เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 817 ทุกคนไปกันหมด
บทที่ 817 ทุกคนไปกันหมด
บทที่ 817 ทุกคนไปกันหมด
ฉืออี้หย่วนมานอนอยู่บ้านตระกูลซูโดยไม่รู้เลยว่าพ่ออยากให้เขาตามกลับไปที่เยอรมันด้วย ถ้ารู้ ตนเองคงอดหัวเราะออกมาดัง ๆ ไม่ได้
ความสัมพันธ์ของพวกเราเป็นแบบนี้ ก็เพราะพวกเขาไม่คิดจะกลับมาเจอหน้ากันเลยไม่ใช้หรือ ทำไมถึงคิดว่าเพราะไม่ได้อยู่ด้วยกันล่ะ?
เหอะ ๆ
แต่ฉือเนี่ยนตงคิดอย่างนั้นจริง ๆ
เขาคิดได้หลังจากได้ยินภรรยาพูดว่า ฉืออี้หย่วนสนิทกับคนอื่นมากกว่าคนในครอบครัว เพราะตอนนั้นเขาอยู่ต่างประเทศเลยไม่ได้รู้สึกแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้
ตอนนั้นเขาเชื่อว่าเป็นเพราะไม่ได้อยู่กับลูก และโดนคนอื่นพูดจาว่าร้ายใส่จนนำไปสู่ผลลัพธ์เช่นนี้
หลังจากนั้นเขาเดินไปที่ห้องฉือเก๋อ
“แกคิดจะพาเสี่ยวหย่วนไปต่างประเทศหรือ แล้วเคยถามความสมัครใจเด็กมันไหม?”
ฉือเก๋อมองลูกชาย
ฉือเนี่ยนตงไม่เคยถาม ด้วยเหตุนั้นจึงมาหาผู้เป็นพ่อยังไงล่ะ
“พ่อครับ ผมกำลังคิดน่ะ พ่อช่วยโน้มน้าวเขาให้ไปต่างประเทศกับผมหน่อยนะครับ!”
ฉือเก๋อพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา ไม่พูดอะไรสักคำ
ฉือเนี่ยนตง “พ่อ พ่อก็รู้ว่าตอนนี้ผมมีพื้นฐานการใช้ชีวิตในต่างประเทศแล้ว ถ้าพาเขาไปด้วยมันจะไม่ทำให้เขาทนทุกข์แน่นอน อีกอย่างถ้าได้ไปอยู่ที่นั่น จะได้มีการศึกษาดี ๆ ด้วยนะ”
ฉือเนี่ยนตงอยู่ต่างประเทศมานาน จึงมีความคิดดูถูกความล้าหลังของประเทศบ้านเกิด แม้ว่าการกลับมาครั้งนี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางดีขึ้นกว่าที่จินตนาการไว้เล็กน้อยก็เถอะ
แล้วยังไงล่ะ?
ถึงจะดีกว่าเมื่อก่อน แต่มันสู้กับต่างประเทศไม่ได้เลยสักนิดฉือเนี่ยนตงรู้สึกว่าตัวเองกำลังนึกถึงลูกชายจริง ๆ
ฉือเก๋อไม่อยากอยู่บ้านอีกต่อไปแล้ว เขาออกจากบ้านแล้วไปบ้านซูทันที
ฉือเนี่ยนตงเห็นบ้านว่างเปล่า ที่ตอนนี้เหลือแค่สมาชิกบ้านเราสี่คน ก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
อี้หย่วนไม่สนิทกับเขาก็ไม่เท่าไร แล้วทำไมพ่อต้องเป็นไปด้วยล่ะ?
เขามีตำแหน่งเป็นลูกชายและหลานชายคนโตของตระกูลฉือ พ่อให้ความสำคัญกับเขามาตั้งแต่ยังเด็ก ท่านไม่ควรจะเมินเฉยต่อกันขนาดนี้สิ!
