เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 854 เกวียนวัวเข้าเมือง
บทที่ 854 เกวียนวัวเข้าเมือง
บทที่ 854 เกวียนวัวเข้าเมือง
ถึงเสี่ยวเถียนจะอยากร้องไห้มากแค่ไหนแต่เธอรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์ กลับไม่ได้ก็คือกลับไม่ได้ สู้เผชิญหน้าอย่างสงบดีกว่า บางทีมหาวิทยาลัยคงเต็มใจให้โอกาสเธอในการสอบใช่ไหม
ถ้าทำได้ก็ไม่ต้องซ้ำชั้นสินะ?
ในวันที่สามพวกเรารีบกลับเข้าเมือง ไม่ใช่เพราะถนนเปิดใช้งานได้แล้ว แต่คนในหมู่บ้านบอกให้นั่งเกวียนวัวไปแทน แต่ใช้เวลาค่อนข้างนาน ต้องใช้เวลาหนึ่งจึงจะถึง ขากลับอีกวันรวมเป็นสองวัน
ชาวบ้านเห็นว่าเสี่ยวเถียนช่วยเหลือพวกเราเอาไว้เยอะ จะปล่อยให้เธอเสียเวลาต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
สุดท้ายก็เตรียมเกวียนวัวเอาไว้แล้วพาทั้งสามเข้าเมืองไป ที่จริงถ้าเป็นคนในหมู่บ้านปั่นจักรยานไปจึงจะสะดวกสุด ถึงจะช้าหน่อยแต่ด้วยพละกำลังของมนุษย์ ก็ยังเร็วกว่าเกวียนวัวมาก ยิ่งเป็นคนหนุ่ม ๆ ร่างกายแข็งแรง จะทำความเร็วได้ค่อนข้างดี
เราสามคนขนสัมภาระและของดี ๆ ที่ชาวบ้านเอามาให้ มีของจำพวกแตงที่ปลูกในท้องถิ่น อาหารที่ใช้เวลาทำนานเช่นอาหารแห้ง ข้าวปั้น ไข่ ไข่เค็ม และอีกมากมาย ของพวกนี้ให้พวกเราไว้กินระหว่างทาง
ขนาดของแค่นี้ยังบรรทุกขึ้นจักรยานไม่ไหวเลย เรายังได้ข้าวมาเพิ่มอีกเพราะมีคนได้ยินว่าเสิ่นจื่อเจินชอบมันมาก
ห้าจินของเรากับเขามันไม่ได้ต่างกันมาก แต่น้ำหนักก็เยอะไม่น้อยนะ!
บนเกวียนวัวมีที่นั่งของเราสามคน และข้าวสี่ห้าถุงใหญ่น้ำหนักร่วมสี่ห้าร้อยจิน แต่จะไม่เอามาก็ไม่ได้ เพราะชาวบ้านนับถือเสี่ยวเถียนมาก
ทั้งเรื่องการปฐมพยาบาลที่ใช้เวลาไม่กี่วันกลับสามารถช่วยชีวิตคนนับสิบชีวิต แล้วจะไม่ให้เอาข้าวของเรามาให้พวกเขาได้ยังไง
เราเก็บไว้ก็เพื่อดำรงชีวิต
แต่ข้าวไม่กี่จินจะตอบแทนน้ำใจได้หรือ
แต่ชาวบ้านบอกว่าข้าวปีนี้ยังไม่ได้สีเลย ไว้ข้าวใหม่มาจะส่งไปให้
ทั้งสามคนขึ้นเกวียนวัวท่ามกลางความคึกคัก
เกวียนเคลื่อนตัวช้า ๆ และมุ่งหน้าเข้าเมือง ส่วนคนขับไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นสองลูกพี่ลูกน้องอย่างอันหรงเสวียและอันหรงหัว
คนทั้งสองติดต่อกับกลุ่มเสิ่นจื่อเจินมากที่สุด จึงเหมาะสมที่สุดจะเป็นคนไปส่งพวกเขา พวกเราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืด และไปถึงสถานีรถไฟห้าโมงเย็น
ช่วงเที่ยงเราพักผ่อนที่ใต้ต้นไม้
เสี่ยวเถียนลงเกวียนมาได้ก็กระโดดทันที
เธอเคยนั่งเกวียนนะ แต่มันก็นานมาก ๆ แล้ว แถมเส้นทางที่กระแทกกระทั้นทำก้นชาไปหมดทั้งแถบ
เพื่อที่จะได้เข้าเมืองให้ไวที่สุด เธอทำได้แค่อดทนเอาไว้
อันหรงเสวียและอันหรงหัวเห็นความโศกเศร้าบนใบหน้าเด็กสาว
“คุณหมออดทนหน่อยนะ เราจะไปถึงในไม่ช้า เวลานั่งเกวียนมันไม่สบายตัวน่ะ”
จริง ๆ นะ เวลานั่งก้นจะชามากเลย ยืดขาก็ไม่ได้ ทำได้แค่ขัดสมาธิเท่านั้น ถ้าครู่เดียวก็ว่าไปอย่างแต่นี่ใช้เวลานานมาก ขาทั้งสองข้างจะรับไม่ไหวเลย
ความรู้สึกชาไม่มีใครชอบหรอกนะ
เสี่ยวเถียนกระโดดขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่สองสามนาทีกระทั่งรู้สึกดีขึ้น และยืดเส้นยืดสายสักพัก
