เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 856 บทเรียนอันทรงพลัง
บทที่ 856 บทเรียนอันทรงพลัง
บทที่ 856 บทเรียนอันทรงพลัง
ชายหนุ่มคาดไม่ถึงกับสถานการณ์ที่มีคนเอ่ยเยินยออีกฝ่ายขนาดนี้ และมีผู้ชมโดยรอบต่างปรบมือชื่นชม นี่มันเหมือนตบหน้ากันชัด ๆ เลยไม่ใช่หรือไง ตบหน้าตัวเองก็ว่าไปอย่าง แต่ตบหน้าตาแก่ที่บ้านด้วยนี่สิ
เขายอมไม่ได้ ตาแก่มีส่วนร่วมในการปฏิวัติและต่อสู้ในศึกนองเลือดนะ
น่านับถือกว่าชายตรงหน้าที่รู้แต่เรื่องทำฟาร์มไม่ใช่หรือไง
“หมายความว่ายังไง พวกคุณรู้ไหมว่าปู่ฉันเป็นใคร บอกไว้ก่อนเลยนะ ปู่ฉันคืออดีตวีรบุรุษที่เคยอยู่ในสนามรบ!” ชายหนุ่มตะโกนใส่ทุกคนด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็มองเขาด้วยสายตารังเกียจ
เสี่ยวเถียนทนไม่ไหวเมื่อชายหนุ่มตรงหน้าไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
หลายปีมานี้อาจารย์เสิ่นทำงานหนักมากเพื่อวิจัยเรื่องนี้ เขาแก่ลงกว่าตอนอยู่หนานหลิ่งเยอะเลย ถึงจะไม่มีใครชื่นชมแต่ก็ไม่ควรโดนคนอื่นใส่ร้ายสิ
“คุณคงคิดว่าบรรพบุรุษได้สร้างผลงานเอาไว้ก็เลยคิดจะพึ่งพามันสินะ แต่คงลืมไปว่าสิ่งเหล่านั้นมันก็เป็นเพียงร่มเงาให้เรา และอนาคตของเราก็ต้องพยายามด้วยตัวเองสิ”
“ถ้าเรายืนหยัดเองไม่ได้ก็คงไม่สามารถเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อสังคมได้หรอก แถมยังกลายเป็นไอ้พวกโง่เง่าอีกด้วย ต่อให้ร่มเงาบรรพบุรุษมีมากแค่ไหนก็คงไม่สามารถปกป้องเราไปได้ตลอดชีวิตหรอก”
คำพูดอันคมคายแทงใจดำทุกคน
จากนั้นก็มีชายชราคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง
“พ่อหนุ่ม ไม่ว่าปู่เธอจะเป็นใคร สิ่งสำคัญคือเธอคู่ควรกับการเป็นหลานชายของเขาหรือเปล่าเท่านั้นละ”
“ฉันเห็นด้วยกับคำพูดสาวน้อยนะ เพราะเป็นคนที่อาจารย์เสิ่นสอนมาจึงพูดจาได้งดงาม และทรงพลังมาก”
“เด็กคนนี้เข้าใจอะไรหลายอย่าง แต่พ่อหนุ่มแบบเธอโตขนาดนี้แล้วทำไมไม่เข้าใจเลยล่ะ? คนรุ่นก่อนต่อสู้ในสนามรบเพื่อแลกเกียรติยศที่ได้มาอย่างยากลำบากกลับมานะ อย่าใช้มันอย่างสุรุ่ยสุร่ายสิ!”
