เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 830 เห็นพ้องต้องกัน
บทที่ 830 เห็นพ้องต้องกัน
บทที่ 830 เห็นพ้องต้องกัน
ยิ่งฟังมากเท่าไร สีหน้านายกเหลียงยิ่งน่าเกลียดมากขึ้นเท่านั้น ที่แท้อาจารย์เสิ่นก็ไม่ใช่คนหยุมหยิม แต่มันเป็นความผิดของเหมาเสี่ยวหมิงต่างหาก ถ้าไม่อยู่ไม่กี่วันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก
แต่เจ้าคนนี้ไม่ได้อยู่ที่ฐานวิจัย แถมยังออกไปเที่ยวเล่น ไม่ได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์สักนิด ใช่แล้ว ทุกคนในหมู่บ้าน และหมู่บ้านข้าง ๆ รู้กันหมดว่าเหมาเสี่ยวหมิงไปทำอะไร
ว่ากันง่าย ๆ คือเขาไปนัดพบกับผู้หญิงนั่นเอง
ที่นี่มีทั้งหญิงม่าย และหญิงที่สามีไม่อยู่บ้าน
สรุปแล้วเจ้าเด็กนี้มันไม่ได้ทำเรื่องดี ๆ สักนิด
“นี่มันไอ้พวกอนาจารแล้ว!” นายกเหลียงโมโหมาก
แต่เขากลับลดเสียงลงตอนเอ่ยออกมา
เพราะยังรู้ถึงน้ำหนักของคำพูดดี
เมื่อไม่นานมานี้ก็มีชายคนหนึ่งที่ตำบลข้าง ๆ โดนตัดสินโทษฐานเป็นพวกอนาจาร และจิตผิดปกติ!
ถ้าเขาพูดออกมาเกิดมีคนสนใจเข้า อาจกลายเป็นศัตรูกับเลขาธิการท่านนั้นก็ได้
“โชคดีที่อาจารย์เสิ่นไม่ต้องการเขาเหมือนกันครับ” ลูกชายบ้านอันกระซิบ
เป็นเรื่องจริงที่นายกเหลียงเห็นด้วย
เสิ่นจื่อเจินไม่ต้องการคนแบบนั้นแล้ว เราก็ไม่โทษเขาหรอก!
ใครใช้ให้เจ้าเด็กคนนี้มันทำเรื่องชั่ว ๆ ล่ะ?
สมควรแล้วที่เขาไม่เอา!
“ฉันเข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะหาวิธีจัดการนะ”
ถ้าเลขาธิการรู้ว่าหลานชายทำเรื่องเลวร้ายขนาดนี้ เขาคงไม่ทนเหมือนกันใช่ไหม?
ไม่ว่าหลานชายจะสำคัญมากแค่ไหน ก็ไม่เท่าอาชีพการงานตัวเองหรอก อย่าว่าแต่ชีวิตเขาเลย
เรื่องเหมาเสี่ยวหมิงอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ก็ใช่ว่าผู้เป็นลุงจะไม่ได้รับผลกระทบใช่ไหมล่ะ!
ทั้งสองเดินกระซิบกระซาบกัน คนเดินผ่านไปมาไม่มีใครล่วงรู้ถึงบทสนทนาของทั้งคู่
ลูกชายบ้านอันรู้ดี จึงชี้แจงให้ฟังอย่างชัดเจน
นายกเหลียงได้รู้ในสิ่งที่ควรรู้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือจะทำยังไง
กระทั่งทั้งสองมาถึงฐานวิจัย
ทั้งสามคนเพิ่งจะเข้าบ้านไปได้ครู่หนึ่ง
ตอนกลับมาถึงอันหรงหัวและครอบครัวกำลังจะกินข้าว
เมื่อเช้าพวกเขารู้ว่ากลุ่มอาจารย์เสิ่นจะไปกินข้าวบ้านเลขาอัน เลยทำเฉพาะส่วนของตัวเอง แต่ใครจะรู้เล่าว่าพวกเขากลับมาด้วยสีหน้าที่ไม่เบิกบานใจสักนิด
สองสามีภรรยามองหน้ากัน หรือเลขาอันจะพูดอะไรไม่เข้าหูพวกเขานะ?
