เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 890 ล้มตัวนอน หัวถึงหมอน
บทที่ 890 ล้มตัวนอน หัวถึงหมอน
บทที่ 890 ล้มตัวนอน หัวถึงหมอน
“ก็จริงนะ พวกหนูเป็นนักเรียนควรจะตั้งใจเรียนกันก่อน” หลี่ซิ่วหรงว่า
ในฐานะที่ทำงานเกี่ยวกับการศึกษา เธอชอบที่เห็นเด็ก ๆ เรียนหนังสือ แต่กับเด็กที่ประสบปัญหาทางด้านชีวิต เธอก็ไม่อยากให้พวกเขาลงแรงกับอย่างอื่นมากเกินไปเช่นกัน
สาว ๆ ตอบเป็นเสียงเดียวกันด้วยความถ่อมตนว่า จะตั้งใจเรียนและไม่ให้เวลาหาเงินรบกวนชีวิตการเรียนจนเกินไป
“ป้าว่าใส่ความคิดของเราลงไปหน่อยก็ดีนะ สองปีมานี้เศรษฐกิจดีขึ้นมากเลย ขอแค่ใช้สมองสักหน่อยก็หาเงินได้แล้วละ อย่าเพิ่งไปคิดเลยว่าจะขายอะไรซื้ออะไร” หยางลี่หมิงมองดอกไม้อันประณีตที่เสร็จไปแค่ครึ่งทาง
เสี่ยวเถียนเห็นด้วยอย่างยิ่ง ยุคหลัง ๆ ผู้หญิงจะมีบทบาทในการทำงานมากขึ้น และมีความก้าวหน้ามากเลยไม่ใช่หรือ?
ไม่ใช่แค่งานเย็บปักถักร้อยที่สืบทอดกันต่อ ๆ มานะ งานสานต่าง ๆ ก็ยังทำให้หลาย ๆ คนร่ำรวยขึ้นเช่นกัน
กลับไปเขียนแบบแผนดีไหมนะ?
ผู้อาวุโสเห็นที่คาดผมงาม ๆ หลายอันก็เริ่มสนใจอยากจะทำบ้าง จึงหยิบเข็มกับด้ายขึ้นมา และเริ่มลงมือ
สาว ๆ หมายจะหยุดไว้แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าพูด จริง ๆ แล้วผู้หญิงยุคนี้ทำงานพวกนี้ได้หมดนั่นแหละ
แม้พวกเธอจะอยู่ในตำแหน่งสูง แต่ไม่เคยรามือจากงานพวกนี้หรอกนะ ช่วยกันทำจะได้เสร็จไว ๆ ด้วย
หลังจากพูดคุยกันสองสามประโยค เหล่าเด็กสาวก็กลายเป็นที่ชื่นชอบของพวกเธอไปเสียแล้ว
พวกเธอเอ่ยปากชมพวกเด็กสาวซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งยังพูดว่าเด็กผู้หญิงที่ได้เรียนมหาวิทยาลัยมักจะแตกต่างจากคนอื่น ๆ เสมอ ทั้งมีเหตุผลและมีความสุภาพ
ยุคนี้เราขาดแคลนนักเรียนมาก ขอแค่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย สถาบันอาชีวะทั้งปวช. หรือปวส. ก็น่าอิจฉากันทั้งนั้น
แทบไม่ต้องพูดถึงสาว ๆ กลุ่มนี้ที่เรียนจิ่งเฉิงเลย เพราะแค่ชื่อมหาวิทยาลัยจิ่งเฉิง ก็สะท้อนความเป็นเลิศของพวกเธอแล้ว กอปรกับนิสัยขยันทำงาน การพูดการจาไม่ถือตนหรือยโสโอหังด้วยแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่จะเป็นที่ชื่นชอบ
พวกเธอเริ่มคิดจะเลือกสาว ๆ มาเป็นสะใภ้ของตัวเองแล้วด้วย ยิ่งฟ่านชูฟางที่ลูกชายเอาแต่เบี่ยงเบนไปมาจนอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ๆ ก็ยิ่งร้อนใจ!
เด็ก ๆ พวกนี้ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าเก่ง ได้แต่สงสัยว่าจะแนะนำให้รู้จักลูกชายที่บ้านดีไหม แล้วถ้าได้ผลขึ้นมาจะเป็นยังไงนะ?
