เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 85 ไม่ใช่ลูกไอ้หมาหวัง
บทที่ 85 ไม่ใช่ลูกไอ้หมาหวัง
ซูหม่านซิ่วไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปยุ่งเรื่องหั่นหมูหั่นผักและนวดแป้งเลย
เพราะเรื่องราวในวันนี้จึงรู้สึกลำบากใจ แต่ก็คิดว่าในที่สุดก็ได้รับอิสรภาพ จากนี้ไปสามารถเดินหน้าดำเนินชีวิตใหม่ได้แล้ว
ตอนที่คุณย่าซูเดินเข้าประตูมาก เห็นลูกสาวคนโตไม่ได้หยิบจับอะไร ทั้งยังว่างงานอยู่
“ซิ่วเอ๋อร์ ไปทุบกระเทียมไป” ครั้นเห็นท่าทางกังวล ท่านจึงพูดด้วยรอยยิ้ม
ซูหม่านซิ่วรีบออกไปเอากระเทียมจากเปียกระเทียม จากนั้นลงมือปอกเปลือก
เกี๊ยวถูกห่ออย่างรวดเร็ว รสชาติหอมหวาน บรรยากาศภายในบ้านซูดีขึ้นมากและเต็มไปด้วยความปีติสุข
หลังจากคุณย่าซูให้ซูซื่อเลี่ยงนำอาหารสองจานไปส่งที่คอกวัว คนในครอบครัวต่างล้อมโต๊ะทั้งสองแล้วเริ่มกินเกี๊ยว
เมื่อกินข้าวกลางวันเสร็จ เฉินจื่ออันและซูหม่านซิ่วจึงออกเดินทาง
ทั้งสองคนลางานเพื่อกลับมาที่นี่ ดังนั้นจึงต้องรีบกลับไปให้ถึงก่อนค่ำ
ซูหม่านซิ่วรู้สึกไม่เต็มใจ กอดคุณย่าซูพร้อมทั้งร้องไห้อย่างเจ็บปวด
“น้องใหญ่ไม่ต้องร้องไห้ไปนะ หลังจากนี้ถ้าวันหยุดมีเวลาค่อยกลับมาหาก็ได้ หรือถ้าอยู่ในเมืองไม่ได้ก็กลับบ้านเรามา พี่จะเลี้ยงน้องเอง!” ซูเหล่าต้ามองน้องสาวแล้วกล่าว
“น้องใหญ่ นี่เป็นรองเท้าคู่ใหม่ที่ฉันทำจ้ะ เธอเอาไปด้วยสิ ถึงในเมืองแล้วค่อยใส่” ฉีเหลียงอิงเดินมาพร้อมกับรองเท้าคู่หนึ่ง แล้วบอกกับน้องสามี
เหลียงซิ่วหยิบเศษผ้าลายสก๊อตผืนหนึ่งขึ้นมา แล้วยัดใส่กระเป๋าซูหม่านซิ่วโดยตรง “ผ้าผืนนี้ทำเสื้อได้ตัวหนึ่งพอดี ไปถึงที่นู่นแล้ว ถ้าเจออะไรที่ทันสมัยก็ทำเองได้เลย”
หวังเซียงฮวาเดินออกมาพร้อมกระเป๋าใบใหญ่แล้วพูดอย่างร่าเริง “พี่สะใภ้ใหญ่ไม่มีอะไรดี ๆ อย่างอื่นเลย แต่ว่านี่เป็นของที่เด็ก ๆ เก็บได้จากบนเขา เป็นของตากแห้ง กินได้นาน เธอเอาติดตัวไปด้วยเถอะ”
ซูหม่านซิ่วที่เดิมทีไม่สบายใจ หากแต่เมื่อกลับบ้านความรู้สึกเหล่านั้นกลับเจือจางไป
เดิมทีคุณย่าซูเคยคิดจะแอบยัดเงินกับตั๋วให้ลูกสาว แต่ถูกซูหม่านซิ่วปฏิเสธทั้งยังรู้สึกไม่ถูกต้องด้วย แต่พอเห็นพี่สะใภ้นำของเหล่านี้มาให้จึงรู้สึกดีใจยิ่งนัก
เฉินจื่ออันมองดูข้าวของมากมาย แม้กระทั่งผักมากมายหลายชนิด ใบหน้าจึงดำทะมึนขึ้นเรื่อย ๆ
นี่หมายความว่าอย่างไร? กลัวเขาจะไม่ให้ซูหม่านซิ่วกินอิ่มหรือ?
