เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 822 หมอตัวน้อย
บทที่ 822 หมอตัวน้อย
บทที่ 822 หมอตัวน้อย
หลังดูแลซานกงเสร็จ เสี่ยวเถียนกลับห้องไปอาบน้ำเตรียมเข้านอน ถึงบนรถไฟจะมีที่นอน แต่ด้วยการเดินทางที่โคลงเคลงจึงทำให้นอนไม่สบายเท่ากับนอนบนเตียง ขนาดนอนแล้วยังรู้สึกเหมือนตัวสั่นอยู่เลย
หลังจากนั้นนอนไปสักพักก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน เมื่อก่อนเธออ่านหนังสือและพยายามให้ตัวเองเข้านอนก่อนห้าทุ่ม เพราะตอนนั้นเธอยังเด็ก และกลัวว่านอนดึกจะส่งผลไม่ดีต่อร่างกายแต่สองปีมานี้เธอใช้เวลามากกว่าปกติ
พออายุมากขึ้นก็นอนน้อยลง อีกอย่างเธอรู้สึกว่าตัวเองยังมีความรู้ไม่มากพอ จึงพยายามศึกษาให้ได้เยอะที่สุด ตอนนี้เธอแทบไม่ต่างจากสำนวนที่ว่าคนฉลาดเข้านอนแต่หัวค่ำตื่นแต่เช้าแล้ว
วันนี้เธอนอนเกือบเที่ยงคืน หลังจากอ่านไปสักพักก็รู้สึกว่าการอ่านดีขึ้นกว่าตอนอยู่เมืองหลวง จึงไม่อยากทิ้งโอกาสอันดีงามนี้ไป และง่วนอยู่กับการอ่านอยู่แบบนั้น
ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือก็ได้ยินเสียงจากข้างนอก เด็กสาวรีบลุกขึ้นหมายจะเปิดออกไปดู แต่จำได้ว่าที่นี่ไม่ใช่หอพักที่มหาวิทยาลัยหรือบ้านตนเอง และอีกอย่างเธอก็เพิ่งเคยมาที่นี่ และยังไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม เพราะงั้นอยู่ในบ้านไว้คงจะดีกว่า
เด็กสาวยืนฟังเสียงจากด้านใน มีเสียงประตูเหล็กถูกเปิดแล้วตามด้วยเสียงอื่น ๆ คงระยะห่างค่อนข้างไกลจึงได้ยินไม่ชัดว่าเขาคุยอะไรกัน แต่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเหล่านั้นเดินทางมาทางบ้านพักของเรา
แต่แล้วก็ได้ยินเสียงประตูบ้านเสิ่นจื่อเจินก็เปิดออก และคราวนี้เสี่ยวเถียนได้ยินอย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าเสิ่นจื่อเจินจะสอบถามอะไรบ้างอย่าง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของผู้ชายคนหนึ่ง
เธออดทนฟัง ก่อนจะรู้ว่าคือสามีหลี่กุ้ยฮวา จับใจความได้ว่า หลังจากกลับมาได้สักสองชั่วโมง คนทั้งสองมีอาการไข้ขึ้น ที่หมู่บ้านของก็ไม่มีแพทย์ การรักษาส่วนใหญ่ต้องเข้าเมืองเท่านั้น
สามีเห็นว่าพวกเขาป่วยจึงใช้ผ้าเย็นคอยประคบให้พี่ แต่ใครจะรู้เล่าว่าอีกชั่วโมงต่อมา เรื่องราวกลับแย่ลง พวกเขาเริ่มมีอาการเพ้อ สามีกุ้ยฮวารีบร้อนอยากให้คนในหมู่บ้านพาทั้งสองไปส่งในเมือง
ทว่าถนนหนทางในยุคนี้เต็มไปด้วยความยากลำบากและสูงชัน ถ้านั่งรถเกวียนวัวก็กลัวว่าจะยิ่งแย่กว่าเดิม ในตอนที่สามีกุ้ยฮวาเหมือนจะเสียสติ ก็มีคนเสนอความคิดว่าให้สามีป้อนยาลดไข้กับคนทั้งสองจะได้ลดอุณภูมิในร่างกายลง
หลังจากสอบถามมาหลายบ้าน พบว่าไม่มีใครมียาลดไข้ สภาพหมู่บ้านของเราไม่ดีเท่าไร เวลาคนป่วยเราก็จะไปหาพืชตามป่าเขาเพื่อเอามาต้มยากิน ใครที่ไหนจะมียาลดไข้ล่ะ?
ตอนนั้นเองที่มีคนนึกถึงเสิ่นจื่อเจินขึ้นได้ พวกเขามาจากเมืองหลวง อาจจะมียาลดไข้ติดตัวมาด้วยก็ได้ พวกอันหรงหัวเลยตรงมาที่นี่ทันที
เสิ่นจื่อเจินก็รู้จักสามีกุ้ยฮวา เขาชื่ออันหรงเสวีย เป็นลูกพี่ลูกน้องกับอันหรงหัว เขาเป็นคนซื่อสัตย์มาก พอได้ยินคำพูดนั้นแล้ว เสิ่นจื่อเจินจึงหยิบยื่นความช่วยเหลือให้อย่างไม่ลังเล
“เรามียาลดไข้อยู่ แต่ยังไงก็ต้องให้หมอดูนะ คงรีรอไม่ได้!” เสิ่นจื่อเจินเป็นกังวล
การที่คนป่วยเริ่มเพ้อแสดงให้เห็นว่าอาการป่วยของพวกเขาเริ่มหนักแล้ว ถ้าให้กินยาแล้วไม่หาย ก็ถือว่ารอไม่ได้แล้วหรือเปล่า? ยิ่งถ้าไข้สูงไม่ลดเลยยิ่งร้ายแรงมากเลยด้วย
“เราเข้าใจที่อาจารย์เสิ่นบอกนะครับ แต่เราจะไปหาหมอตอนนี้ได้ที่ไหนล่ะ?”
