เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 912 เข้ากันได้ดี
บทที่ 912 เข้ากันได้ดี
บทที่ 912 เข้ากันได้ดี
“เสี่ยวเถียน กลางวันนี้ย่ารองไม่ได้กลับมานะ กินข้าวกับพวกเราไปก่อนก็แล้วกัน”
“ขอบคุณค่ะคุณย่าหยาง” เสี่ยวเถียนไม่เกรงใจ ถ้าสุภาพไปก็ดูไม่ดีอีก
เธอทรุดตัวลงนั่งข้างหยางลี่หมิง
แม้ในกลุ่มจะมีผู้นำคนอื่น ๆ อยู่ด้วย แต่สถานะเสี่ยวเถียนในตอนนี้ไม่ได้เป็นแค่พนักงาน แต่เป็นลูกหลานในครอบครัวของหยางลี่หมิง จึงต้องนั่งกับอีกฝ่ายอยู่แล้ว
เสี่ยวหลิ่วที่ทำหน้าที่เป็นเลขาก็นั่งข้าง ๆ กัน แต่เลือกที่จะนั่งถัดจากเสี่ยวเถียนเป็นพิเศษ
หญิงชราอยากรู้อยากเห็นมากกว่าเก่า แค่ชวนมากินข้าวด้วยกันเอง ทำไมถึงคุยกันดีขนาดนี้แล้วล่ะ?
“เสี่ยวเถียนลองจานนี้ดูสิ เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ อร่อยนะ”
“เสี่ยวเถียน อันนี้อร่อยเลย ลองชิมดู”
“เสี่ยวเถียน เขาทำซาลาเปาก้อนนี้อร่อยมากเลย!”
ตลอดมื้ออาหาร เสี่ยวหลิ่วผู้ทำหน้าที่เป็นเลขาของหยางลี่หมิง เอาแต่ดูแลเสี่ยวเถียนตลอด
คนอื่น ๆ รวมถึงหยางลี่หมิงล้วนแปลกใจกันมาก
เสี่ยวหลิ่วเป็นอะไรไปเนี่ย?
ทำไมทำดีกับเสี่ยวเถียนขนาดนั้น
เด็กสาวกินข้าวกลางวันโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีอะไรอร่อยบ้างภายใต้การดูแลของคนพี่
เหมือนจะมากเกินไปจนไม่ใช่แค่ค่อนข้างอึดอัดแล้ว!
โชคดีที่ไม่ได้กินด้วยทุกวัน ไม่งั้นบ้าตายแน่นอน
หญิงชราเฝ้ามองด้วยความสนใจ ทั้งยังมีความสุขเป็นอย่างมาก
เด็กสองคนนี้ตลกจริง ๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่บ้านจะมีหลานสาวกับเขาบ้าง คงจะน่ารักมากแน่ ๆ!
หลังกินข้าวเสร็จ บรรยากาศค่อนข้างกลมกลืนอย่างน่าประหลาด เสี่ยวเถียนพาคุณย่าหยางไปส่งที่ห้อง รอกระทั่งท่านพักผ่อนแล้วจึงค่อยกลับ
เธอพักประมาณครึ่งชั่วโมง ในตอนที่เตรียมจะอ่านหนังสือก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
พอเปิดออกก็เจอกับเสี่ยวหลิ่ว
เด็กสาวร่างผอมถือหนังสือ กระดาษ ปากกา พร้อมด้วยถุงกระดาษใบเล็กที่เต็มไปด้วยผลไม้
“พี่เสี่ยวหลิ่วมาได้ยังไงกันคะ?”
“พี่คิดว่าเธอน่าจะตื่นแล้วก็เลยมาหาน่ะ อันนี้เป็นผลไม้ที่พี่ซื้อให้โดยเฉพาะเลย เธอชอบหรือเปล่า?”