แต่ชายคนนี้ลืมไปเสียสนิทว่าตนไม่ได้เป็นอะไรกับเธอ
“พี่สะใภ้ อยู่ที่โน่นฉันมีเงินเดือนอยู่จ้ะ มื้อกลางวันก็ยังมีกับข้าวให้ด้วย ฉันมีอาหารพอกิน พวกพี่เก็บไว้เถอะ” ซูหม่านซิ่วปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปฏิเสธว่าไม่ต้องการมัน
เธอเองก็มีเงินเดือน จะให้มาขอความช่วยเหลือจากที่บ้านได้อย่างไร
“มันก็ไม่ใช่อาหารจริงจังอะไรขนาดนั้น นี่เป็นของที่เด็ก ๆ เก็บได้จากภูเขา พวกลูกเอาไปกินเถอะ จะได้ช่วยประหยัดค่าอาหารได้” คุณย่าซูพูดทันทีว่า “แม่ไม่ได้ใช้ชีวิตในเมือง แต่ได้ยินคนพูดกันว่าแม้แต่ต้นหอมยังต้องจ่ายเงินเลย”
ซูหม่านซิ่วพูดไม่ออก มองไปทางเฉินจื่ออันที่ไม่เปิดปากพูดอะไรมาตลอด
ถึงเฉินจื่ออันจะมีใบหน้าดำทะมึน แต่นี่เป็นสิ่งที่คุณย่าซูให้ลูกสาว เขาจึงคัดค้านไม่ได้ แล้วช่วยถือตระกร้าเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ
ข่าวที่ว่าลูกสาวคนโตของตระกูลซูหย่าร้าง แพร่กระจายไปในชุมชนอย่างรวดเร็ว
แต่ไม่รอให้คนเข้าใจเรื่องราว ข่าวที่สองก็แพร่กระจ่ายไปทั่วชุมชนอย่างรวดเร็ว
ข่าวว่าลูกสาวคนโตของตระกูลซูหย่า เธอไม่ได้อยู่ดูสีหน้าของพี่สะใภ้ แล้วก็ตามหัวหน้าใหญ่ของอำเภอไปแล้ว
และยังนั่งรถเก๋งพ่นควันไปด้วย!
คนพวกนี้อยู่มาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว เพิ่งเคยเห็นรถยนต์ก็ครั้งนี้ หากแต่ไม่เคยนั่งมาก่อนจะไม่อิจฉาได้อย่างไร
เพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์อันดีงามยังวิ่งมาดูความเป็นไป ทั้งยังถามว่าเกิดอะไรขึ้นที่บ้านซู
แน่นอนว่าคนที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีต่อกันก็มาดูด้วยเช่นกัน แต่แววตาของพวกเขาไม่เป็นมิตร และคิดว่าอยากจะเห็นคนบ้านซูเป็นทุกข์
สุดท้ายแล้วบ้านที่มีลูกสาวหย่าร้าง ก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่ารุ่งโรจน์อะไรหรอก
คุณย่าซูไม่ได้ปิดบังเรื่องหย่าร้างของลูกสาว พูดด้วยน้ำมูกน้ำตาไหลว่าตนเองไม่รู้จักอีกฝ่ายดีพอ และเลือกคู่ครองไม่ดีให้ลูกสาว
หากเพียงแค่ดุด่าทุบตีอาจยังพอแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ลูกสาวของตนถูกทารุณและบีบบังคับให้กระโดดน้ำ ทั้งยังไม่รู้อีกว่าเธอจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร แถมลูกเขยก็ยังแต่งแม่ม่ายเข้าบ้านอีก!
สุดท้ายก็บอกว่าลูกสาวโชคดี เพราะจากกระโดดลงน้ำก็ถูกคนช่วยเอาไว้ แต่สามีตนเองก็แต่งงานกับผู้อื่นไปแล้ว หากไม่หย่าก็ไม่ได้
ผู้คนในชุมชนจึงถามว่า งั้นทำไมซูหม่านซิ่วถึงไม่อยู่บ้านพ่อแม่ล่ะ เป็นหญิงสาวที่หย่าร้างแล้ว แต่กลับวิ่งโล่ออกไปให้ชาวบ้านนินทา
คุณย่าซูถ่มน้ำลาย “อยู่ที่ชุมชน? จะไม่ถูกคนวิจารณ์จนตายหรอกหรือ? พวกแกก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ สมาชิกทุกคนของชุมชนเราล้วนเป็นคนดี ยกเว้นคนขี้นินทาพวกนั้น”
ใบหน้าของสมาชิกที่มาฟังข่าวและเตรียมดูเรื่องตลกพลันเปลี่ยนไป แต่สิ่งที่คุณย่าซูพูดทุกอย่างล้วนเป็นความจริง
ซูหม่านซิ่วเป็นผู้หญิงคนแรกในชุมชนที่หย่าร้างกับสามี หากเธออยู่บ้านจริง ๆ คงจะถูกวิพากษ์วิจารณ์แน่นอน
หากทนไม่ไหวแม้แต่นิดเดียว เธอคงจะไปโดดน้ำฆ่าตัวตายอีกครั้งเป็นแน่
“ป้าซู ถึงอย่างไรหม่านซิ่วก็เป็นผู้หญิง ให้ออกไปอยู่ข้างนอกมันจะดีหรือ? อีกอย่างเธอไม่ได้ทำงานที่ทุ่งด้วย ไม่มีคะแนนทำงาน ถึงตอนนั้นจะกินอะไรขึ้นล่ะ?”
“พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ฉันจะบอกให้ว่าครอบครัวเราได้พบกับผู้มีฐานะสูงส่งเพียงเพราะตอนตาเฒ่าหนุ่ม ๆ ช่วยเหลือคนไว้เยอะ แล้วตอนนี้อีกฝ่ายก็เป็นข้าราชการระดับสูง เขาจึงคิดจะตอบแทนน้ำใจ ครั้นเขารู้เรื่องของบ้านเราก็ให้หม่านซิ่วไปทำงานชั่วคราวภายในเมือง ถึงจะไม่ได้ทำงานที่ทุ่ง แต่ก็ไม่ต้องกลัวอดตายแล้ว”
ตอนที่คุณย่าซูพูดแบบนี้ เธอรู้สึกภาคภูมิใจและไม่ได้เสแสร้งเลยแม้แต่น้อย
ซูเสี่ยวเถียนที่เฝ้าดูจากด้านข้างก็อดชื่นชมอยู่ไม่ได้ ถ้าคุณย่าเกิดช้ากว่านี้สักสิบปีจะต้องได้เป็นนักแสดงอย่างแน่นอน!
เพราะทุกอย่างอยู่ภายใต้การควมคุมของบ้านตระกูลซู ด้วยเหตุนี้คนในชุมชนจึงไม่สนใจเรื่องการหย่าของซูหม่านซิ่วมากนัก
สุดท้ายแล้วก็เป็นตระกูลหวังที่ทำผิด สะใภ้คนใหม่ก็เข้าไปอยู่ในบ้านแล้ว ถ้าซูหม่านซิ่วไม่ได้หย่าจะเกิดอะไรขึ้น?
คงไม่สามารถให้คนสามคนอยู่บนเตียงเตาเดียวได้ใช่หรือไม่? ลูกสาวบ้านซูหย่าแล้วก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีก
สุดท้ายแล้วตระกูลหวังมันไม่ใช่คน เรื่องที่ทำก็ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน!
ตอนนั้นเองที่หลิวซิ่วอิงผลักประตูเข้ามา
“พี่สะใภ้ บอกฉันทีว่าพี่ปล่อยให้หม่านซิ่วหย่าได้อย่างไร? หย่าแล้วใครจะอยากได้เธอล่ะ? คงจะไม่ได้เลี้ยงเธอไปตลอดชีวิตหรอกนะ?”
ถ้อยคำของหลิวซิ่วอิงเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยความสุข
อยู่มาครึ่งชีวิตแล้ว เรื่องนี้ยังเอามากดดันกันได้อีก
คุณย่าซูกลอกตาและไม่ได้พูดอะไร
“พี่สะใภ้ หม่านซิ่วเป็นเด็กดี ไม่แปลกที่บ้านหวังจะไม่บริสุทธิ์ใจ รอเวลาผ่านไปพวกเราค่อยแนะนำครอบครัวดี ๆ ให้เธอกัน” ป้าอู๋พูดปลอบ
“อะไรนะ ยังแต่งงานอยู่อีกหรือ? ผู้หญิงดี ๆ ไม่รับใช้สามีสองคนหรอกนะ จะแต่งงานใหม่ได้อย่างไร?” หลิวซิ่วอิงตะโกนขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ถุย แกคิดอะไรอยู่? แต่งงานใหม่แล้วมันทำไม? ยุคนี้มันยุคใหม่แล้ว! คิดว่าตนเองยังอยู่ในสมัยราชวงศ์ต้าชิงอยู่หรือไง?” คุณย่าซูถ่มน้ำลายสาปแช่ง
“พอดีฉันเห็นว่าซูหม่านซิ่วยังสาวอยู่ พอดีว่าที่บ้านแม่ฉันมีหลานชายที่เพิ่งเสียภรรยาไป แล้วทิ้งลูกไว้อีกสองคนด้วย หากซูหม่านซิ่วเต็มใจ ให้เธอแต่งงานกับเขาได้หนิ” มีคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
หากแต่คุณย่าซูกลับไม่รู้สึกยินดีเท่าไรนัก ทำอย่างกับตัวเธอไม่รู้ว่าสะใภ้ของบ้านยายเฒ่าหลี่ถูกหลานชายคนนั้นโดนทุบตีจนตาย ที่ไม่มีภรรยาก็เพราะถูกเขาทุบตีจนตายอย่างไรเล่า
ตอนนั้นเองคุณย่าซูก้มหน้าลง
ยายหลี่เห็นสีหน้าคุณย่าซูไม่ดีเท่าไรนัก ไม่ใช่ว่าเป็นลูกสาวที่ถูกหย่าร้ากหรอกหรือ? ยังจะเป็นลูกรักได้อย่างไร?