อวี๋ซีเยว่เอ่ยด้วยความขุ่นมัว “ตอนนี้คุณไม่อยู่ในใจพ่อคุณแล้วไงล่ะ บางทีเขาอาจจะกลัวว่าคุณจะกลับมาแย่งทรัพย์สมบัติก็ได้”
ฉือเนี่ยนตงไม่เห็นด้วยกับความคิดภรรยา
แย่งสมบัติอะไรกัน เขาเป็นลูกชายคนโตนะ ถ้าวันไหนพ่อเสียไป เขาต้องได้มรดกส่วนใหญ่มาอยู่แล้ว
อีกอย่างตอนนี้น้องชายก็อยู่ต่างประเทศ ไม่ยอมกลับมาด้วยซ้ำ ที่จริงบ้านหลังนี้คงไม่มีใครอยากได้หรอก ขนาดเขาเองยังไม่ชอบเลย
อาคารตะวันตกหลังเดิมยังดีกว่าอีก ไม่รู้ชายชราคิดอะไรอยู่ถึงได้มาอยู่ในที่แบบนี้
คุณปู่ซูแปลกใจที่เห็นฉือเก๋อตามหลานชายมาอีกคน
“เหล่าฉือ ทำไมถึงมาด้วยล่ะ?”
ลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลาน ๆ กลับมาทั้งที น่าจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันไม่ใช่หรือ?
“ฉันผิดเองแหละที่สอนลูกไม่ดี!”
ทางฝั่งเสี่ยวเถียนเดินทางมาถึงจุดหมายในที่สุด
สถานีรถไฟอยู่ในตัวอำเภอเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีคนลงมาไม่เยอะเท่าไร
หลังจากเราแบกสัมภาระลงมาก็ขึ้นรถประจำทาง และใช้เวลาสามสี่ชั่วโมงกว่าจะเดินทางไปถึงจุดหมาย
เรามาถึงตำบลหนึ่งในเขตเจียงหนาน ซึ่งเป็นสถานที่ที่งดงามมาก
ที่นี่คือตำบลทงเหลียง ถนนหนทางปูแผ่นหินมีบ้านสไตล์โบราณตั้งรายเรียง บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสงบเป็นกันเอง
เมืองน้อย ๆ ใต้แสงอาทิตย์อัสดงเหมือนภาพวาดน้ำหมึกรูปทิวทัศน์ที่มีผู้คนแหวกว่ายอยู่ในนั้น!
นี่คือความรู้สึกแรกของเสี่ยวเถียน
เด็กสาวอยากรู้มากว่า เสิ่นจื่อเจินพบสถานที่แห่งนี้ได้ยังไง
“ลุงรู้จักจากเพื่อนคนหนึ่งน่ะ เขามาที่นี้โดยบังเอิญแล้วพบว่าข้าวที่นี่อร่อยมาก”
ราวกับคาดเดาความคิดออก เสิ่นจื่อเจินเอ่ยถึงเหตุผลที่เลือกที่แห่งนี้ระหว่างเดิน
หลังจากได้คำแนะนำของเพื่อน เขาก็เดินทางมาเป็นการส่วนตัว ก่อนจะพบว่าข้าวที่นี่อร่อยกว่าที่อื่นจริง ๆ
จากนั้นก็เก็บตัวอย่างน้ำและดินกลับไปทำการทดสอบที่เมืองหลวง แน่นอนว่าน้ำและดินของที่นี่ดีกว่าที่อื่นมาก
ช่วงสองปีนี้นอกจากวิจัยเรื่องเพิ่มผลผลิตแล้ว เสิ่นจื่อเจินยังคิดวิธีปรับปรุงรสชาติของข้าวอีกด้วย
เขาไม่ได้หวังแค่ว่าผลผลิตของข้าวในอนาคตจะสูงขึ้นให้ทุกคนได้กิน แต่ยังหวังจะให้คุณภาพของมันเพิ่มขึ้น และมีรสชาติที่ดีกว่าเดิมด้วย
เลยมาปักหลักอยู่ที่นี่นั่นเอง
