
“ไม่เป็นไรให้พวกเขาทำไปเถอะ พวกพี่ชายฉันตอนอยู่ที่บ้านก็ทำเหมือนกัน!” ซูเสี่ยวเถียนไม่ใส่ใจนัก
ความจริงแล้วตอนอยู่บ้านกลับเป็นเธอที่ไม่ค่อยได้ทำเรื่องพวกนี้
ไม่มีทางเลือกเพราะหลานสาวมีน้อยคุณปู่คุณย่าจึงตัดใจให้ทำไม่ลง
บางครั้งการตามใจก็เป็นสิ่งจำเป็น!
ความจริงเฉียนเสี่ยวเป่ยมีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน เพียงแต่เธอเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความกล้าจึงไม่กล้าพูดอะไรมากมายออกไป
แม้จะอยากพูดว่าพวกเธอควรช่วยล้างหม้อชามเสียก่อน แต่พวกเสี่ยวเถียนก็ล้วนถอยออกไปแล้ว จึงรู้สึกกระอักกระอ่วนหากจะอยู่ช่วยเหลือ
ห้องนอนของเสี่ยวเถียนเป็นห้องที่ติดกับห้องใหญ่ทั้งสองข้างซึ่งกว้างขวางมาก เตียงนอนที่จัดวางไว้รวมทั้งตู้หนังสือที่วางอยู่ข้างผนังล้วนเป็นของโบราณ
ทั้งห้องไม่มีส่วนแบ่งแยกดูสวยงาม
หากพูดถึงเครื่องเรือนก็เป็นของที่เสี่ยวเถียนเสาะหามาจากตลาดนัดของเก่าโดยไม่ตั้งใจ ตอนนั้นราคายังไม่แพงแต่ความจริงแล้วนี่เป็นไม้หวงฮวาหลี
อีกไม่กี่สิบปีข้างหน้าจะเป็นของที่มีมูลค่าทีเดียว
แม้คุณย่าซูจะไม่ใช่คนติดหรูแต่ก็ยังมีคุณย่าอวี่รุ่ยหยวนคนหนึ่งที่ทนซูเสี่ยวเถียนไม่ได้
อวี่รุ่ยหยวนมอบความรักทั้งหมดให้กับซูเสี่ยวเถียน ห้องนอนนี้ก็เป็นอวี่รุ่ยหยวนที่ตกแต่งทั้งหมดอย่างใส่ใจยิ่ง
เครื่องเรือนทั้งหมดที่ติดตั้งก็เข้ากับบ้านเป็นอย่างมาก เดิมทีห้องนี้ถูกตกแต่งอย่างหรูหรามาก ทั้งยังเพิ่มความเรียบหรู เหมือนกับบุตรีในสมัยโบราณ
การตกแต่งอย่างใส่ใจเช่นนี้ทำให้เหล่าเพื่อน ๆ อิจฉา แต่ไหนแต่ไรพวกเธอก็ไม่ได้มีชีวิตที่สดใสถึงเพียงนี้ แม้แต่เหล่าหญิงสาวในเมืองหลวงก็ยังต้องแออัดอยู่ในห้องเดียวกับพี่สาวน้องสาว เป็นไปไม่ได้ที่จะมีห้องนอนแบบนี้
“เสี่ยวเถียน เทียบกับเธอแล้วฉันรู้สึกว่าฉันกลายเป็นคนหยาบกระด้างไปเลย!” หลังจากจ้าวหงเหมยมองไปรอบห้องรอบหนึ่งก็พูดออกมาได้ตรงประเด็นมาก
ในครอบครัวเธอยังนับว่ามีกินมีใช้ เดิมทีพี่สาวน้องสาวสองคนอยู่ห้องเดียวกัน หลังจากพี่สาวแต่งออกไปเธอก็อยู่คนเดียวอย่างมากก็แค่มีความกว้างขวางสะอาดสะอ้าน
แต่เมื่อเทียบกับห้องนี้ของซูเสี่ยวเถียนแล้วก็นับว่าอยู่ในระดับที่แย่เกินไปจริง ๆ
แม้เธอจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพวกเครื่องเรือนและวัสดุไม้ แต่ก็รู้สึกได้ว่าเครื่องเรือนพวกนี้ไม่ธรรมดา
ได้ยินจ้าวหงเหมยพูดว่าตัวเองเป็นคนหยาบกระด้าง เด็กสาวสามคนที่มาจากชนบทก็นึกถึงชีวิตของตัวเองก่อนหน้านี้ขึ้นมา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าพวกเธออาจจะสู้ชีวิตที่หยาบกระด้างนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ
มิน่าเล่าในหอพักเตียงของซูเสี่ยวเถียนถึงได้จัดวางได้อย่างเรียบหรู ที่แท้ตลอดมาเธอก็ใช้ชีวิตที่เรียบหรูแบบนี้
