เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 931 มาที่บ้าน
บทที่ 931 มาที่บ้าน
บทที่ 931 มาที่บ้าน
โชคดีตรงที่พ่อแม่ของเฉียนเสี่ยวเป่ยเต็มใจสนับสนุนให้ลูกสาวเรียน จึงทำให้เจ้าตัวมีโอกาสได้เปลี่ยนโชคชะตาตัวเอง
ไม่อย่างนั้น เรื่องราวทุกอย่างคงได้กลายเป็นโศกนาฏกรรมแน่ ๆ หากพวกเขามีนิสัยเหมือนบ้านอื่นซึ่งใช้ลูกสาวเป็นสินสอดเพื่อให้ลูกชายคนโตได้แต่งภรรยา
ตอนนี้เธอได้เรียนหนังสือ มีการศึกษาสูง ในอนาคตย่อมมีโอกาสเปลี่ยนชะตากรรมตัวเองแน่นอน
แต่ก็ไม่รู้อีกว่าจะหลุดพ้นไปจากพันธนาการแห่งโชคชะตาได้จริง ๆ หรือเปล่า
หรืออาจจะโดนลากแหไปชั่วชีวิตเลยก็ได้
“เสี่ยวเป่ย เธอน่าจะรู้นะว่าเวลาที่บ้านจะแต่งงานหรืออะไร นอกจากได้เงินอุดหนุนจากผู้ใหญ่แล้ว เจ้าตัวก็ต้องหาเงินเองด้วย”
เสี่ยวเถียนยกครอบครัวตัวเองเป็นตัวอย่างเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้เห็นความแตกต่าง
“แต่น้องชายกับพี่ชายฉันไม่ได้เรื่องกันเลยนี่!”
“ถ้ามีความสามารถชีวิตก็สุขสบาย แต่ถ้าไม่ ก็ลำบากอยู่แบบนั้น ไม่ว่าจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหน ก็เป็นปัญหาของตัวคุณเอง ไม่ใช่มาพึ่งพาคนอื่นเขา”
“อีกอย่างนะ พวกเขาหาเงินกันไม่เป็นหรือไม่คิดจะหาเองกันแน่?” เสี่ยวเถียนคิดว่าหลาย ๆ ครอบครัวในยุคปัจจุบันเป็นแบบนี้อีกเยอะ ไม่ใช่ว่าลูกชายหาเงินไม่เป็นนะ แต่พ่อแม่ไม่ยอมให้ลำบากมากกว่า
อีกทั้งเจ้าตัวก็ไม่คิดจะมีความรับผิดชอบเลยสักนิด ยินดีเกาะเป็นปลิงชาวบ้านเท่านั้น
ตระกูลเฉียนก็คงไม่ต่างกันหรอก
หลังจากเอ่ยจบ เฉียนเสี่ยวเป่ยพลันเงียบกริบ
ก็เป็นจริงอย่างที่พูดนั่นแหละ พวกเขาไม่ทำอะไรกันเลย ต่อให้มีนโยบายเหมาสมบัติอยู่แล้ว แต่พ่อแม่เอาแต่กลัวว่าเขาจะลำบากกัน เลยยอมทำงานเหนื่อยในทุ่งนาต่อไป
เสี่ยวเถียนมองเพื่อน ยังมีอะไรให้ไม่เข้าใจอีก?