ปีนี้เป็นปีแรกสำหรับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในสถานที่แห่งนี้ เสิ่นจื่อเจินพาซานกงกับเสี่ยวเหมยมาอยู่สามสี่รอบแล้ว
คนทั้งสองเคยมาแล้วจึงคุ้นชินกับถนนหนทางเป็นอย่างดี พวกเขาเลี้ยวไปเลี้ยวมา
สำหรับเสี่ยวเถียนนี่คือครั้งแรก เธอเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่อสถานที่แห่งนี้สุด ๆ
มันต่างจากบ้านเกิดของเธอมาก ต่างจากเมืองหลวง
และต่างจากหรงเฉิง
ชีวิตครั้งก่อนเธอเคยเดินทางไปหลายแห่งในประเทศ แต่ในฐานะแรงงานส่วนใหญ่จะเลือกงานในเมืองมากกว่า ไม่เคยมาที่แบบนี้หรอก
ขอบเขตความเข้าใจต่อชนบทมีแค่หมู่บ้านหนานหลิ่งเท่านั้น
เสี่ยวเถียนชอบทิวทัศน์ราวภาพวาดน้ำหมึกของที่นี่มาก มันต่างจากหมู่บ้านบ้านเกิดเหลือเกิน ราวกับว่าเราอยู่กันคนละโลกเลย
ควันจากเตาปรุงอาหารลอยขึ้นจากบริเวณหมู่บ้าน เสี่ยวเถียนรู้สึกได้กลิ่นหอมของข้าวด้วย
คนเดินผ่านไปมาเห็นเสิ่นจื่อเจินก็เอ่ยทักทาย
ส่วนเด็กสาวที่มาใหม่ก็ได้รับการจ้องมองมากกว่าปกติ
ตอนนี้เสี่ยวเถียนกำลังคิดอยู่ว่า ชาติที่แล้วเสิ่นจื่อเจินเลือกตั้งถิ่นฐานที่นี่เพื่อทำแปลงการทดลองหรือเปล่า
แต่เพราะตอนนั้นตนไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ จึงไม่ได้คิดเอาไว้
ทงเหลียงเป็นสถานที่ที่สวยงามมาก ถ้าไม่ได้กลายเป็นแปลงทดลองของเราจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวไหมนะ?
เธอคิดอยู่พักหนึ่งแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ ด้วยประสบการณ์อันตื้นเขินของชาติก่อนจึงไม่รู้อะไรเท่าไร เหมือนว่ามันจะไม่ใช่เมืองที่มีชื่อเสียงเลย
เธอคิดว่าถ้ามันได้รับการพัฒนา จะต้องไปได้สวยแน่นอน
การท่องเที่ยวดึงดูดคนได้อยู่แล้ว ยิ่งถ้าที่นี่มีสินค้าให้แข่งขันน่าจะพัฒนาได้ดีด้วย
“เหนื่อยไหมเสี่ยวเถียน? ฐานวิจัยเราอยู่ข้างหน้านี้เอง มันอาจจะไม่ได้ดีเท่าไรแต่เราไปพักที่นั่นได้นะ”
ซานกงไม่ได้ยินเสี่ยวเถียนพูด เขาจึงนึกว่าน้องเหนื่อยก็เลยเอ่ยปากถาม
สามสี่วันที่เดินทาง ขนาดเขาเป็นผู้ชายยังเหนื่อยเกินกว่าจะพูดคุยเลย นับประสาอะไรกับน้องล่ะ
เสี่ยวเถียนยิ้มพลางส่ายหัว “พี่สาม ที่นี่สวยจริง ๆ ค่ะ หนูชอบมาก!”
สองคนข้างหน้าหัวเราะ
ไม่แปลกที่ผู้หญิงจะชอบทิวทัศน์งดงามของที่นี่
ตอนเสี่ยวเหมยมาถึงครั้งแรกยังบอกว่าชอบเลย ถ้ามีโอกาสก็อยากมาใช้ชีวิตหลังเกษียณที่นี่ด้วยซ้ำ