เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 853 ถนนพัง
บทที่ 853 ถนนพัง
บทที่ 853 ถนนพัง
หลังฝนหยุดฟ้าก็สว่างขึ้น ทัศนวิสัยเองก็ดีขึ้นไม่น้อย ทุกคนเพ่งมองกลุ่มคนมาใหม่ ก่อนจะพบว่าเป็นกลุ่มผู้สูงวัย คนอ่อนแอ ผู้หญิง และเด็ก ๆ แต่ละคนถือตะกร้า กระบอกน้ำ กระบอกไม้ไผ่เต็มไม้เต็มมือ
“พ่อ ทุกคนมาได้ยังไงกันน่ะ?” นายกเหลียงเห็นผู้เป็นบิดาจึงปรี่เข้าไปหาเขา
“เมื่อคืนน้ำท่วมน่ะ ได้ยินว่าแกกำลังดูสถานการณ์อยู่ แต่เราข้ามมาไม่ได้ก็เลยไม่ได้มาช่วยน่ะ”
“ผู้หญิงในหมู่บ้านคิดว่าพวกแกน่าจะทำงานหนัก เลยทำอาหารเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน”
ชายชราอธิบายให้ฟังสั้น ๆ
ตอนทำงานก็ไม่หิวหรอก แต่พอได้ยินว่ามีคนเอาอาหารมาให้ท้องก็เริ่มส่งเสียงประท้วง หลังจากจัดส่งอาหารแล้ว ท่านนายกก็เชิญชวนชาวบ้านมากินข้าว แล้วค่อยให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน
บางส่วนโบกมือลา บางส่วนอยู่ต่อเพื่อกินข้าว
คนจากปลายน้ำเห็นว่าคนต้นน้ำเต็มใจมาช่วยกันหลายคน จึงเตรียมไข่ต้ม ไข่เค็ม ซาลาเปาไส้เนื้อ ซาลาเปาไส้ผัก และข้าวปั้น บางบ้านก็เตรียมน้ำขิงไว้เป็นพิเศษด้วย
เราต้องดื่มน้ำแข็งใส่น้ำตาลทรายแดงเพื่อบรรเทาหวัดหลังฝนตก จะได้ไม่ป่วยง่าย
ทุกคนกินข้าวอย่างมีชีวิตชีวา แม้จะอ่อนล้าแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
โดยเฉพาะชาวบ้านที่อยู่ปลายน้ำ เราได้รับสัญญาณเตือนก่อนจึงสามารถซ่อนตัวอยู่ในบ้านที่สูง ๆ ได้ทันท่วงที
บางบ้านก็ประสบภัยจริง ๆ แต่ไม่มีใครเป็นอะไรมีแค่วัวในบ้านที่ตายเท่านั้น แม้จะมีผู้บาดเจ็บแต่พวกเขาก็ปลอดภัยดี
“มีผู้บาดเจ็บหรือ หนักหรือเปล่า” นายกเหลียงรีบถาม
“ฉันปฐมพยาบาลฉุกเฉินเรียบร้อยแล้วค่ะ ไม่น่ามีปัญหาอะไร”
หญิงสาวตอบด้วยเสียงดังฟังชัด เธอเคยเข้าเมืองไปเรียนเรื่องการปฐมพยาบาลมาก่อนหน้านี้ ไม่คิดเลยว่าจะได้ใช้ความรู้ไวขนาดนั้น
อีกฝ่ายโล่งใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ยังดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิต
พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ต้องขอบคุณคำเตือนจากอาจารย์เสิ่นและสหายทั้งสองท่านเลย
ถ้าไม่มีพวกเขาบอกไว้ ประชาชนที่อาศัยอยู่ตรงนี้คงจะโดนน้ำพัดไปแน่ ๆ หากเป็นแบบนั้นคงไม่ใช่แค่เสียชีวิตหนึ่งถึงสองคนด้วยซ้ำ เผลอ ๆ เขาอาจจะไม่รอดชีวิตเลยก็ได้
นายกเหลียงที่ยังรู้สึกหวาดผวาโค้งขอบคุณคนทั้งสาม
เสิ่นจื่อเจินกำลังบิดน้ำออกจากเสื้อผ้า จึงไม่ทันได้หลบเลี่ยงนายกเหลียงที่โค้งคำนับให้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ลำบากใจที่จะรับไว้จริง ๆ
“อาจารย์เสิ่นรับคำขอบคุณไว้เถอะครับ!” ท่านนายกเห็นอาจารย์จะปฏิเสธจึงรีบดักคอไว้ก่อน
“ถ้าไม่ได้พวกคุณเตือนไว้ เหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมันอาจจะเกิดไปแล้วก็ได้ครับ”
“คุณคือผู้มีพระคุณของพวกเราทุกคนครับ”
เลขาตู้เพิ่งตระหนักถึงสิ่งที่นายกเหลียงบอกได้ “ที่ท่านนายกจะบอกก็คือ ถ้าไม่ได้คุณและสหายทั้งสองเตือนเมื่อเย็น ผลที่ตามมาคงจะเป็นหายนะ”
เสิ่นจื่อเจินรีบร้อนตอบรับอย่างถ่อมตัว พอรู้ว่าคนทั้งสองต้องไปทำงานต่อก็ยิ่งเร่งเร้าให้ไปจัดการ
“พ่อ เดี๋ยวอาจารย์เสิ่นจะกลับไปด้วยนะ บอกชุ่ยอวี้เหนียงให้หาเสื้อผ้าให้กลุ่มอาจารย์เสิ่นเปลี่ยนด้วยล่ะ”
ถ้าให้เลขาตู้พาไปเกรงว่าคงจะกลับมาทำงานไม่ทัน
แล้วพ่อก็มาพอดีเลย คงจะดีถ้าให้เขาพาคนทั้งสามกลับไปแทน
“งั้นไปบ้านผมได้นะ!”