เสี่ยวเถียนไม่รู้สักนิดว่าย่ารองวางแผนจะให้เพื่อนของเธอมาเป็นป้าสะใภ้แล้ว กระทั่งถึงเวลากินข้าว คนบ้านซูยังคงตั้งโต๊ะตามปกติแม้จะมีแขกก็ตาม
ตามกฎของเราคือ ทุกคนต้องกินข้าวด้วยกัน
ต่งหยวนจงมีความสุขมาก เพราะเมื่อก่อนเขานั่งกินข้าวคนเดียว การกินข้าวเลยไม่มีสีสันเลยแม้แต่น้อย มีแค่การมากินข้าวบ้านพี่ใหญ่เท่านั้นละที่ทำเขาคึกคักได้
ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าบ้านนี้เปิดร้านอาหาร ฝีมือการทำเป็นเลิศ แต่ไม่นึกว่าจะได้มาร่วมวงกินข้าวกับพวกเขาแบบนี้ แม่เจ้า! โต๊ะตัวใหญ่เต็มไปด้วยอาหารจานเย็นทั้งเนื้อสัตว์และผักต่าง ๆ ร่วมยี่สิบกว่าจานเห็นจะได้
การผสมผสานเนื้อสัตว์และผักในอาหารจานเย็นกับร้อนเข้ากันได้ดีเยี่ยม แม้บางส่วนจะคุ้นเคยกับงานเลี้ยงระดับสูง ๆ มาแล้ว แต่เพิ่งจะเห็นอาหารมื้อตรงหน้านี่แหละที่ใส่ใจขนาดนี้ แถมยังได้รับการรังสรรค์อย่างประณีต และนำเสนออย่างงดงามด้วย
เห็นครั้งแรกเหมือนไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้เลยด้วยซ้ำ
“มาตรฐานนี้สูงกว่างานเลี้ยงของรัฐอีกนะ!” รัฐมนตรีฉางเอ่ยอย่างมีความสุข
ตั้งแต่ได้มากินข้าวที่หออีหมิง เขาไม่สามารถลืมรสชาติอาหารของที่นั่นได้เลย แต่เพราะสถานะที่ค้ำคออยู่ จึงไม่สามารถมากินบ่อย ๆ ได้
“มันก็เป็นแค่อาหารบ้าน ๆ เท่านั้นล่ะ เราไม่กล้าเทียบกับงานเลี้ยงของรัฐหรอกครับ” คุณปู่ซูรีบบอก
เขาไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ที่แน่ ๆ ถ้ามันเป็นอาหารที่ทำให้คนของทางรัฐบาลกิน จะต้องไม่ใช่สิ่งที่เรามีได้แน่นอน
“พูดจาไร้สาระจริง ๆ!” ต่งหยวนจงจ้องไปยังรัฐมนตรีฉาง “อาหารในงานเลี้ยงอร่อยนะ แค่มันจืดเท่านั้นแหละ และรสชาติไม่ถึงใจสักนิดเท่านั้นเอง!”
