เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 862 ลงมือไม่ได้
บทที่ 862 ลงมือไม่ได้
บทที่ 862 ลงมือไม่ได้
ผลลัพธ์เป็นไปตามหวัง หลังจับชีพจรก็สามารถบอกได้ว่าเสิ่นจื่อเจินไม่เป็นอะไรมาก ตอนนี้ทุกอย่างทำให้เธอวางใจได้แล้ว ในที่สุดก็สบายใจได้เสียที ถ้าลุงเขยไม่เป็นอะไร พี่สามก็คงไม่เป็นอะไรเช่นกัน
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะใช้ยาแบบไหน แต่มันจะส่งผลต่อคนป่วย และคนอ่อนแอกว่าก่อนเสมอ เทียบระหว่างสองคนนี้ เสิ่นจื่อเจินมีร่างกายที่อ่อนแอกว่าเยอะจึงมีแนวโน้มที่จะได้รับอันตรายมากกว่าแน่นอน
“เสี่ยวเถียน ร่างกายลุงเป็นยังไงบ้าง?”
เห็นหลานสาวทำหน้าเคร่งขรึม เขาอดเป็นกังวลไม่ได้ว่ามันจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขา เขาไม่ได้กลัวว่าจะตายนะ แต่กลัวว่าจะทำการวิจัยต่อไปไม่ได้ต่างหาก
สองปีที่ผ่านมาเขารู้ตัวว่าร่างกายทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากได้เสี่ยวเถียนมาช่วยดูแลร่างกายจึงค่อย ๆ ฟื้นฟูดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะอยู่บนรถไฟก็ไม่ได้เหนื่อยล้ามาก
เขาคิดว่าถ้าทำตามที่หลานบอก สุขภาพจะดีไปอีกนาน ยังเคยคิดจะให้เสี่ยวเถียนทำรายการอาหารให้ด้วยซ้ำ แต่มันจะไม่พังทลายเพราะโดนมอมยาใช่ไหม?
“ลุงเขยไม่ต้องกังวลนะคะ ร่างกายของคุณลุงยังปกติดีอยู่ค่ะ พอดีหมอนี่มันขี้เหนียวก็เลยไม่ได้ใช้ยาในปริมาณมากค่ะ”
เสี่ยวเถียนเหลือบมองคนโดนมัดด้วยสายตารังเกียจ ทำชั่วทั้งทียังจะมางกอะไรตอนนี้ล่ะ มันไม่ได้ช่วยให้ตัวเองมีคุณธรรมขึ้นมาหรอกนะ!
อีกฝ่ายรู้สึกเสียใจ รู้แบบนี้คงใช้ให้มากกว่านี้คงดี และไม่ว่ายานั่นจะมีค่ามากแค่ไหน แต่เรายังหาซื้อใหม่ในภายภาคหน้าได้ แต่เขากลับใช้มันนิดหน่อยเลยพลาดเป้าเสียอย่างนั้น
ไม่ใช่แค่ล้มเหลวนะ แต่ยังโดนหัวเราะเยาะอีก
ต้องมาโดนเด็กผู้หญิงเยาะเย้ยใส่มันน่าอับอายเป็นที่สุด ไม่แปลกใจที่มีคนบอกตลอดว่า ความขี้เหนียวของตัวเองจะนำไปสู่ความฉิบหาย ที่แท้มันก็คือแบบนี้เองสินะ
ถ้ามีโอกาสอีกสักครั้ง เขาจะไม่ผิดพลาดซ้ำสองอีกแล้ว และจะไม่ขี้เหนียวอีกด้วย
เสิ่นจื่อเจินได้ฟังคำตอบจากหลานก็โล่งใจ ขอแค่ไม่ส่งผลต่อร่างกายมากนักก็พอ เขาแก่แล้วแต่ยังต้องทำงานเพื่อประโยชน์ของคนในประเทศอยู่
ขณะกำลังคุยกันก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในตู้โดยสาร เธอเดาได้เลยว่าพี่สามกลับมาแล้ว แต่เราต้องเปิดไฟก่อนเนี่ยสิ มันลำบากมากนะที่จะแก้ปัญหาในความมืดแบบนี้ แถมยังรบกวนผู้โดยสารห้องอื่น ๆ ด้วย
ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นคนแบบไหนกัน
ทางเสิ่นจื่อเจินกำลังมองคนที่โดนมัดอยู่
เขาโดนมัดเหมือนบ๊ะจ่างเลย และบริเวณที่โดนเชือกพันยังดูยุ่งเหยิงแปลก ๆ ท่าทางจะทรมารมากสินะ ถึงจะไม่เก่งเรื่องนี้แต่คิดว่าอีกฝ่ายคงจะแงะตัวเองออกมาจากสภาพนั้นลำบากพอตัว
แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจเสียหน่อย เขาต้องการดูหน้าว่าใช่คนรู้จักหรือเปล่าเท่านั้น เสิ่นจื่อเจินเพ่งมองอย่างจริงจัง และมั่นใจว่าตนเองไม่รู้จักผู้ชายคนนี้
“ลุงเขยรู้จักไหมคะ?” เสี่ยวเถียนถามด้วยความประหม่า
แกรู้สึกสงสัยอะไรหรือเปล่านะ?
แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหัวเบา ๆ
เขาอาจจะคิดมากไป คงไม่ใช่คนในประเทศหรอก ต่อให้เราเป็นคู่แข่งกันแต่สิ่งเดียวที่ไม่แปรผันคือเราทำเพื่อปากท้องของคนในประเทศ ความเป็นไปได้เดียวคือกองกำลังต่างชาติเข้ามาแทรกแซง!
ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะยกย่องตนขนาดนี้
เสี่ยวเถียนเสียใจกับผลลัพธ์นี้มาก ถ้าเสิ่นจื่อเจินบอกได้ว่าใครกำลังหมายตาผลการวิจัยอยู่ ทุกอย่างคงจะจัดการง่ายขึ้นกว่านี้ เพราะอย่างน้อยก็รู้ตัวคนทำ
ชายที่โดนมัดรู้สึกไม่ปลอดภัยมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากไฟเปิดขึ้นก็พยายามบิดตัวไปมาราวกับจะให้หลุดจากพันธนาการ แต่มันทำอะไรไม่ได้เลย เพราะเสี่ยวเถียนมัดไว้แน่นจนเชือกไม่ขยับแม้แต่น้อยเลย
ต่อให้ดิ้นมากเท่าไรก็ไม่มีผลสักนิด มีแต่จะโดนเชือกบาดไปตามร่างกาย
เสิ่นจื่อเจินอดเห็นใจเขาไม่ได้ ใช้เชือกป่านเส้นหน้ามัดขนาดนี้ ขนาดสัตว์ยังดิ้นไม่หลุดเลย นับประสาอะไรกับคนล่ะ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ทำลายเชือกนี่ไม่ได้หรอก
เดี๋ยวนะ เชือกป่านหรือ?
เสิ่นจื่อเจินเกิดความสงสัยในใจ เสี่ยวเถียนถือของแบบนี้ไปไหนมาไหนด้วยหรือ ไม่หรอกมั้ง ใครที่ไหนจะแบกเชือกเวลาไปไหนมาไหนด้วยล่ะ ถึงเสี่ยวเถียนจะมีกระเป๋าเดินทางค่อนข้างเยอะ แต่มันไม่มีเชือกเลยนะ
เด็กสาวเห็นลุงเขยจ้องเชือก ก็รู้ตัวแล้วว่าตนทำการโดยประมาทเกินไป เธอแลกมันมาจากร้านในระบบ แล้วก็ลืมไปว่าตอนนี้เราอยู่บนรถไฟ จะบอกว่าเป็นของพิเศษที่เอามาฝากไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ไม่ว่าจะเอาอะไรกลับมาได้ แต่ก็คงไม่มีใครเอาเชือกป่านเส้นเดียวกลับมาหรอกใช่ไหมล่ะ?