หรงเสวียร้อนใจจนจะร้องไห้อีกแล้ว
ถ้าไปหาหมอได้ จะมารบกวนคนอื่นกลางดึกไปทำไมล่ะ?
“เดี๋ยวให้เสี่ยวเถียนไปดูครับ” เสิ่นจื่อจินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบ
เสี่ยวเถียน?
อันหรงเสวียไม่รู้จัก
แต่อันหรงหัวและภรรยารู้
เธอคือเด็กที่มากับอาจารย์เสิ่นในวันนี้ แต่สาวน้อยเพิ่งจะอายุเท่าไร รู้ทักษะการแพทย์ด้วยเหรอ?
“เสี่ยวเถียนเคยเรียนมาครับ อาการป่วยธรรมดาสามารถรักษาให้หายขาดได้” เสิ่นจื่อเจินว่าต่อ
อันหรงเสวียไม่มีทางเลือกแล้ว เวลานี้เราคงต้องลองดูสักตั้งแล้ว ถึงเราจะมียาลดไข้อยู่ แต่จะดีกว่าถ้าให้หมอมาดูอาการ ที่คิดแบบนั้นเพราะไม่รู้ว่าเสี่ยวเถียนคือเด็ก เพราะถ้ารู้ขึ้นมาเขาต้องไม่ไว้ใจแน่ ๆ
เสี่ยวเถียนได้ยินเช่นนั้นจึงเปิดประตูออกไปทันที
“อาเขย รอหนูเก็บของแล้วเดี๋ยวไปด้วยนะคะ”
เด็กสาวหยิบเสื้อคลุม ก่อนจะแลกยาจีนแล้วหยิบใส่กระเป๋าใบเล็ก
“ไปกันเถอะ!”
เสิ่นจื่อเจินจัดการตัวเองเสร็จก็รีบร้อนออกมา
อันหรงเสวียมองกระเป๋าเสี่ยวเถียนบนหลังอาจารย์เสิ่น เขาอ้าปากอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เงียบไป ยังไงก็มียาลดไข้อยู่ด้วย ถึงจะเชื่อสาวน้อยไม่ได้ก็ไม่สำคัญขนาดนั้น
บ้านอันหรงเสวียอยู่ไม่ไกลจากฐานวิจัย ใช้เวลาเดินแค่สิบนาทีก็ถึงแล้ว ระหว่างทางเสี่ยวเถียนเห็นบ้านหลายหลังเปิดไฟสว่างโร่ กระทั่งมาถึงบ้านอันหรงเสวียก็มีคนหลายคนรออยู่ในนั้นอย่างกระวนกระวายใจ
“เหล่าอู่ เป็นยังไงบ้าง? มียาไหม?” ใครคนหนึ่งพอเห็นอันหรงเสวียก็รีบร้อนถาม
“ถ้าไม่ได้ผลจริง ๆ ค่อยพาเข้าเมือง เราจะปล่อยให้พวกเขาไข้ขึ้นตัวร้อนจี๋อย่างนี้ไม่ได้หรอก!”
“มี…มี อาจารย์เสิ่นพา พาหมอตัวน้อยมาดูด้วย”
อันหรงเสวียมองเสี่ยวเถียน สุดท้ายก็เลือกใช้คำว่าหมอตัวน้อยออกมา คนรอบข้างไม่ได้สนใจคำว่าตัวน้อยที่ว่า เพราะมัวแต่มองหาหมออยู่ แต่ข้าง ๆ เสิ่นจื่อเจินมีเพียงเด็กสาวคนหนึ่งไม่มีใครอื่นอีก
พวกเขามองด้วยสีหน้างงงวย เหมือนจะถามว่านี่คืออะไร
“เสี่ยวเถียน หลานไปดูเถอะ!” เสิ่นจื่อเจินบอกให้รู้
เด็กสาวพยักหน้าแล้วเดินไปพร้อมกระเป๋า
สิ้นประโยคของเสิ่นจื่อเจิน ทุกคนตกใจกันหมด
อะไรกันเนี่ย?
ให้เด็กตัวแค่นี้มาดูอาการป่วยเนี่ยนะ เป็นไปไม่ได้หรอก ทุกคนต่างคิดเหมือนกันว่าแพทย์อย่างน้อยต้องหนุ่มสาว คนเป็นหมอต้องมีประสบการณ์มาก่อนสิ ไม่เห็นเหรอว่าหมอจากหมู่บ้านข้าง ๆ อายุปาไป 60 กว่าแล้วน่ะ แล้วเด็กคนนี้จะทำอะไรได้บ้างล่ะ?
“อาจารย์เสิ่น เธอทำได้เหรอครับ?” ชายชราถาม
เสิ่นจื่อเจินเป็นคนได้รับการศึกษาจากเมืองหลวง แต่สาวน้อยคนนี้เหมือนไม่ใช่แบบนั้นเลย! ถ้าหมอไม่ดี ให้กินยาผิดชีวิตคนคนหนึ่งอาจถึงฆาตได้เลยนะ
“ท่านผู้เฒ่าไม่ต้องห่วงนะครับ เสี่ยวเถียนเก่งมาก ๆ” เสิ่นจื่อเจินเอ่ยด้วยความมั่นใจ