เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 863 มาถึงเมืองหลวง
บทที่ 863 มาถึงเมืองหลวง
บทที่ 863 มาถึงเมืองหลวง
เมื่อก่อนซานกงเป็นคนเรียบร้อย แต่หลายปีมานี้ไม่ว่าจะเรียบร้อยมากแค่ไหนเขาก็เข้าใจความเป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน
ชายหนุ่มเข้าใจสิ่งที่ตำรวจทั้งสองสื่อความ รอยยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปาก หลังจากคารวะเจ้าหน้าที่ทั้งสองเขาก็ลงมืออย่างไร้ความปราณี
เจ้าหัวขโมยไม่คิดเลยว่าจะโดนกระทำแบบนี้ต่อหน้าตำรวจ แม้เขาอยากประท้วงแต่โดนอุดปากไว้ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้เท่านั้น
ซานกงเคยเรียนรู้เรื่องหนึ่งมา เวลาจะต่อยใครสักคนต้องเลือกจุดที่อ่อน มันทำให้คนเจ็บจนตายได้แต่จะไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้
สิบนาทีต่อมาเขาก็ได้พักหายใจในที่สุด ก่อนส่งอีกฝ่ายให้กับทางเจ้าหน้าที่
ทั้งสองกระตุกยิ้มมุมปาก ชายหนุ่มคนนี้ลงมืออย่างไม่ออมแรงเลย แต่ใครจะไปตำหนิได้ล่ะ เจ้านี้มันวอนหาเรื่องเองไม่ใช่หรือไง?
“ขอบคุณคุณเจ้าหน้าที่ทั้งสองด้วยครับ ผมต้องฝากเจ้านี่ด้วย” ซานกงยิ้มอย่างสุภาพ
“ไม่เป็นไรครับ อาจารย์เสิ่นเป็นวีรบุรุษของประเทศ เขาสร้างผลงานไว้มากมายให้กับพวกเรา แต่คนคนนี้กลับลงมือทำร้ายอาจารย์ สมควรโดนลงโทษอย่างรุนแรงแล้วครับ”
ว่าจบก็จากไปพร้อมหัวขโมยที่มีสภาพเละตุ้มเป๊ะ ก่อนไปยังแวะมาถามเสี่ยวเถียนเรื่องวิธีการมัดเชือกด้วย แต่เด็กสาวเพียงส่งรอยยิ้มตอบกลับไป
ตู้โดยสารเรามีคนน้อย ถึงจะมีคนตื่นบ้างแล้วแต่ไม่ได้เยอะเท่าไร เรื่องราวได้รับการจัดการอย่างเงียบ ๆ ทำให้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารคนอื่นมากนัก
หลังจากเราส่งพวกเขากลับไป ก็แยกย้ายกันเข้านอน
ค่ำคืนผ่านไปอย่างสงบสุข
เช้าวันต่อมาก เสี่ยวเถียนล้างหน้าแปรงฟันแล้วเตรียมอาหารเช้าง่าย ๆ ที่บอกว่าง่ายเพราะเธอแค่หยิบออกมาวางเฉย ๆ
ส่วนในเรื่องของอาหารเช้าถ้าเป็นครอบครัวอื่น อาหารของเราถือว่าไม่ใช่อาหารธรรมดา
แถมพวกเรายังนั่งกินข้าวอยู่ในห้องโดยสารของตัวเองอีก ใครเห็นเป็นต้องอิจฉา
มีไข่ต้ม ซาลาเปา ซอสเห็ด แตงกวา มะเขือเทศ และแอปเปิ้ล แต่ละคนจะได้นมนมมอลต์ร้อนหนึ่งถ้วย ไม่ว่าใครก็อิจฉาตาร้อนของอร่อยแบบนี้ทั้งนั้น!
สำหรับยุคนี้ ขนาดครอบครัวชนชั้นกลางและชนชั้นสูง ยังมีข้าวเช้าแค่โจ๊ก เครื่องเคียงอื่น ๆ และซาลาเปาเท่านั้น
เสี่ยวเถียนเสียใจนัก เธอสามารถรักษาความสดใหม่ของอาหารได้หากใส่ไว้ในระบบ แต่เราจะเอาอาหารร้อน ๆ ออกมากินบนรถไฟไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?