ไม่ได้การแล้ว ต้องรีบจัดการเรื่องนี้โดยเร็ว
เธอขบคิด ก่อนจะหาทางเอาตัวรอดสำเร็จ
“ถึงจะโดนมอมยาแต่ว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อร่างกายลุงเขยมากนักค่ะ แต่ว่าร่างกายลุงเขยทรุดลงเพราะความกังวลที่สั่งสมมาหลายปี ไว้กลับไปถึงหนูจะจ่ายยาให้นะคะ แต่ลุงเขยจะทำกิจวัตรแบบเดิมไม่ได้แล้วนะ”
เสี่ยวเถียนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเสิ่นจื่อเจิน
เสิ่นจื่อเจินยิ้มเมื่อได้ยินคำสั่งสอนจากหลานสาว จากนั้นก็ส่ายหัวเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู ช่วงนี้เขาได้ยินเธอพูดประโยคนี้จนชินไปเสียแล้ว แถมยังไม่รู้สึกรำคาญเลยสักนิด
เพราะเธอทำเพื่อประโยชน์ของเขา ถ้าไม่คิดว่าเป็นครอบครัวเดียวกันก็คงไม่ได้ยินคำพูดจริงใจแบบนี้หรอก
เสี่ยวเถียนลอบถอนหายใจ
ช่างเถอะ ไว้ค่อยหาวิธีอื่นแล้วกัน มันยากที่จะให้คนวิจัยเรื่องนี้ไม่ต้องห่วงเรื่องการงานน่ะ
ลุงเขยใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อทำการวิจัยอันยิ่งใหญ่เชียวนะ
ตอนนี้เราเลยเบนความสนใจจากเชือกป่านสำเร็จแล้ว พลันได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอกเหมือนจะเกิดความเคลื่อนไหวขึ้นในตู้โดยสาร แต่มันไม่ค่อยดังนัก แสดงให้เห็นแล้วว่าคนในตู้นี้มีจำนวนน้อย และถึงจะมีเสียงฝีเท้าก็ไม่ได้ดังรบกวนอะไร
แบบนี้แหละดีแล้ว
ทันทีที่ไฟเปิดเธอก็รู้แล้วว่ามันจะต้องสร้าคงวามตื่นตกใจให้คนอื่น ๆ แน่นอน
จะดีกว่ามากถ้ามีคนน้อยน่ะ
ไม่รู้มีคนสมรู้ร่วมคิดกับหมอนี่ในขบวนด้วยหรือเปล่า ถ้าเกิดมีขึ้นมา พวกมันจะสร้างปัญหาเพื่อช่วยเหลือกันไหม
การจะจับคนร้ายมันไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าไม่สามารถเสาะหาขุดคุ้ยไปถึงตัวการใหญ่ได้ แบบนี้คนอื่น ๆ จะไม่ผิดหวังเอาหรือ?
