เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 937 ข่าวคราวดังไปไกลถึงหมู่บ้าน
บทที่ 937 ข่าวคราวดังไปไกลถึงหมู่บ้าน
บทที่ 937 ข่าวคราวดังไปไกลถึงหมู่บ้าน
ข่าวเกี่ยวกับการกำเนิดของรุ่นเหลนของตระกูลซูดังไกลไปถึงหมู่บ้านหนานหลิ่งด้วยความรวดเร็ว
หลี่จู้จื่อเป็นคนบอกเอง
เขาสนิทกับคนบ้านนี้มาตลอด ทั้งยังเคารพรักคุณปู่คุณย่าซูเหมือนเป็นผู้ใหญ่ในบ้านตัวเอง
ทุก ๆ เดือนจะโทรถามไถ่สารทุกข์สุกดิบพวกเขาสองครั้ง
ฝ่ายนู้นก็โทรหาเหมือนกัน ถามไถ่ว่าทำงานอะไร หรือไม่ก็ดูแลสุขภาพกันด้วย
สรุปแล้ว ทั้งสองครอบครัวเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันเลย
หลี่จู้จื่อกลับหมู่บ้านไปพร้อมกับข่าวดี แล้วแจ้งให้ซูฉางจิ่วทราบ
หัวหน้าซูถือยาสูบนิ่ง ไม่ได้พูดอะไรสักคำ
ตามธรรมเนียมของหมู่บ้านคือ ถ้าบ้านไหนคลอดเด็ก พวกเขาจะส่งของขวัญไปแสดงความยินดี
ตอนนี้บ้านซูให้กำเนิดรุ่นเหลนแล้ว ก็ถึงเวลาที่พวกเขาต้องมอบของขวัญให้
แต่เมืองหลวงอยู่ไกลเกินไป ทั้งยังต้องจ้างคนไปส่งอีก บางคนก็จ่ายไม่ไหวหรอก
ในไม่ช้า ทุกคนที่หมู่บ้านหนานหลิ่งก็รู้ข่าวเรื่องโส่วเวินมีลูกชาย พวกเขาต่างพูดคุยกันอย่างมีความสุข
ทุกประโยคล้วนเป็นคำมงคลทั้งสิ้น บ้างก็ว่านักบัญชีหนุ่มมีลูกชายแล้ว บางคนก็ว่าเด็กคนนี้โชคดีมากได้ลูกชาย
แม้กระทั่งว่าเขาเป็นเด็กกลับชาติมาเกิด นำพาความโชคดีมาให้บ้านซูอะไรทำนองนี้
สรุปแล้ว พวกเขาล้วนปรารถนาดีต่อซูจื่อเล่อทั้งนั้น
ชีวิตชาวบ้านในหมู่บ้านหนานหลิ่งในทุกวันนี้ดีกว่าเดิมเสียอีก ตั้งแต่ประกาศใช้นโยบายครัวเรือน คุณภาพชีวิตของพวกเขาก็ดีขึ้น
ยกเว้นคนขี้เกียจที่ชีวิตย่ำแย่ลงเล็กน้อย ส่วนคนอื่น ๆ ดีกว่าที่ผ่านมาเยอะ
ช่วงปีใหม่เสี่ยวซื่อจากบ้านซูกลับมาชี้หนทางทำเงินให้พวกเขาด้วย
ชายหนุ่มบอกให้เราใช้เวลาว่างในการทำงานฝีมือ ได้เงินมานิดหน่อยก็ยังดี
ที่จริงแล้ว หมู่บ้านโดยรอบใช่ว่าจะไม่มีใครคิดจะทำนะ
แต่งานฝีมือที่พวกเขาทำอยู่นี้หาตลาดขายไม่ได้น่ะสิ สุดท้ายก็ต้องเก็บไว้เอง
แต่หมู่บ้านหนานหลิ่งไม่เหมือนที่อื่น สินค้าที่ผ่านการรับรอง เสี่ยวซื่อจะรับหน้าที่ซื้อเอง แล้วราคาที่ให้ก็ไม่ได้ต่ำด้วย
อย่างที่เด็กคนนั้นบอกนั่นแหละ ถึงเงินที่ได้จะไม่เยอะอะไร แต่อย่างน้อยเราก็ทำงานเสริมได้โดยที่ไม่เสียเงิน