ไม่หรอกมั้ง คนแบบเลขาอันไหลลื่นยิ่งกว่าปลาหนีชิวเสียอีก ไปพูดอีท่าไหนถึงทำให้อาจารย์เสิ่นโกรธได้ขนาดนั้น?
ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็กลับมาแล้ว ทำอาหารอีกรอบแล้วกัน
อันหรงหัวให้ลูกกินข้าวก่อน ส่วนตัวเองกับภรรยากลับไปเตรียมอาหารอีกครั้ง ขณะที่กำลังซาวข้าว ก็เห็นลูกชายคนเล็กบ้านอันถือกล่องอาหารมา
“แม่คุณ ไม่ต้องทำแล้วล่ะ มีคนเอาอาหารมาส่งแล้ว”
เขาเดาได้ว่าน่าจะใช่
จากนั้นลูกชายเลขาอันก็รบกวนให้อันหรงหัวช่วยจัดโต๊ะ แล้วหยิบกล่องอาหารออกมา
ในนั้นมีอาหารประเภทเนื้อสัตว์สี่อย่างคือ ไก่ย่างเตาถ่าน ปลาตุ๋นน้ำแดง ปลาไหลผัดน้ำมันพริก และสามชั้นผัดพริกหยวก
เรียกได้ว่าเป็นอาหารที่อยู่ในระดับที่ดีจริงๆ เป็นอาหารจานหลักทั้งนั้นเลย!
เห็นแบบนี้แล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่บ้านเลขาอันล่ะ?
อันหรงหัวคิดแต่ไม่ได้พูดอะไร
“พี่สะใภ้รบกวนเตรียมอาหารจานผักให้อาจารย์แกเพิ่มหน่อยนะครับ จะได้มีสักหก*[1]อย่าง สมกับคำว่าราบรื่นทุกประการครับ!”
ลูกชายบ้านอันรู้จักพูดจริง ๆ ทั้งยังยิ้มแย้มด้วย
ถ้าแยกตามเครือญาติ เขาถือว่าเป็นญาติผู้น้องของอันหรงหัว การเรียกพี่สะใภ้ไม่ถือว่าผิดตรงไหน
อาหารจานผักถ้าอยากทำก็ทำได้นะ แต่ถ้าไม่ทำ เราทำมะเขือเทศคลุกน้ำตาลและแตงกวาฝานได้
เขาเอาวัตถุดิบมาด้วย
พี่สะใภ้ตอบตกลงทันที ก่อนรับตะกร้ามาแล้วเข้าครัวไปจัดการ
นายกเหลียงเดินไปบ้านพักอาจารย์เสิ่น แล้วชวนเขามากินข้าว
เสิ่นจื่อเจินแค่ไม่อยากเห็นคนน่าขยะแขยงอย่างเหมาเสี่ยวหมิงก็เลยต่อต้านมาก จึงรีบออกมา พอมองอาหารอันหรูหราบนโต๊ะก็รู้สึกละอายใจ รู้สิกว่าทำให้เลขาอันเสียเงินไปเสียเฉย ๆ
“วันนี้ผมมาแสดงน้ำใจน่ะ ก็เลยเอาอาหารดี ๆ จากบ้านเลขาอันมาคุยกับอาจารย์เสิ่น” นายกเหลียงเอ่ยด้วยความสุภาพ
ถึงเสิ่นจื่อเจินจะมีสถานะสูงส่งแต่ไม่ได้เป็นคนทะนงตัวขนาดนั้น นายกเหลียงพูดจาเพราะขนาดนี้ เขาจึงปฏิบัติต่อกันอย่างอบอุ่น
ทั้งสองสนทนาพาคุย บรรยากาศกลมกลืนกันมาก
เสี่ยวเถียนรู้สึกสบายใจขึ้นมา แน่นอนว่าทุกคนจะสบายใจกว่านี้ถ้าเจ้าคนน่ารำคาญมันหายไปด้วย
พี่สะใภ้เตรียมอาหารทั้งสองจานอย่างรวดเร็ว เป็นแตงกวาผัดไข่ และรากบัวผัด กรุบกรอบมาก ๆ