เลขาตู้เอ่ยปากชวนเช่นกัน ถึงปัญหาจะยังไม่ได้แก้ไขดี แต่เขาก็คิดจะกลับบ้านเพื่อไปดูสถานการณ์หมู่บ้านอื่น ๆ ในตำบลด้วย
เสิ่นจื่อเจินยิ้ม “เราทำงานกันมาทั้งคืนน่าจะหิวกันอยู่นะ งั้นเดี๋ยวกินข้าวก่อนแล้วค่อยเอาจักรยานปั่นกลับไปก็ได้นะ ว่าตรง ๆ วันนี้พวกเรามีกำหนดกลับเมืองหลวงน่ะ จะล่าช้าไม่ได้อีกแล้ว”
เสิ่นจื่อเจินยังห่วงอยู่เลยว่าจะกลับได้อย่างราบรื่นหรือเปล่า
แม้ฝนจะหยุดตก แต่น้ำเจิ่งเต็มไปหมดเลย ไม่รู้ว่ารถรับส่งเข้าเมืองจะยังใช้บริการอยู่ไหม
“ผมว่าวันนี้คงเข้าเมืองไม่ได้นะครับอาจารย์” นายกเหลียงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรีบกลับขนาดนี้
เมื่อคืนฝนตกหนักมากเลยทำให้ถนนเสียหาย ไม่สามารถสัญจรได้เลย และที่ที่เราอยู่ก็ไกลจากตัวเมืองด้วย ไม่สามารถเดินเท้าได้เลย
เสิ่นจื่อเจินเหลือบมองเสี่ยวเถียนโดยไม่รู้ตัว เขากับซานกงไม่ได้มีปัญหาอยู่แล้ว ไม่ว่าเราจะกลับไปช้าวันสองวันก็ตาม แต่เสี่ยวเถียนทำไม่ได้ เธอต้องกลับไปให้ทันสอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่สัญญาเอาไว้แล้ว
แล้วถ้ากลับไม่ได้จะทำยังไง พวกเขาจะปล่อยให้เด็กเสียเวลาเพราะตัวเองไม่ได้
“ถนนเข้าเมืองเป็นทางลูกรังเสียหายได้ง่ายมากครับ ฝนตกทีต้องใช้เวลาสองถึงสามวันในการซ่อมแซมเลย” เลขาตู้กล่าวเสริม
ขนาดฝนปกติยังใช้เวลาสองสามวันในการซ่อม นี่ตกหนักผิดปกติ เผลอ ๆ มากกว่าที่บอกด้วยซ้ำ
ขนาดเขาเองยังพูดยากเลย
“เสี่ยวเถียน ลุงแย่เองที่ทำให้หลานเสียเวลา!”
เสิ่นจื่อเจินมองอีกฝ่ายด้วยสายตาขอโทษเป็นอย่างยิ่ง
เขาพาเธอมาเพราะคิดว่าจะพากลับเมืองหลวงไปได้ทัน
เสี่ยวเถียนได้ยินเช่นนั้นก็คิดแล้วว่าคงกลับไม่ทันแล้ว
มหาวิทยาลัยบอกไว้ว่า ถ้ากลับไปสอบไม่ทันจะให้เรียนซ้ำอีกปี
เสียโอกาสมาก
หรือต้องซ้ำชั้นจริง ๆ?
ใบหน้าเธอก้มต่ำ รู้ว่ามันเป็นเหตุการณ์ทางทำธรรมชาติซึ่งไม่สามารถโทษเสิ่นจื่อเจินได้
“หนูตำหนิลุงเขยไม่ได้หรอกค่ะ หนูก็แค่โชคร้าย”
เธอเป็นฝ่ายปลอบเสิ่นจื่อเจินเพื่อไม่ให้เขาคิดมาก
นายกเหลียงและเลขาตู้พอจะเดาได้จากบทสนทนาว่าคุณหมอมีธุระที่ทำให้ต้องกลับจริง ๆ
“คุณหมอรีบร้อนแบบนี้แสดงว่ามีเรื่องสำคัญใช่ไหมครับ?” เลขาตู้ถาม
ก่อนจะได้อาจารย์เสิ่นอธิบายให้ฟังว่า เสี่ยวเถียนเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยจิ่งเฉิง เขายืมตัวเธอมาช่วยงานในครั้งนี้ และอธิบายถึงข้อกำหนดที่ทางมหาวิทยาลัยบอกไว้ด้วย
ทุกคนเงียบสนิท
เสี่ยวเถียนฝืนยิ้ม “จริง ๆ มันก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นหรอกค่ะ ยังไงหนูก็ยังเด็กอยู่ ต่อให้เรียนซ้ำอีกปีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
ก็แค่เสียเวลาไปปีเดียวเท่านั้น