เสี่ยวหลิ่วยื่นถุงกระดาษไปตรงหน้า
เธอเห็นน้องเอาผลไม้มากินบนรถด้วย ก็เลยคิดว่าน่าจะชอบกิน เลยไม่ได้นอนพักตอนเที่ยง และออกไปซื้อมาให้
ช่วงนี้ชุนเฉิงมีผลไม้ไม่เยอะ ยิ่งเป็นช่วงปีใหม่ด้วยแล้วผลไม้ก็ยิ่งน้อย
เสี่ยวเถียนยิ้มขอบคุณ ก่อนจะรับมันมา
“ที่พี่ถือหนังสือมาแบบนี้ พี่จะอ่านหนังสือกับหนูเหรอคะ?”
เสี่ยวเถียนชิงถามทันที
เสี่ยวหลิวพยักหน้าอย่างเขิน ๆ นั่นคือเหตุผลที่เธอมาที่นี่ไงล่ะ
หลังจากสังเกตดูตอนอยู่บนรถไฟ เหมือนว่าเสี่ยวเถียนจะพักหลังจากอ่านหนังสือประมาณหนึ่งชั่วโมง
เพราะงั้นตนจะใช้เวลาที่อีกฝ่ายพักถามสิ่งที่ไม่เข้าใจ
เพื่อจะได้ไม่รบกวนการอ่านหนังสือของน้อง และเพื่อที่ตัวเองจะได้เรียนดีขึ้นด้วย
เสี่ยวเถียนไม่ได้ห่วงหรอกว่าจะมีคนอยู่รอบ ๆ เวลาอ่านหนังสือ
ต่อให้มีเสี่ยวหลิ่วก็ยังอ่านได้
เด็กสาวให้เสี่ยวหลิ่วเข้ามา จากนั้นก็เดินไปล้างผลไม้แล้ววางบนโต๊ะ
“เรามาอ่านหนังสือกันก่อนค่ะ ไว้เหนื่อยแล้วค่อยพักกินผลไม้”
ถึงจะไม่ได้ขาดแคลนผลไม้อะไร แต่เสี่ยวเถียนก็ยังรับน้ำใจผู้อื่นเอาไว้อยู่ดี
ครึ่งบ่ายผ่านไป ในช่วงที่เสี่ยวเถียนพัก เสี่ยวหลิ่วก็ได้กระจ่างในปัญหาที่ไม่เข้าใจ
ต้องบอกเลยว่าเป็นเด็กหัวกะทิสมชื่อจริง ๆ เสี่ยวเถียนอธิบายด้วยคำพูดที่เรียบง่าย ลงลึกถึงประเด็น ทำให้เสี่ยวหลิ่วเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
เทียบกับตอนเรียนที่โรงเรียนแล้ว ระดับสูงกว่าครูผู้สอนอีก
เสี่ยวหลิ่วมุ่งมั่นกว่าเก่า และเริ่มจะอ่านต่อ
เธอกลัวว่าจะเรียนไม่เข้าใจ แต่ดูเหมือนว่าจะทำได้
การเดินทางในครั้งนี้ใช้เวลาสามวัน เธอมีอะไรให้ถามเยอะแยะมากมาย จึงต้องรีบอ่าน
“ขอบคุณมากนะเสี่ยวเถียน พี่ได้อะไรเยอะเลย” เสี่ยวหลิ่วกล่าวอย่างจริงใจ
ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเถียนมากินข้าว เสี่ยวหลิ่วคงให้น้องสอนต่อแล้ว
ไหนพวกเราจะยังมีงานให้เข้าร่วมอีก เธอต้องติดตามท่านประธานต่อด้วย
“ถ้าพี่ตั้งใจดี ๆ พี่จะสอบเข้าได้แน่นอนค่ะ!”
หลังจากได้รับกำลังใจ รอยยิ้มบนใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วพลันสดใสขึ้น พอมาถึงชั้นล่างพวกเธอก็ได้เจอกับหยางลี่หมิง
หญิงชราแปลกใจที่เห็นเลขาเดินถือหนังสือลงมา
“เสี่ยวหลิ่ว ไปหาเสี่ยวเถียนมาเหรอ?”
ความสัมพันธ์ระหว่างสองสาวเริ่มดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย?