“ผลงานของปู่ก็เป็นของปู่ บรรพบุรุษและผู้คนไม่มีวันลืมเลือน แต่ก็ใช่ว่าจะอวดอ้างว่าเป็นของตัวเองได้ ถ้าอนาคตเธอทำความดีต่อประเทศชาติ นั่นแหละถึงจะควรค่าแก่การโอ้อวด”
“ผลงานของปู่พ่อหนุ่มสมควรแก่การปฏิบัติอย่างดี แต่คนอย่างอาจารย์เสิ่นควรได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่า”
“ในยามสงครามเราเสียเลือดเสียเนื้อ ในยามสงบเรายังต้องบากบั่นทำงานเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศด้วย”
“อาจารย์เสิ่น วันนี้ผมจ่ายค่าตั๋วให้คุณแล้วนะครับ แต่ว่าต้องใช้เอกสารประจำตัวของท่าน เพราะผมซื้อได้แค่ที่นั่งแบบแข็งเท่านั้น”
มีชายหนุ่มคนหนึ่งยิ้มอย่างซื่อสัตย์ และพูดด้วยความละอายใจ
“พ่อหนุ่ม มีประโยคหนึ่งที่อยากฝากไว้น่ะ การหยิบคุณธรรมของผู้อื่นมาเป็นของตัวเอง ระวังผลของการกระทำนั้นนะ! สิ่งสำคัญคือการเป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่การเป็นผู้อื่น”
จากนั้นทุกคนก็มองไปยังชายหนุ่ม
คนโดนมองไม่คิดเลยว่าจะตกเป็นเป้าหมายเพียงเพราะพูดจาแบบนั้น เขาอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็รู้สึกว่าไม่ว่าจะพูดอะไรคนอื่นก็คงไม่สนใจ
เขาไม่เข้าใจ ปู่ต่อสู้ในศึกสงครามก็เพื่อให้ลูกหลานอยู่สุขสบายไม่ใช่หรือ ตอนนี้เขาก็แค่ใช้สิทธิพิเศษของปู่เอง แล้วมันผิดตรงไหน ถึงจะไม่เข้าใจเรื่องนี้ แต่ก็ยังเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี
เขาเงียบไป และไม่ได้รบกวนคนอื่นอีก
ฝูงชนเห็นเขาไม่พูดไม่จาพลันรู้สึกว่าคงจะเปลี่ยนแปลงความคิดได้แล้ว จากนั้นก็เบนสายตาไปยังเสิ่นจื่อเจิน ไม่นึกเลยว่าแค่มานั่งรถไฟ แล้วจะได้เจอกับนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้
จากนั้นก็มีคนจ่ายเงินให้กับป้าคนจำหน่ายตั๋ว ก่อนแกจะคืนเงินให้อาจารย์เสิ่น
ป้าคนจำหน่ายตั๋วไม่รู้จะทำยังไงอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้แต่มองเสิ่นจื่อเจิน
“พี่ชายท่านนี้ ผมขอบคุณสำหรับน้ำใจนะครับ แต่ผมจ่ายค่าตั๋วเองดีกว่า” เสิ่นจื่อเจินปฏิเสธอย่างถ่อมตัว
เขาแค่ทำงานของตัวเอง และทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรมากมายเลย พอได้ยินคำชมเชยเหล่านั้นกลับรู้สึกละอายใจนัก
“อาจารย์เสิ่นมีบุญคุณต่อเรานะครับ ถ้าไม่ได้ท่านเราคงไม่มีข้าวให้กินแล้ว”
“ใช่แล้ว ๆ หลายปีก่อนคนในหมู่บ้านไม่มีอาหารให้กินเลย แค่นึกก็เศร้าใจแล้ว!”
“ถ้าอาจารย์เสิ่นไม่ต้องการให้เราจ่ายค่าตั๋ว งั้นเราขอมอบอาหารและเครื่องดื่มให้แทนจ้ะ”
ทันใดนั้นก็มีหญิงชราคนหนึ่งเอ่ยเสียงดัง และดังพอให้ทุกคนได้ยิน เพียงหนึ่งประโยคก็ปลุกระดมผู้คน และทำให้พวกเขารู้วิธีตอบแทนแล้ว
เสิ่นจื่อเจินรู้สึกแย่กว่าเดิม เขาจะเอาอาหารของคนอื่นมาโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร ทุกคนต้องเดินทาง ข้าวของมีจำกัด ถ้าเขารับไว้คนเดียวคนอื่นก็หิวน่ะสิ
เขาพยายามปฏิเสธแต่ก็ไม่ทันการ