แต่เสี่ยวเถียนรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะต้องจัดการ เพราะฉะนั้นแล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เถอะ หลังจากทำหน้าที่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องแล้ว เธอก็กลับไปทำตัวตามเดิมได้
ขณะที่จิตใจกำลังสับสนปนเป ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับร่างของพี่สาม ข้างหลังเขามีเจ้าหน้าที่สองนายตามมาด้วย
พวกเขาสวมชุดตำรวจรถไฟ เหมือนกับเสื้อผ้าของพวกเหล่าหลิว เทียบกับเครื่องแบบทางการนั่นแล้ว สองคนนี้ดูมีความสามารถและแข็งแกร่งนัก ที่สำคัญคือใบหน้าจริงจังทำให้รู้สึกว่าเชื่อถือได้
“คุณเจ้าหน้าที่ครับ คนนี้คือคนที่บุกเข้ามาในห้องเรากลางดึกครับ เขามีเจตนาจะขโมยของของเรา”
ซานกงอธิบายสั้น ๆ และไม่ได้บอกว่าอีกฝ่ายมาขโมยอะไร แต่บอกได้เลยว่าไม่ใช่เงินแน่ ๆ
พวกเจ้าหน้าที่รู้ถึงตัวตนของคนที่พักอยู่ในห้องนี้ เขาคือนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยเมล็ดพันธุ์
สิ่งที่อีกฝ่ายถือไว้ในมืออาจสำคัญต่อประเทศชาติ และเป้าหมายที่เจ้านี่มันจะขโมยไปคงไม่ใช่เรื่องเงินแน่นอน
หากมันมาเพื่อเงินจริง ๆ ก็ไปหาคนอื่นที่ตู้โดยสารอื่นสิ คนตั้งเยอะแยะ ได้ผลดีกว่านี้แน่นอน
เพราะงั้นสายตาของสหายตำรวจจึงมีความระแวดระวังมากขึ้น
ไม่แน่ว่าเราอาจจะจับปลาตัวใหญ่ได้
“ท่านไม่ต้องห่วงนะครับ พวกเราจะจัดการให้อย่างดีเลย” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอ่ยอย่างนอบน้อมมาก “เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของเราเองที่ปล่อยให้คนแบบนี้เข้ามารบกวนในเวลาพักผ่อนแบบนี้ ต้องขอโทษจริง ๆ ครับ”
แน่นอนว่าเขาเอ่ยต่อเสิ่นจื่อเจิน
นี่คือเสาหลักที่แท้จริงของประเทศ เหล่าหลิวยังเน้นย้ำเป็นพิเศษว่าต้องปกป้องอาจารย์เสิ่นให้ดี
แต่ใครจะรู้ล่ะว่าความประมาทเพียงเล็กน้อยกลับนำไปสู่หายนะ
โชคดีที่กลุ่มอาจารย์เสิ่นระวังและรอบคอบมาก ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่มีโอกาสให้เสียใจ
ท่าทางของเจ้าหน้าที่ดีมากจนเสี่ยวเถียนละอายใจ
พี่ตำรวจหล่อเหลาทั้งสองทำให้รู้สึกเป็นกันเองมาก แถมยังอ่อนโยนเหมาะกับเป็นตำรวจของประชาชนจริง ๆ
“พวกคุณเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าผู้โดยสารคนไหนเป็นคนไหน มันไม่ใช่ความผิดพวกคุณแต่แรกแล้วครับ”
เสิ่นจื่อเจินยิ้มอ่อนโยน และพยายามปลอบใจ
“ใช่ค่ะ พวกหัวขโมยมันไม่ได้เขียนคำว่าขโมยไว้บนหน้าผากนะคะ ต่อให้พวกพี่นึกเอะใจแต่ก็คงไม่สามารถบอกได้หรอกค่ะ” เสี่ยวเถียนแสดงความโล่งใจให้ได้เห็น
เจ้าหน้าที่ทั้งสองหัวเราะกับคำพูดคำจาของเด็กน้อย
พูดเก่งจริง ๆ เชียวเด็กคนนี้