น่าเสียดายจริงๆ
แต่ว่าซาลาเปาที่ได้มาเป็นของใหม่นะ แลกมาจากระบบเลย
“ทำไมเยอะจัง มีซาลาเปาด้วย? ไส้เนื้อหรือผักล่ะ”
เสิ่นจื่อเจินมองอาหารบนโต๊ะก่อนยิ้มถาม แววตาสดใส
เขาไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองกับเรื่องเมื่อคืนเลย แถมยังอารมณ์ดีมากด้วยซ้ำ
น่าชื่นชมคนรุ่นนี้จริง ๆ ถ้าเป็นเธอต่อให้ฝึกไปอีกร้อยปีก็ทำไม่ได้หรอก
“สองลูกนี้ไส้เนื้อ สองลูกนี้ไส้ผักค่ะ ลุงเขยอยากกินไส้ไหนคะ?” เสี่ยวเถียนว่าพลางชี้
ลูกนึงมีขนาดเท่ากำปั้นผู้ชาย สี่ลูกก็พอให้เรากินกันสามคน ไหนจะมีไข่อีกสามฟองอีก
“ลุงกินไส้ผักแล้วกัน หนูอยากกินหรือเปล่า?”
เสี่ยวเถียนพยักหน้า “กินด้วยค่ะ ไส้เนื้ออีกสองอันให้พี่สามแล้วกัน”
ตามแผนคือ ไข่ต้มคนละฟอง ซาลาเปาให้พี่สามกินสองลูก
อยู่บนรถไฟไม่ได้ใช้แรงอะไร เสริมด้วยแตงกวาสักลูกกับแอปเปิ้ลครึ่งลูกก็พอแล้ว
“ได้สิ จริง ๆ ลุงก็ชอบไส้เนื้อนะ แต่ไม่รู้ภรรยาอันหรงหัวทำอร่อยเท่าคุณย่าของพวกเราหรือเปล่าน่ะ”
เสี่ยวเถียนรู้สึกผิด
คุณป้าทำซาลาเปามาให้ แต่เธอหยิบมาแค่หมั่นโถว ส่วนซาลาเปาเนื้อที่ว่าแอบเอาให้เด็กบ้านอันทั้งสองคนไปแล้ว
ชีวิตเราไม่ได้สบายเหมือนกันทุกคน เสี่ยวเถียนรู้ว่าอีกฝ่ายเต็มใจให้แต่ก็ไม่สบายใจที่จะรับไว้เช่นกัน
สองคนนั้นไม่ได้กินซาลาเปาเนื้อมานานแล้ว เมื่อได้กินของอร่อยแบบนี้ พวกเขาก็แบ่งกันกินอย่างมีความสุขมากเลย
เธอรู้สึกเศร้านิดหน่อย ต้องรอให้เธอก้าวหน้ามากกว่านี้จะได้มาช่วยพัฒนาสถานที่แห่งนี้ด้วย
แต่ปัญหาคือจะทำโครงการอะไรล่ะ เธอไม่อยากทำลายระบบนิเวศน์ดี ๆ แบบนี้หรอกนะ ขนาดข้าวของพวกเขายังหวานอร่อยเลย
มีลางสังหรณ์ว่าต่อให้อยากทำลายมัน ลุงเขยคงไม่ยอมแน่
เรื่องนี้เอาไว้ว่ากันที่หลังแล้วกัน
เสิ่นจื่อเจินกัดซาลาเปาเข้าปาก “อร่อยดีนะ”
“ไม่เท่าที่ย่าทำ แต่ก็อร่อยดี” ซานกงว่าตรง ๆ
“…” เสี่ยวเถียน
ถือว่าอร่อย
มันทำมาจากระบบน่ะ แถมยังอยู่ในหมวดคุณภาพสูงด้วย แต่ก็อย่างว่าแหละ ที่อร่อยไม่เท่าฝีมือคุณย่า เพราะมันคือฝีมือมนุษย์ไงล่ะ
เรากินข้าวไปด้วย คุยไปด้วยกันอย่างสนุกสนาน
จากนั้นเสิ่นจื่อเจินก็เดินย่อยอยู่หลายรอบ
เสี่ยวเถียนร้องขอเอง หลายปีที่ผ่านมาเขาเหนื่อยสะสมมาก สุขภาพย่ำแย่และออกำลังกายน้อยกว่าตอนอยู่หงซินเสียอีก เพราะงั้นเขาเลยต้องเดินออกกำลังกายทุกวัน หรือให้คือวิ่งเหยาะ ๆ สักครึ่งชั่วโมงตอนเช้าจะดีมาก