ความเรียบหรูเหล่านี้คงจะฝังลงไปในกระดูกแล้ว
ซูเสี่ยวเถียนหยิบกาน้ำชาบนโต๊ะมาเทน้ำให้พวกเพื่อนนักศึกษา ดูแลให้พวกเธอนั่งดื่มน้ำ
“กินหม้อไฟแล้วจะหิวน้ำได้ง่ายพวกเราดื่มน้ำแล้วพักกันสักหน่อยเถอะ หากพวกเธอง่วงไปนอนพักบนเตียงของฉันก็ได้ หากยังไม่ง่วงก็สามารถไปอ่านหนังสือฆ่าเวลาได้”
แม้ซูเสี่ยวเถียนจะบอกให้พวกเธอนอนพักบนเตียง แต่เหล่าเด็กสาวก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้มารยาท
ดังนั้นทุกคนจึงบอกว่าไม่ง่วงทั้งยังถามซูเสี่ยวเถียนว่าหนังสือมากมายในนี้ พวกเธอสามารถยืมอ่านได้หรือไม่
ในยุคสมัยนี้หากต้องการอ่านหนังสือส่วนใหญ่ต้องอาศัยการยืมเอา ซูเสี่ยวเถียนกลับไม่ตระหนี่ที่จะให้คนอื่นยืมหนังสือ เพียงแต่เธอกังวลจริง ๆ ว่าหนังสือที่นี่พวกเพื่อนนักศึกษาของเธออาจมีปัญหาเรื่องอ่านไม่เข้าใจ
เป็นดั่งที่คาดหลังจากนั้นไม่นานจ้าวหงเหมยก็ย่นหน้าพลางพูด
“เสี่ยวเถียน เธออ่านหนังสือพวกนี้ทั้งหมดเองหรือ?”
“ใช่หนังสือพวกนี้ฉันล้วนเคยอ่านแล้ว!”
หนังสือบนชั้นหนังสือนี้ความจริงซูเสี่ยวเถียนเคยอ่านแล้ว บนชั้นส่วนใหญ่มีหนังสือวรรณกรรมต่างประเทศ อีกทั้งยังมีหนังสือเฉพาะทางที่ตีพิมพ์เป็นภาษาต่างประเทศด้วย
แม้จะมีหนังสือที่ไม่ใช่ภาษาต่างประเทศ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นหนังสือเฉพาะทางขั้นสูงทั้งอิเล็กทรอนิกส์ เกษตรกรรม เศรษฐกิจ เป็นต้น
สำหรับเหล่าเด็กสาวที่เรียนภาษาและวรรณกรรมจีนแล้วกล่าวได้ว่า หนังสือเหล่านี้ระดับสูงเกินไปจริง ๆ
“เสี่ยวเถียนทำไมเธอถึงอยากมาเรียนภาษาและวรรณกรรมจีนล่ะ?” จ้าวหงเหมยถามออกมาตามตรง
คนที่อ่านหนังสือภาษาต่างประเทศได้ทำไมต้องมาเรียนสาขาภาษาและวรรณกรรมจีนด้วย? หรือคิดว่าเรียนภาษาต่างประเทศมาแล้วจึงไม่จำเป็นต้องเรียนอีก?
“ตอนกรอกวิชาเอกฉันไม่รู้ว่าควรจะเลือกอะไรจริง ๆ เลยเลือกภาษาและวรรณกรรมจีน” ซูเสี่ยวเถียนพูดด้วยรอยยิ้ม
คำพูดนี้เป็นความจริงแต่หญิงสาวคนอื่นได้ยินก็รู้สึกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เด็กสาวคนนี้คุยด้วยไม่รู้เรื่องจริง ๆ!
หนังสือบนชั้นหนังสือมีภาษาต่างประเทศอย่างน้อยสามสี่ภาษา หากเสี่ยวเถียนเคยอ่านหมดแล้วอย่างน้อยเธอก็ต้องรู้ภาษาต่างประเทศถึงสามสี่ภาษา
คนที่มีพรสวรรค์แบบนี้กลับมาเลือกเรียนภาษาและวรรณกรรมจีนโดยไม่คิดอะไร หากเหล่าอาจารย์เก่าที่เคยสอนภาษาต่างประเทศมาได้ยินเช่นนี้จะไม่น้ำตาไหลนองหรือ?
ซูเสี่ยวเถียนเห็นพวกเพื่อนนักศึกษามองมาที่ตัวเองด้วยสายตาแปลก ๆ ก็ตระหนักได้ว่าคำพูดนี้ของตัวเองนั้นดูโอ้อวดเกินไปจริง ๆ
แบบนี้จะทำให้ไม่มีเพื่อน
เธอรีบเปิดปากหาหัวข้อสนทนา
“แถวนี้ทั้งหมดเป็นพวกหนังสือวรรณกรรมภาษาจีน พวกเธอลองดูสิว่ามีเล่มไหนที่ชอบไหม”