หลังจากเอาอาหารมาเสิร์ฟเธอก็ออกไป เหลือแค่คนที่นั่งกินข้าวเท่านั้น
นายกเหลียงไม่ได้พูดให้ชัดเจนเท่าไร แต่บอกเป็นนัยว่าจะแก้ไขปัญหานี้ให้อย่างแน่นอน
เสิ่นจื่อเจินตั้งใจแล้วว่าจะไม่ปล่อยเหมาเสี่ยวหมิงไป ต่อให้ต้องใช้เงินไล่ออกก็ยินดี ทีแรกเขาจะไปหาเบื้องบนเพื่อคุยเรื่องนี้ แต่ในเมื่อนายกเหลียงออกตัวเองจึงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีก
หลังจากแสดงท่าทีออกไป อีกฝ่ายเหมือนจะไม่ได้สนใจเท่าไรนัก แล้วคุยเรื่องอื่นต่อ
หัวข้อสุดท้ายคือเรื่องที่เสี่ยวเถียนจะให้ความรู้ชาวบ้านในทงเหลียงเกี่ยวกับการปฐมพยาบาล
ในเมื่อมีเสิ่นจื่อเจินอยู่ด้วย จึงกำหนดเวลาในการบรรยายความรู้นี้ได้
“ที่จริงเราทำเป็นแผ่นพับให้คนที่มาเรียนเอาไปแจกต่อก็ได้นะคะ ถ้าทำแบบนี้ต่อให้เราไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว คนอื่น ๆ ก็ยังได้รับประโยชน์อยู่ดีค่ะ”
เสี่ยวเถียนคิดว่าเธอไม่สามารถพูดจบได้แค่ในวันเดียวหรอก
คราวนี้เธอเดินทางมาพร้อมกับภารกิจอื่น ไม่มีเวลาให้ห่วงเรื่องนี้หรอกนะ
นายกเหลียงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดีมาก
มันไม่ได้แค่ช่วยชีวิตคนเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นความสำเร็จในด้านหน้าที่การงานด้วย
เขาดีใจจริง ๆ ที่ได้เดินทางมา ไม่งั้นคงพลาดโอกาสดี ๆ แบบนี้ไปแน่นอน
ในเมื่อมันเป็นประโยชน์ต่อประชนชนและตัวเขาเอง นายกเหลียงเบิกบานใจยิ่งนัก
เขาวางตะเกียบลง ก่อนลุกขึ้นโค้งให้เสี่ยวเถียน
การกระทำเหล่านั้นทำเด็กสาวตกใจ
“ท่านนายกเหลียงทำอะไรคะ? ท่านเป็นผู้อาวุโสนะ!”
เสี่ยวเถียนไม่รู้จะพูดยังไงเลย
แกอายุมากกว่าตั้งหลายสิบปี ก้มหัวให้เด็กแบบนี้ไม่กลัวว่าตัวเองจำอายุสั้นหรอกเหรอ?
หลังจากเอ่ยเตือน เหมือนอีกฝ่ายจะนึกขึ้นได้ว่าพฤติกรรมไม่ค่อยเหมาะเท่าไร
เขารีบหาเหตุผลมาอ้าง
“ผมขอขอบคุณคุณหมอในนามของผู้ที่ได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้ในอนาคตน่ะ คุณสมควรได้รับมันนะ! และสมควรได้รับมากกว่านี้ด้วย!”
อาหารมื้อนี้ถือว่าเป็นงานเลี้ยงสำหรับแขกและเจ้าบ้าน แต่เจ้าบ้านดันไม่อยู่ที่นี่
เพราะเลขาอันกำลังปลอบประโลมเหมาเสี่ยวหมิงอยู่ที่บ้าน