“งั้นพวกเราขอพาเขาไปก่อนนะครับ ตอนนี้ยังมืดอยู่เลย ทุกท่านจะได้พักผ่อนต่อครับ” พวกเขาเอ่ยอย่างจริงจัง
ตอนจะเข้าไปจับกุมก็พบว่าอีกฝ่ายโดนมัดไว้ด้วยเชือกป่าน
แถมยังผูกอย่างแน่นหนา ดูจากวิธีการผูกแล้วเป็นลักษณะเฉพาะเสียด้วย
“พี่จาง คนมัดเชือกนี่เก่งมากเลยนะ น่าจะเป็นเงื่อนในตำนานที่ว่ายิ่งดิ้นยิ่งรัดแน่นหรือเปล่า”
ตำรวจหนุ่มเอ่ยด้วยความตกใจ
เขาเคยได้ยินว่ามันมีเงื่อนแบบนี้อยู่ แต่ว่าไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่รู้ว่าจะขอเรียนรู้ได้ไหมด้วย เผื่อว่าอนาคตจับคนร้ายได้จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังว่าอีกฝ่ายจะหนีไปหรือเปล่า
เจ้าคนร้ายเหมือนเพิ่งจะรู้ว่าร่างกายตัวเองโดนรัดแน่นขึ้นหลังจากพยายามดิ้นรนอยู่นาน
มันมีวิธีนี้อยู่จริง ๆ ด้วยสินะ
สาวน้อยคนนี้จิตใจชั่วร้ายนัก อายุยังน้อยแท้ ๆ แต่กลับใช้วิธีการยุ่งยากเพื่อทำให้เขาเป็นที่อับอาย ถ้ารู้ตัวก่อนหน้านี้ตนเองคงไม่ทำแรก เผลอ ๆ สถานการณ์ดีกว่าตอนนี้เสียอีก อย่างน้อยก็สบายกว่านี้น่ะ ไม่เจ็บเพราะโดนเชือกบาดด้วย
ก่อนจากไปเขาเหลือบมองเด็กสาว แต่ก็เห็นอีกฝ่ายแย้มยิ้มเป็นดอกไม้บาน เหมือนทานตะวันที่หันหน้าเข้าหาแดด ช่างเจิดจ้าจริง ๆ เขารู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะโดนเด็กแบบนี้มัดเอาไว้
แต่มันเกิดขึ้นแล้วยังไงล่ะ
ยอมรับเลยว่าประเมินศัตรูต่ำไป
ตอนเห็นคนกลุ่มนี้ที่มีเด็ก คนมีอายุ และมีคนหนุ่มแค่คนเดียว เขาก็มีความสุขมาก
เบื้องบนอยากได้ผลการวิจัยนี้มาตลอด มีหลายสิบคนที่ได้มอบหมายหน้าที่โดยเฉพาะเพื่อตามล่ามัน
แต่ใครจะรู้เล่าว่าตนจะบังเอิญได้เจอ
ถ้าเจ๊ขายตั๋วไม่ได้เปิดเผยตัวตนเสิ่นจื่อเจิน เขาก็คงไม่รู้ตัวตนของสามคนนี้หรอก และมันก็คือโอกาสของเขาแล้วที่จะสะกดรอยตามเสิ่นจื่อเจิน
ก่อนลงมือยังนึกภาพตัวเองโชคดีจากผลงานที่สร้างไว้ แล้วยังได้บินไปต่างประเทศเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์
จินตนาการสวยงามมากแค่ไหน ความจริงโหดร้ายมากเท่านั้น เขาโดนเด็กสาวลงมือใส่อย่างโหดเหี้ยมและจับตัวไว้ก่อนจะคว้าข้อมูลมาได้เสียอีก
ทีแรกคิดว่าเป็นงานง่าย ๆ เลยลงมือทันที
“มองหาอะไรวะ? ไม่คิดว่าฉันจะทะลวงลูกตาแกสินะ!” ซานกงเดือดดาลขึ้นมา
แค่คิดว่าเจ้านี้มันสัมผัสเตียงน้องสาวเขายามดึก ชายหนุ่มพลันโกรธจนตัวสั่น หาทางระบายไม่ได้เลย แม้เป้าหมายจะเป็นข้อมูล แต่มันคือเรื่องจริงนะที่เขาปีนขึ้นไปเตียงชั้นบนน่ะ
ตำรวจทั้งสองทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงสบถด่า แถมแววตายังเต็มไปด้วยการสนับสนุน คนแบบนี้สมควรโดนทุบให้หนัก น่าเสียดายที่ตนเป็นตำรวจจึงลงมือไม่ได้!