ทุกคนจะใช้ช่วงหลังอาหารเย็น พักกลางวัน หรือไม่ก็วันที่ฝนตกออกไปไร่ไม่ได้ทำงานฝีมือ ซึ่งไม่เสียเวลาและไม่เปลืองแรงด้วย
ชาวบ้านทำงานฝีมือไว้หลายอย่าง แล้วเสี่ยวซื่อก็ทำตามข้อตกลงที่ว่าไว้จริง ๆ โดยให้หลี่จู้จื่อซื้อพวกมันไว้ทั้งหมด
ช่วงนี้หลาย ๆ บ้านที่ลงแรงร่วมใจทำงานก็ได้เงินมาหลายร้อยหยวนทีเดียว
รายได้ดีกว่าทำไร่ทั้งปีเสียอีก ใคร ๆ ต่างก็อิจฉาทั้งนั้น
บางบ้านสมาชิกอาจจะน้อย ของที่ทำได้จึงน้อยลงด้วย แต่ก็ยังหาเงินได้หลายสิบหยวนอยู่ดี
สิ่งนี้เทียบเท่าได้กับเงินเดือนคนในเมืองเลยนะ
ชาวบ้านมีความสุขกันมาก และรู้สึกขอบคุณคนบ้านซูจากก้นบึ้งของหัวใจ
คนบ้านซูเดินทางไปอยู่เมืองหลวงแล้ว ได้ยินข่าวคราวว่าชีวิตดีขึ้น แต่คนในหมู่บ้านก็ไม่ได้อิจฉา
ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว แม้คนบ้านซูชีวิตจะดีขึ้น แต่ก็ไม่เคยลืมช่วยเหลือคนในหมู่บ้าน
พวกเขายังจำสายสัมพันธ์กับพวกเราได้อยู่
มนุษย์ก็แบบนี้แหละ
พอมีเงินคนก็จะอิจฉา จะให้ตรง ๆ ก็ดูไม่ดี
เพราะคนจะนิสัยไม่ดีก็ต่อเมื่อได้อะไรมาง่ายเกินไป และไม่คิดทะนุถนอมมัน ซึ่งก็สมเหตุสมผลอยู่
ทั้งยังคิดอีกว่าพวกเขาได้เงินน้อยเกินไป
แต่ถ้าให้พวกเขาพยายามทำด้วยตัวเอง ย่อมไม่มีความคิดพวกนั้นในใจแน่นอน แล้วเงินที่ได้รับมาก็สมควรตามแรงที่ลงไป ทั้งยังซาบซึ้งในความดีของคุณด้วย
นี่คือสาเหตุที่พวกเขาไม่รับผิดชอบทุกอย่างแต่แรก และให้ชาวบ้านลงมือทำด้วยตัวเอง
คนบ้านซูไม่อยากให้หมาที่เลี้ยงแว้งกัดหรอกนะ
ตอนนี้ชาวบ้านไม่มีอะไรจะให้นอกจากความซาบซึ้งใจ ส่วนช่างฝีมือจากหมู่บ้านอื่นมีแต่เสียกับเสียทั้งนั้น
มีแค่คนจากหมู่บ้านหนานหลิ่งเท่านั้นที่หาเงินได้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นบุญคุณอันยิ่งใหญ่
ยิ่งได้ยินข่าวโส่วเวินมีลูกชาย พวกเขาก็ดีใจกันมาก มากกว่าลูกหลานบ้านเกิดตัวเองเสียอีก
ตอนสนทนา พวกเขาถกกันเรื่องจะหาของตอบแทนให้คนบ้านซูยังไงดีด้วยโนเวล-พีดีเอฟ
ใต้ต้นหลิวในหมู่บ้าน ชาวบ้านนั่งทำงานฝีมือพร้อมกับสนทนาไปด้วยหลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว
พวกผู้ชายสานเชือก พวกผู้หญิงทำเย็บปักถักร้อย แบ่งงานกันอย่างชัดเจน ทั้งยังได้เงินด้วยกันทั้งคู่
“หัวหน้า ไม่อย่างนั้นเราเดินทางไปเยี่ยมตระกูลซูแล้วหิ้วอาหารเฉพาะถิ่นไปให้พวกเขาด้วยดีไหม?”