อย่างว่ามันเป็นปัญหาบ้านเขา
เธอถอนหายใจ “ความกตัญญูมันก็ดีนะ แต่เชื่อฟังมากไปก็ไม่ได้หมายถึงว่าเราจะกตัญญูหรอก”
“ถูกต้อง ถ้าอนาคตเธอมีครอบครัว พี่ชายน้องชายเธอก็ต้องมีชีวิตเป็นของตัวเองด้วย”
เฉียนเสี่ยวเป่ยยังคงเงียบ
สาว ๆ เดินไปถึงโรงอาหาร แต่บรรยากาศกลับเงียบสงัด
เสี่ยวเถียนเหลือบมองเพื่อนที่กำลังขบคิดอยู่ นึกไม่ออกเลยว่าอนาคตเธอจะเดินไปในเส้นทางไหน
การโดนล้างสมองมาแต่เด็กไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนความคิดดั้งเดิมแค่เพียงชั่วครู่
ตอนนี้จึงทำได้แค่โน้มน้าว เปลี่ยนความคิดบางส่วนแทน
ถ้าคิดเองได้ และมีความกล้าที่จะเผชิญกับความไม่เท่าเทียมก็อาจมีหวัง
ไม่งั้นชีวิตพังพินาศแน่นอน
ไม่ว่าจะยุคไหน ๆ ผู้หญิงที่ต้องดูแลครอบครัวฝั่งตัวเองจนไม่สามารถมีชีวิตเป็นของเธอได้เลย
ไม่คิดเลยว่าจากเรื่องของพี่รองจะลามมาเรื่องนี้ได้
สิ่งนี้จึงส่งผลต่ออารมณ์อยู่ไม่น้อย
แต่เพราะทุกคนยังเป็นวัยรุ่น พอถึงโรงอาหารและได้เห็นของที่ชอบ ความกังวลต่าง ๆ พลันหายไปสิ้น
แม้แต่เฉียนเสี่ยวเป่ยยังเหมือนลืมไปแล้วด้วย
ซื่อเลี่ยงพาแฟนคนใหม่ไปร้านอาหารนอกมหาวิทยาลัย
รสชาติไม่ถึงกับดี แต่การตกแต่งมีเอกลักษณ์ดี ทั้งยังมีห้องส่วนตัวด้วย
เขาคิดถึงจุดนี้นี่แหละ
เดตแรกควรมีแค่พวกเราสองคน ไม่ควรมีคนนอกมารบกวนสิ
ถึงจะเป็นครั้งแรกที่ได้อยู่กันตามลำพัง แต่เพราะพวกเขาเคยพบกันมาก่อนและสนิทกันดี จึงหายอึดอัดอย่างรวดเร็ว
ซื่อเลี่ยงเสนอจะพาฝ่ายหญิงไปที่บ้านอย่างเป็นทางการในช่วงสุดสัปดาห์ ถือเป็นการพบกับผู้ใหญ่
แต่เจี้ยนหงกลับลังเล
ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยกลัวการไปบ้านซูเลย แต่ตอนนี้สถานะของเราเปลี่ยนไปจึงอดกังวลไม่ได้
แม้จะรู้ว่าพวกเขาต้อนรับเธอ แต่ก็ยังไม่แน่ใจเท่าไร
“ฉันจะไปภายในสองสัปดาห์ได้ไหม” หลี่เจี้ยนหงพูดอย่างลังเล
“สะใภ้ขี้เหร่ยังไงก็ต้องเจอพ่อแม่สามี*[1] แต่เธอสวยขนาดนี้มีอะไรต้องกลัวอีกล่ะ?” ซื่อเลี่ยงเอ่ยแซว
“ฉัน…” เจี้ยนหงหน้าแดง ไม่รู้จะตอบกลับยังไงดี
สุดท้ายก็ตอบตกลง โนเวล-พีดีเอฟ
วันหยุดสุดสัปดาห์มาถึงในไม่ช้า ซื่อเลี่ยงพาคนรักมาเยือนตระกูลซูอย่างเป็นทางการ
ระหว่างทาง เสี่ยวเถียนมองเพื่อนร่วมห้องแล้วอดส่งยิ้มให้ไม่ได้
ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะมาที่บ้าน
ไว้รอวันหยุดยาวค่อยให้พี่รองไปบ้านหลี่เพื่อพบพ่อแม่เจี้ยนหงอย่างเป็นทางการ และตัดสินใจเรื่องนี้ด้วย
แบบนี้แหละดีมาก
เสี่ยวเถียนสภาพเหมือนแม่แก่ ๆ ที่ขี้กังวลเลย
พอเดินทางมาถึง พวกคุณย่าซูมีความสุขกันมาก
หลานชายคนรองได้เจอว่าที่ภรรยาทั้งที เรื่องนี้เสร็จสิ้นเมื่อไรก็ถึงตาหลานคนที่สาม
หญิงชราลงมือทำอาหารต้อนรับว่าที่หลานสะใภ้ด้วยตัวเอง เธอเอาแต่ยิ้มไม่หยุด
ลูกหลานแต่งงาน คนแก่แบบเธอก็สบายใจ
สองผู้อาวุโสมีความคิดเหมือน ๆ กัน เป้าหมายในชีวิตเหมือนจะมีให้แค่ลูกหลานเท่านั้น
ถ้าเด็ก ๆ อยู่กันสุขสบาย ที่ทำมาก็ไม่ไร้ความหมาย
“ตาแก่ จัดการเรื่องเด็ก ๆ เสร็จ เรากลับบ้านกันนะ ฉันคิดถึงคนที่บ้านมากเลย” คุณย่าเอ่ยด้วยความตื้นตันใจ
ท่านยังคงคิดถึงยายแก่บ้านฉาง
ชนบทเป็นสถานที่ที่ดี การได้นั่งคุยใต้ต้นไม้เป็นอะไรที่มีความสุขมาก
แต่ในเมืองหลวง ทุกคนกลับเหมือนเป็นคนแปลกหน้ากันหมด
“เข้าใจแล้ว เธอพูดแล้วนะ ไว้เจ้าพวกนั้นแต่งงานครบ เสี่ยวเถียนออกเรือนเราค่อยกลับกัน!” คุณปู่ทำตามความปรารถนาของภรรยา
ยายเฒ่าใช้ชีวิตยากลำบากกับตนมาชั่วชีวิต แต่เพิ่งจะมีช่วงให้หลังที่ดีขึ้นบ้าง
ไว้แก่ตัวลงจะต้องสร้างบ้านหลังใหญ่ ๆ ไว้อยู่กัน
ไม่สิ เอาเป็นอาคารตะวันตกเลย เธอจะได้อยู่สบาย ๆ
“เธอว่าเด็กพวกนี้จะตามเรากลับไหม?” ตอนนี้ทุกคนทำงานทำการกันหมดแล้ว ถ้ากลับบ้านก็เหลือแค่เราสองคนตายายเหงา ๆ เองไม่ใช่หรือ?”
ถ้าเป็นแบบนั้นชีวิตก็ดูเหมือนไม่มีความหมายเท่าไร
ต้นไม้ใหญ่สูงพันจั้งใบร่วงหล่นสู่ราก*[2]แต่สิ่งสำคัญสุดคือการมีเด็ก ๆ คอยดูแลไม่ใช่หรือ?
“คิดอะไรของแก? ลูกหลานกำลังมีอนาคต ตามเรากลับบ้านจะไปมีประโยชน์อะไร?”
คุณย่าซูตักปลาตุ๋นน้ำแดงออกมา สายตาพลันจ้องเขม็งไปที่สามี
คนที่เพิ่งจะโดนว่าไปกลับไม่โกรธเลยสักนิด เอาแต่ยิ้มซื่อใส่
ก็จริงนะ อุตส่าห์ดูแลจนเป็นผู้เป็นคน เอากลับบ้านไปด้วยไม่น่าขันเอาหรือ?
แก่จนเลอะเลือนแล้วหรือไงเนี่ย?
อยากให้พวกเขากลับไปทำไร่ทำนาต่อใช่ไหม?
[1] สะใภ้ขี้เหร่อย่างไรก็ต้องเจอพ่อแม่สามี เป็นการเปรียบว่า ไม่ว่าจะหลบหน้ายังไงก็หนีไม่พ้น ยังไงสักวันเราก็ต้องเจอกันอยู่ดี
[2] ต้นไม้ใหญ่สูงพันจั้งใบร่วงหล่นสู่ราก หมายถึง สูงสุดคืนสู่สามัญ