คนนี้มีไข่สองฟอง คนนั้นมีแอปเปิ้ลหนึ่งลูก คนนู้นมีส้มหนึ่งลูก ส่วนคนโน้นก็มีวอลนัตสองลูก นอกจากนี้ยังมีคนมีแป้งทอด ซาลาเปารูปดอกไม้ และอีกมากมาย ทั้งยังยัดขนมไข่ ลูกอมนม นมมอลต์ และอีกหลายอย่างให้เสิ่นจื่อเจินโดยไม่คิดเกรงใจ
แขนของเขาเต็มไปด้วยของหลายประเภท จนไม่เหลือที่วางสักนิด
ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้ให้ของ แต่ว่าไม่รู้ใครเป็นคนแรกที่เห็นสองพี่น้องบ้านซู หลังจากถามว่ามาด้วยกันหรือเปล่า และได้รับคำตอบว่าใช่ พวกเขาก็ยื่นขนมใส่มือเด็กทั้งสองทันที
“เด็กสองคนนี้มาจากครอบครัวอาจารย์เสิ่นใช่ไหม เอาของกินพวกนี้ขึ้นไปกินบนรถไฟด้วยสิ”
“จากนี่ไปเมืองหลวงไม่ใกล้นะ แต่อาจารย์เสิ่นได้ช่วยให้เรามีข้าวกินอิ่ม งั้นเราก็ต้องมอบอาหารให้เขากินอิ่มระหว่างทางด้วย”
“เด็กทั้งสองดูดีตั้งแต่แรกเห็นเลย ได้อาจารย์เสิ่นสอนสินะ”
“ในฐานะที่เป็นเด็กรุ่นใหม่ สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าทำให้ชื่อเสียงของผู้อาวุโสต้องย่อยยับนะ ถ้ามันถูกทำลายโดยคนรุ่นหลัง ๆ เราคงเป็นกังวลมาก ๆ เลย”
“ห้ามทำลายชื่อเสียงอาจารย์เสิ่นเหมือนที่บางคนทำกับบรรพบุรุษเชียวล่ะ”
“สาวน้อย ดูแลอาจารย์เสิ่นระหว่างเดินทางด้วยนะ อย่าให้ท่านต้องหิว!”
ชายหนุ่มคนนั้นรู้สึกละอายใจหลังจากได้ยินประโยคมากมายเหล่านี้ จำได้ว่าเมื่อก่อนคนชื่นชมปู่เยอะมาก แต่หลัง ๆ มานี้เหมือนจะลดลง เพราะคิดว่าแม้เวลาผ่านไปคนก็จะยังไม่ลืมคุณความดีของปู่ แต่เหมือนจะไม่ใช่เสียแล้ว
จากนั้นเขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
ชายหนุ่มมองเอกสารประจำตัวปู่ในมือ และตระหนักได้ว่าตนเองเป็นคนผิด คนพวกนี้ได้สอนบทเรียนให้กับเขา ผลงานของปู่มันก็คือของปู่ แต่ตัวเขากลับไม่ทำอะไรเลย คิดจะพึ่งใบบุญจากท่าน แล้วสักวันหนึ่งมันก็ต้องหมดลง
เขาดูถูกอาจารย์เสิ่นที่เป็นชาวนา แล้วตัวเขาล่ะ?
หลายปีที่ผ่านมาปู่ไม่ได้รับความเคารพและบูชาจากคนรอบข้างอีกแล้ว ว่ากันตรง ๆ คือ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาอีกด้วย
หลังเรียนจบมัธยมปลายเขาไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ไม่มีสิ่งที่ประสบความสำเร็จนอกจากเที่ยวเล่นไปเรื่อย
เขาล้มเหลวในการเป็นหลานชายที่ปู่ภาคภูมิใจ และกลายเป็นหลายชายที่นำความอับอายมาให้ แล้วมีสิทธิอะไรมาอวดเบ่งที่นี่?
จู่ ๆ ก็เหมือนเห็นสีหน้าผิดหวังของผู้เป็นปู่ ถึงจะไม่เคยสังเกตเห็นมันมาก่อน แต่ลึก ๆ ในความทรงจำ ความผิดหวังในแววตายังตราตรึงเสมอ
ชายหนุ่มหลั่งน้ำตา พลางกำหมัดแน่น
คนพวกนี้ได้สอนบทเรียนอันลึกซึ้งแก่เขา และทำให้เขาเข้าใจในสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน สุดท้ายชายหนุ่มก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก ทำเพียงแค่โค้งคำนับแล้วหันหลังจากไปเงียบ ๆ
ฝั่งกลุ่มเสี่ยวเถียนที่โดนรายล้อมไปด้วยผู้คนไม่ได้สังเกตเห็นเขาเลย และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุการณ์วันนี้ได้เปลี่ยนชีวิตที่เหลือของชายหนุ่ม จากคนไร้ค่าให้กลายเป็นคนมีประโยชน์ต่อสังคม!