เขาชอบหมูตุ๋นน้ำแดงรสจัดมาก รู้เลยว่าไม่ชอบพวกอาหารอันประณีตแต่จืดชืด ตามความคิดของเขาคือ ไม่มีอะไรอร่อยเท่าหมูตุ๋นน้ำแดงสักชามแล้ว โดยเฉพาะหมูตุ๋นฝีมือพี่สะใภ้ รสชาติสุดยอดจริง ๆ! แล้วอาหารในวันนี้ก็มีเมนูนี้ด้วย
น้ำมันสีแดงแวววาว ส่งกลิ่นหอมเข้มข้น
คุณย่าซูรู้ว่าของโปรดต่งหยวนจงคืออะไร จึงทำขึ้นให้เขา แต่เมื่อพิจารณาจากสุขภาพแล้ว คุณย่าซูเลยเลือกสามชั้นที่มีมันน้อยเป็นพิเศษ
ต่งหยวนจงถอดถอนใจ พี่สะใภ้รู้ใจเขาจริง ๆ
“รบกวนพี่สะใภ้ด้วยนะครับ!” ต่งหยวนจงเอ่ยเสียงจริงจัง
หญิงชราตอบรับอย่างถ่อมตัวก่อนเราจะเริ่มกินข้าวกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ซิ่วหรงได้กินอาหารของตระกูลซู หลังจากตักเข้าปากคำแรกก็รู้เลยว่าทำไมสามีถึงคิดถึงรสชาติอาหารบ้านนี้นัก รสชาติอาหารเหนือคำบรรยาย แม้แต่ร้านอาหารที่ดีที่สุดของรัฐก็เทียบไม่ได้เลย
ส่วนหยางลี่หมิงเคยกินมาแล้ว เธอเอ่ยถึงบ่อยครั้งและวันนี้ในที่สุดก็ได้กินอีกจึงไม่เกรงใจอีกต่อไป ส่วนคนที่บ้านรู้ว่ายังไงรสชาติอาหารก็อร่อยเช่นเคยอยู่แล้ว แต่แม้ว่าจะคุ้นเคยกับรสชาติดี ก็ยังทึ่งได้เสมอ
ส่วนผู้นำทั้งสามเจอรสชาติอาหารที่ถูกใจก็เริ่มกินกันอย่างบ้าคลั่ง ภรรยาของพวกเขายังคงรักษาความสง่างามไว้ได้ แต่ก็ขยับตะเกียบอย่างรวดเร็วเช่นกัน กลัวว่าจะกินไม่ทันคนอื่นเขา
“พี่สะใภ้ อร่อยมากเลยค่ะ” หลี่ซิ่วหรงเอ่ยอย่างจริงใจ
จากนี้ไปคงไม่ใช่แค่ตาแก่ที่อยากมากินอาหารของหออีหมิงแล้วละ
ไม่รู้ว่าวันนี้โชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่มา เพราะหลังจากนี้พอกินอะไรเข้าไปก็อาจจะไม่อร่อยแล้วก็ว่าได้!
บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยบทสนทนา ทำให้บรรยากาศค่อย ๆ มีชีวิตชีวาขึ้น
หยางลี่หมิงบอกว่าจะเดินทางไปชุนเฉิงในวันที่ 6 นี้พอดี เมื่อทราบข่าว เสี่ยวเถียนรู้สึกราวกับว่าล้มตัวลงนอนก็เจอหมอน*[1]ทันที
เธอยังคิดเหตุผลที่จะขอคนที่บ้านไปอยู่เลย แต่ตอนนี้เธอได้โอกาสเสียแล้ว ทว่าการโน้มน้าวใจให้คุณย่าหยางพาเธอไปด้วยเนี่ยแหละคือปัญหา และต่อให้แกตอบตกลง คนที่บ้านก็อาจไม่เห็นด้วย
แต่ไม่คิดเลยว่าฟ่านชูฟางจะไปด้วยเหมือนกัน หยางลี่หมิงไม่สนิทกับเสี่ยวเถียน แต่ถ้ามีเธอไปด้วยคงไม่มีปัญหาเท่าไร
เสี่ยวเถียนจึงรีบเอ่ยขึ้นว่าจะไปด้วยทันที และคุณย่าฟ่านก็ตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
คุณย่าซูรีบเอ่ย “เด็ก ๆ ควรจะอยู่บ้านนะ อย่าไปซนที่ไหนเลย”
หลานสาวซนจริง ๆ เลยเชียว เธอคิดจะไปเที่ยวเล่นที่ไหนอีกแล้วเนี่ย?
“พี่สะใภ้ เสี่ยวเถียนโตแล้วนะคะ จริง ๆ ฉันเองก็อยากได้ล่ามพอดีเลยค่ะ”
ฟ่านชูฟางทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ ความจริงแล้วมีนักแปลมากมายให้ใช้สอย แต่วันนี้เธอรู้สึกว่าการพาเสี่ยวเถียนไปด้วยจะเหมาะกว่าพาลูกน้องไป ถ้าเสี่ยวเถียนไม่เอ่ยขึ้นมาตนก็อายที่จะร้องขอ นี่เลยเป็นโอกาสดี
หญิงชรามองหลานสาวด้วยความโกรธ เด็กคนนี้เป็นแบบนี้เสมอเลย
[1] ล้มตัวนอน หัวถึงหมอน หมายถึง เมื่อปรารถนาจะทำอะไรสักอย่าง และเรามีเงื่อนไขที่เพียงพอ ก็สามารถทำให้ความปรารถนาเป็นจริงได้ในทันที