เสิ่นจื่อเจินคิดว่ามันไม่ได้สำคัญนัก เอาเวลาไปดูทุ่งนาไม่ดีกว่าหรือ? แต่หลานสาวย้ำแล้วย้ำอีกว่า นี่เป็นคำสั่งของแพทย์ และต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ในฐานะคนป่วย เขาจึงต้องทำตามและออกกำลังกายทุกวัน หลังจากผ่านไปสิบวันนั้นเสิ่นจื่อเจินจะรู้สึกเลยว่าตัวเองผ่อนคลายขึ้นมากจริง ๆ แค่นี้ก็พิสูจน์แล้วว่าการออกกำลังกายมีประสิทธิผล
และแล้วเขาก็กลายเป็นคนที่มีความสุขกับการได้ออกกำลังกายเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยไม่ต้องมีใครมาบอก
บรรยากาศอันชื่นมื่นเกิดขึ้นตลอดการเดินทาง แต่เพราะเหตุการณ์โดนขโมยที่เกิดขึ้นเลยทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัย
เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอีกครั้ง พวกเราหยุดหัวข้อสนทนาที่เคยคุยกันไว้ ส่วนใหญ่จะกินข้าวไม่ก็นอนเท่านั้น
ช่วงนี้เสี่ยวโจวที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาหาเสี่ยวเถียนเช่นกัน และขอให้เธอช่วยสอนวิธีมัดเชือกแบบนั้นบ้าง
เด็กสาวไม่เคยหวงความรู้ เธอสอนไว้หลายวิธีเลยเพื่อที่จะได้สะดวก ๆ เวลาใช้
เสี่ยวโจวมองเธอด้วยสายตาชื่นชม แทบจะยกย่องเป็นลูกพี่
เธอเองก็ชื่นชมจิตวิญญาณอันขยันหมั่นเพียรของเขาเช่นกัน ก่อนอีกฝ่ายจะกลับเธอยังมอบแอปเปิ้ล ส้ม และลูกแพร์ให้กับเสี่ยวโจวด้วย
“ผมเกรงใจจังครับ เรียนรู้จากคุณแล้วแถมยังได้รับของกลับมาอีก”
เขาปฏิเสธด้วยใบหน้าใสซื่อ ถ้ารับมันมาพี่จางได้จัดการเขาแน่ ๆ
อีกฝ่ายบอกเสมอว่าเราจะเอาเปรียบประชาชนไม่ได้ ถึงจะแค่ผลไม้ไม่กี่ลูกแต่เราอยู่บนรถไฟกันนะ มันมีค่ามากเลยนะ ถ้าพี่จางรู้เข้ามันไม่ใช่ผลดีกับตัวเขาสักนิด อาจจะได้เขียนใบความประพฤติที่รับของจากประชาชนมาก็ได้
“พี่กลัวเจ้าหน้าที่จางจะว่าหรือคะ?” เสี่ยวเถียนสังเกตเห็นท่าทางของเขาเลยลองถามหยั่งเชิง
“ไม่ใช่นะครับ!” อีกฝ่ายรีบมองออกไปข้างนอก โชคดีที่พี่จางไม่อยู่
คนในห้องหัวเราะ
เสิ่นจื่อเจินกำลังอ่านหนังสืออยู่ “ถ้าเจ้าหน้าที่จางว่าอะไรมา ก็บอกไปว่า มันคือของที่อาจารย์มอบให้กับนักเรียนน่ะ”
สามหนุ่มสาวได้แต่งง เราจะพูดแบบนั้นได้ยังไง?
ไม่สิ เหมือนว่าจะไม่ได้แย่อะไรนะ
จากนั้นเสี่ยวโจวก็รับผลไม้ไว้ แล้วจากไปอย่างมีความสุข
เรามาถึงเมืองหลวงในอีกสามวันให้หลัง
ทีแรกตั้งใจจะกลับบ้านพักผ่อนทันที
แต่ใครจะรู้เล่าว่ามีคนรออยู่ที่สถานีด้วย