มีคนหนึ่งเสนอ
แน่นอนว่าทุกคนล้วนอนุญาต
ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เราไปต่างถิ่นได้สบาย ทั้งยังมีเงินซื้อตั๋วเดินทางไปเมืองหลวงด้วย
ว่ากันว่าเมืองหลวงคือดินแดนแห่งทองคำ เห็นชีวิตบ้านซูดีขึ้นจากที่นั่นได้ เราก็อยากลองไปดูบ้าง
บางทีอาจจะได้มีชีวิตที่ดีเหมือนกับพวกเขา
“การเดินทางใช้เงินเยอะมากเลยนะ ยินดีจ่ายเยอะใช่ไหม?” ซูฉางจิ่วเหลือบมองชาวบ้าน แล้วเอ่ยถามอย่างใจเย็น
ถึงไปแล้วจะไปอยู่บ้านซูได้ แต่ยังไงค่าเดินทางก็ยังต้องใช้เยอะอยู่ดี
ทุกคนเงียบกริบ
“แต่ถ้าไปแสดงความยินดีไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเราส่งตัวแทนไปดีไหม?” มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งเสนอ
“ฉันเห็นด้วย”
“ฉันก็เหมือนกัน!”
“แล้วใครจะเป็นคนไปล่ะ?”
“ให้หัวหน้าไปไหม?”
“แต่ฉันก็อยากไปด้วยนะ”
…
ชั่วขณะหนึ่งที่เกิดเสียงโหวกเหวกโวยวายขึ้น
มีใครไม่อยากไปเปิดหูเปิดตาที่เมืองหลวงบ้างล่ะ?
นี่เป็นโอกาสที่จะได้ใช้เงินส่วนรวมเพื่อเดินทางเลยนะ เราย่อมสู้สุดใจเพื่อคว้าเอามาให้ได้แน่นอน
ในเมื่อต้องส่งคนคนหนึ่งไป ทุกคนย่อมหวังให้เป็นตัวเองอยู่แล้ว
“ถ้าจะส่งตัวแทนไป งั้นเขาก็ต้องซื้อตั๋วเองด้วยใช่ไหม แล้วใครจะยอมไปล่ะ?”
ผู้อาวุโสเห็นว่าเรื่องราววุ่นวายไปหน่อย และคงไม่สามารถตกลงกันได้ จึงเสนอความคิดขึ้นมา
จุดประสงค์หลักคือการไปขอบคุณตระกูลซูสำหรับน้ำใจ แต่เราจะแตกแยกไม่ได้เหมือนกันนะ
หลังจากนั้นทุกคนก็เงียบกริบ
ตลกแล้ว ให้จ่ายค่าตั๋วเองเนี่ยนะ หนึ่งปีทำงานไปเสียเปล่าเพราะเอาไปเติมค่าน้ำมันให้รถไฟเนี่ย!
ได้ยินว่าราคาตั๋วไปเมืองหลวงแพงมาก
“หัวหน้าซู ฉันว่าคุณไปเองดีกว่า คุณเป็นหัวหน้าถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของพวกเรานะ”
หลังจากทุกคนไม่เต็มใจจะเจียดเงินออกมาจ่าย คนฉลาดจึงเสนอความคิดขึ้นมา
ทุกคนเห็นชอบทันที
ซูฉางจิ่งร้องเหอะ เจ้าพวกนี้มันแผนสูงจริง ๆ!
ถ้าใช้เงินหมู่บ้านให้ตายยังไงพวกนี้ก็ไม่มีทางให้ตนไปหรอก พอตอนนี้ต้องออกเงินเองเลยคิดได้ว่าเขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้านเลยต้องไป
เขาหมายจะพูดสักอย่าง แต่เห็นหลี่จู้จื่อเดินเข้ามา