มนุษย์เราควรรู้จักกตัญญูนะ
“ป้าหลี่ สะใภ้คนนั้นถูกหลานชายเธอทุบตีจนตายจริงหรือเปล่า งั้นเธอก็คงไม่มีอนาคตไกลแล้วล่ะ กลับกันเป็นบ้านซูของเราไม่ตบตีหลานคุณจนตายก็คงถูกทุบตีพิกลพิการนั่นล่ะ” ซูเถาฮวาหัวเราะออกมา
ยายหลี่ที่ถูกซูเถาฮวาเอ่ยวาจาเสียดสี สีหน้าบิดเบี้ยวพลันหน้าเกลียดขึ้นเรื่อย ๆ
“ทำไม? ผู้หญิงที่ผู้ชายไม่ต้องการ ยังคิดว่ายังจะแต่งงานได้อีกงั้นหรือ? ถ้าอยากเป็นภรรยาอย่างเป็นทางการ ก็ต้องดูแล้วล่ะว่าโชคดีจะช่วยหรือเปล่า” ยายหลี่เหน็บแนม
“ฉันเลี้ยงลูกสาวมาทั้งชีวิต คงไม่ยกเธอให้กับหลานชายนิสัยแบบนั้นของแกหรอก กลัวว่าลูกสาวของฉันก็ไม่เหลือแม้แต่ล้มหายใจ แกกลับไปเสียเถอะ บ้านเราไม่ต้อนรับคนอย่างแก”
ยายหลี่ถ่มน้ำลาย “ฉันอุตส่าห์มาที่นี่ ไม่ใช่เพื่อดูครอบครัวอันน่าสงสารของแก แต่มาเพื่อช่วยพวกแกต่างหาก ใครจะรู้เล่าว่าว่าพวกแกจะไม่เห็นหัวใครเลย!”
ยายหลี่ลุกขึ้นสะบัดก้นเดินนวยนาดออกไป
เพียงพริบตา คนอื่น ๆ ในชุมชนก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงผู้หญิงที่ยังมีความสัมพันธ์อันดีอยู่คุยเป็นเพื่อนคุณย่าซู
ซูเถาฮวากระซิบ “คุณป้า ฉันมีอะไรจะบอก ฉันไปถามมาแล้ว เด็กในท้องแม่ม่ายนั่นไม่ใช่ลูกไอ้หมาหวังสัตว์เดรัจฉาน”
อะไรนะ?!
คุณย่าซูตระหนกตกใจ
“พูดจริงงั้นหรือ?”
“จะไม่จริงได้อย่างไรล่ะคะ? แม่ม่ายนั่นไม่ได้อยู่กับไอ้หมาหวังคนเดียวเสียหน่อย เธออยู่กับคนอื่นตั้งหลายคน ได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของหัวหน้าทหารอาสาด้วยล่ะค่ะ” ซูเถาฮวากระซิบข่าวที่สืบหามาได้
คุณย่าซูตกใจตนอ้าปากค้าง
ถ้าเป็นเช่นนั้น ไอ้หมาหวังก็ไม่ใช่พ่อที่แท้จริงน่ะสิ?
“ถุย ไอ้หมาหวังสมควรได้รับโทษแบบนั้นแล้ว ลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมือง!” หวังเซียงฮวารู้สึกโล่งใจมากเมื่อได้ยินข่าวนี้ จึงอดหัวเราะลั่นไม่ได้
“ใครว่าไม่สมควรได้รับโทษกัน เพราะไอ้คนที่ไม่ใช่พ่อของลูกแบบนั้นทำให้บ้านเขาแตกแยก สุดท้ายลูกในท้องก็ไม่ใช่ลูกของตน สุดท้ายก็กลายเป็นเพียงแค่ไอ้สารเลวคนหนึ่ง” ซูเถาฮวายิ้มอย่างเยาะเย้ย
“พวกเรามารอดูความสนุกกันต่อเถอะ” เหลียงซิ่วเฉี่ยนกล่าวเคล้ารอยยิ้ม
“ฉันว่าซูหม่านซิ่วก็นับว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดี ไม่ใช่ว่าตอนนี้ไปเป็นคนงานในเมืองหรือ? ถึงจะแค่ชั่วคราว แต่ก็ยังดีกว่าพวกเราที่มีผู้แข็งแกร่งคลุมกะลาหัวไว้นะ?” ซูเถาฮวารีบร้อยด้ายไปด้วย พูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
โชคชะตาเช่นนี้ยากที่จะพูดออกมาจริง ๆ