ฝั่งเสิ่นจื่อเจินสงบหน่อยตรงที่เดินไปเดินมาเท่านั้น
อีกห้านาทีต่อมาทุกคนเริ่มกินข้าวปั้นที่หลี่กุ้ยฮวาทำให้
เสี่ยวเถียนเตรียมชาผลไม้กินคู่ไว้เมื่อเช้า รสชาติดีทีเดียว
“รสเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ อร่อยจัง”
อันหรงหัวจิบไปอึกก่อนจะยกยิ้ม
“อร่อยอยู่แล้ว ใส่น้ำตาลเยอะด้วยไง” อันหรงเสวียเห็นด้วย
“ชาอันนี้ไม่มีน้ำตาลนะลุงหรงเสวีย ใช้แค่ความหวานจากผลไม้เลยค่ะ” เสี่ยวเถียนอธิบาย
การจับคู่ผลไม้หลาย ๆ ชนิดเข้าด้วยกันจะเพิ่มรสชาติได้
ถ้าชอบหวานก็ใส่ผลไม้ที่มีรสหวาน ถ้าชอบเปรี้ยวก็ให้ใส่ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว
แล้วถ้าไม่ชอบทั้งสองรสนี้ ก็ใส่ผลไม้รสจืดลงไป
“จริงหรือ? รสชาติดีจริง ๆ นะ เดี๋ยวกลับไปให้ภรรยาทำบ้างดีกว่า”
เสี่ยวเถียนยิ้ม อันหรงเสวียเป็นคนดีจริง ๆ พอได้ชิมของอร่อยแล้วนึกถึงภรรยาเป็นคนแรกเลย
“กลับไปลองก็ได้นะคะ ป้ากุ้ยฮวาน่าจะชอบ!”
พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมง
ทุกคนกลับขึ้นเกวียนและเดินทางต่อ
ถนนลูกรังได้รับความเสียหายมาก มีคนมาซ่อมกันเพียบเลย
เสี่ยวเถียนประเมิน น่าจะใช้เวลาสามสี่วันถึงจะเสร็จ
ยังดีมีเกวียนวัวพาไป ถ้าต้องรอแบบนี้ป่านนี้ตลาดวายหมดแล้ว
เมื่อเข้าใกล้เมืองหลวงสภาพถนนก็ดีขึ้น ความเร็วเพิ่มขึ้นด้วย
แต่กว่าจะถึงก็ห้าโมงยี่สิบแล้ว
“ดีมาก ๆ ตามทันแล้ว!” อันหรงเสวียปาดเหงื่อและถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขารีบเร่งมาตลอดเพราะกลัวจะมาไม่ทันรถไฟ
โชคดีมาทัน!
“อาจารย์เสิ่นพวกเรารีบไปกินบะหมี่สักถ้วยแถว ๆ นี้เถอะครับ” อันหรงหัวว่า
เพราะต้องอยู่บนรถไฟอีกหลายวัน คาดว่าคงไม่ได้กินของร้อน ๆ หรอก
เสิ่นจื่อเจินดูเวลา “ผมไปซื้อตั๋วก่อนดีกว่า พวกคุณรอเราอยู่ที่นี่นะ”
เขาตั้งใจจะกินเหมือนกัน ขึ้นรถเมื่อไรคงไม่ได้กินอาหารร้อน ๆ แล้ว แถมสองพี่น้องคู่นี้ยังพาเรามาส่งอีก สมควรแก่การเลี้ยงข้าวสักมื้อนะ เสิ่นจื่อเจินไม่ได้พูดออกไป อีกฝ่ายก็ไม่รับรู้แค่พยักหน้ารับคำเท่านั้น
ทั้งสามเดินไปยังช่องจำหน่ายตั๋ว
โชคดีที่มีรถรอบทุ่มครึ่งไปเมืองหลวง แต่เรามาซื้อตอนนี้คงจะมีแค่ตั๋วยืนเท่านั้น ไม่ว่าจะยุคไหนรถไฟเป็นการเดินทางที่ได้รับความนิยมเสมอ
ขนาดสองปีก่อนก็ยังแน่นไปด้วยผู้คนเลย
เหลือเวลาอีกเพียงสองชั่วโมงก่อนที่รถไฟจะออก
เสี่ยวเถียนลืมไปเสียสนิทว่าในยุคนี้ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้
เราต้องมีจดหมายแนะนำจากหัวหน้าเพื่อซื้อตั๋วนอน และคนส่วนใหญ่ไม่ผ่านคุณสมบัติข้อนี้
เวลาเดินทางไปทำธุรกิจ พวกเขาไม่มีสิทธิ์ซื้อตั๋วนอนทั้งนั้น จึงทำได้แค่ซื้อตั๋วนั่ง
และเป็นผลให้ตั๋วนั่งหมดก่อนทุกที
ตอนเรามาถึง ที่ช่องนั่นมีหญิงวัยกลางคนขายตั๋วด้วยสีหน้าเฉยเมย
เธอคุ้นเคยกับการแสดงออกนี้ดี
ในยุคนี้ไม่ว่าใครก็ทำแบบนี้ทั้งนั้น ต่างจากยุคหลัง ๆ ที่มองว่าลูกค้าคือพระเจ้า
เสิ่นจื่อเจินไม่สนใจ เขามาหาตั๋วเท่านั้น ไม่สำคัญหรอกว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีที่ดีหรือไม่
“สหาย เราจะไปเมืองหลวงน่ะ มีตั๋วเหลือไหมครับ?”