อยู่ด้วยกันตลอดบ่ายเลยเหรอ?
“ท่านประธานคะ ฉันมีเรื่องที่ไม่เข้าใจก็เลยให้เสี่ยวเถียนช่วยอธิบายค่ะ”
“แต่เขาอายุน้อยกว่าเธอนะ!”
หยางลี่หมิงจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเสี่ยวหลิ่วเป็นประเภทคนหน้าบาง
แล้วการที่เจ้าตัวเป็นฝ่ายไปขอเด็กที่อายุน้อยกว่าสอนหนังสือให้ เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก
“นั่นไม่สำคัญเลยค่ะ เพราะเสี่ยวเถียนเรียนเก่ง” เสี่ยวหลิ่วเอ่ยตรง ๆ โดยไม่เขินอายสักนิด
หญิงชราพยักหน้า “ดีแล้วที่คิดได้ ถึงหลายปีที่ผ่านมาเธอจะทำงานในสมาพันธ์สตรี แต่ไม่เคยหลุดพ้นความความสับสนเลย ฉันดีใจนะที่เห็นเธอมีวันนี้!”
พื้นเพครอบครัวเด็กคนนี้ถือว่าดี ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถทำงานเคียงข้างหยางลี่หมิงได้หรอก
แต่ก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกันที่บ้านนั้นไม่สนใจอนาคตของลูกสาว
พวกเขายินดีเหนื่อยและยินดีเสียเวลาทั้งหมดไปกับการดูแลพี่ชายน้องชายของเสี่ยวหลิ่ว จึงทำให้เธอไม่เป็นที่ยอมรับ
แต่แล้วการเดินทางในครั้งนี้กลับทำให้เจ้าตัวคิดออก และพบเส้นทางในการพัฒนาตัวเอง ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดี
“ขอบคุณค่ะท่านประธาน ฉันจะพยายามให้ดีที่สุดค่ะ”
เธอยิ้มอ่อนโยน ท่าทีสงบเสงี่ยม ไม่ใช่รอยยิ้มที่พยายามเอาอกเอาใจแบบเมื่อก่อนอีกต่อไป
หยางลี่หมิงสบายใจขึ้นมาก
“เตรียมตัวให้เรียบร้อยนะ เย็นนี้เรามีกิจกรรมที่ต้องเข้าร่วมด้วย”
เสี่ยวหลิ่วรีบเอาหนังสือกลับไปเก็บ ก่อนจะหวีผมเผ้าแล้วออกเดินทางไปกับเจ้านาย
ระหว่างทาง คนอื่น ๆ ยังสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงจากเด็กสาวคนนี้เหมือนกัน แต่บอกไม่ได้ว่าตรงไหน
หลังจากเสี่ยวเถียนส่งคนอื่น ๆ เสร็จ ชาวต่างชาติที่ฟ่านชูฟางส่งมาต้อนรับก็ได้เดินทางมาถึง
เป็นงานเลี้ยงที่จัดไว้อย่างดีมาก แม้แต่เครื่องทำความร้อนยังอุ่นกว่าบริเวณอื่น
เสี่ยวเถียนรู้สึกว่านโยบายประเทศช่วงนี้แปลกประหลาดเสียเหลือเกิน ขอแค่เป็นต่างชาติก็จะปฏิบัติอย่างสูงส่งจนทำให้พวกเขารู้สึกเหนือกว่า
แถมคนในประเทศยังรู้สึกว่า การได้ไปต่างประเทศจะถือว่าเหนือกว่าผู้อื่นด้วย
นโยบายนี้จะกินเวลาไปหลายปี ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ทำให้คนจีนรู้สึกว่าชาวต่างชาติเหนือกว่า!
ถึงจะไม่เห็นด้วยเท่าไร แต่ก็รู้ว่ามันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยตัวคนเดียว
พอทำหน้าที่ล่ามเสร็จ ก็ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นแล้ว
ขอแค่ตัวเธอไม่ต้องไปประจบก็พอ