เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 959 หลายสิ่งยังคงเดิมยกเว้นผู้คน
บทที่ 959 หลายสิ่งยังคงเดิมยกเว้นผู้คน
บทที่ 959 หลายสิ่งยังคงเดิมยกเว้นผู้คน
ตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงกว่า รถไฟไปหนานหลิ่งจะมาถึงตอนเที่ยง พวกเธอจึงมีเวลาชั่วโมงกว่าในการหาร้านอาหาร
เซี่ยหนานไม่มีความอยากจึงคิดปฏิเสธ
แต่พอเห็นใบหน้าเหนื่อยล้าของเสี่ยวเถียนก็ยอมตกลง
เด็กคนนี้ยอมเดินทางมาด้วยกันหลายพันลี้ ทั้งยังเป็นการเดินทางที่ยากลำบากมาก
เด็กอยู่ในวัยกำลังโต สิ่งสำคัญที่สุดก็คือสารอาหาร
ตัวอำเภอไม่เจริญเท่าไร ของกินมีไม่มาก แม้จะมีร้านอาหาร แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเมนูเส้น
พวกเธอเจอร้านบะหมี่เนื้อแห่งหนึ่งใกล้ ๆ ค่อนข้างเก่าแก่
“ร้านนี้เปิดมาหลายปีแล้วค่ะ ตั้งแต่เริ่มใช้นโยบายครัวเรือนเลย อร่อยมากนะคะ”
เสี่ยวเถียนพาอาจารย์เข้าไปในร้านแล้วสั่งบะหมี่เนื้อสองชาม
เซี่ยหนานไม่เคยกินมาก่อน แต่เคยได้ยินอยู่
“พวกเรามากินข้าวกันก่อนเนอะ? มีอะไรที่อาจารย์ไม่กินไหมคะ เช่นต้นหอม ผักชีอะไรพวกนี้น่ะค่ะ” หลังจากซื้อตั๋วรถเสร็จเสี่ยวเถียนก็เอ่ยถาม
ภายในร้านมีลูกค้าอยู่เจ็ดแปดคน พวกเขาสนทนากันเป็นภาษาถิ่น
บทสนทนาง่าย ๆ ผู้คนก็เป็นกันเอง
“บะหมี่ได้แล้วค่ะ” เสี่ยวเถียนเดินกลับมาพร้อมชามบะหมี่
ในชามมีน้ำมันพริกสีแดง ต้นหอมและผักชีสีเขียว น้ำซุปใสแจ๋วมีเส้นบะหมี่บาง ๆ อยู่ในนั้น
เป็นบะหมี่ที่ต่างกับที่เซี่ยหนานกินทุกวันเลย แม้ไม่ได้ทำอย่างประณีต แต่มีความละเอียดอ่อน น่าอร่อยมาก กระตุ้นความอยากสุด ๆ
“นี่เป็นบะหมี่ต้นเผิงของเฉพาะในท้องถิ่นค่ะ เหนียวนุ่มมาก ๆ”
เด็กสาววางชามหนึ่งไว้ตรงหน้าอาจารย์ แล้ววิ่งกลับไปหยิบอีกชามก่อนทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม
เซี่ยหนานมองด้วยความงุนงง
เสี่ยวเถียนหยิบขวดน้ำส้มสายชู เธอเทใส่ให้ตัวเองและยังแนะนำอาจารย์ให้ใส่ด้วยเหมือนกัน
“กินบะหมี่เนื้อใส่น้ำส้มสายชูหลังจากลงรถไฟใหม่ ๆ เป็นสิ่งที่ผ่อนคลายที่สุดแล้วค่ะ”
เซี่ยหนานเคยมาที่นี่อยู่หกครั้ง
ครั้งแรกคือตอนคลอดลูกสาว สมัยนั้นเธอจนมากไม่มีเงินซื้อหมั่นโถวสักลูก
ส่วนอีกห้าครั้งที่เหลือคือมาตามหาลูก ซึ่งตอนนั้นมีแต่โรงแรมของรัฐ ไม่มีร้านบะหมี่แบบนี้หรอก
น้ำส้มสายชูดึงกลิ่นหอมของบะหมี่เนื้อออกมาจนคนได้กลิ่นรู้สึกหิว
เซี่ยหนานเทใส่อย่างชำนาญ แล้วคว้าตะเกียบขึ้นมากินบ้าง
เส้นบะหมี่เหนียวนุ่มอันเผ็ดร้อน ประกอบกับรสชาติเปรี้ยว ๆ เผ็ด ๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายมาก
เสี่ยวเถียนหยิบกระเทียมมาสองกลีบก่อนยื่นให้คนตรงหน้า
เซี่ยหนานแปลกใจ “กินสด ๆ ได้เลยหรือ?”
เธอไม่เคยกินสด ๆ มาก่อน เพราะรู้สึกว่ากลิ่นขึ้นจมูกน่ะ
“หนูรับรองว่าถ้าอาจารย์ได้ลองแล้วจะติดใจค่ะ! พี่เสี่ยวเฉ่าชอบกินกระเทียมสดตอนกินบะหมี่มาก พี่เขาบอกว่าถ้าไม่กินแล้วความอร่อยจะลดลงครึ่งหนึ่งน่ะ”
ได้ยินเช่นนั้นเซี่ยหนานก็หยิบกระเทียมกลีบหนึ่งขึ้นมาแล้วปอกเปลือก
เธอนึกภาพเสี่ยวเฉ่านั่งอยู่ตำแหน่งเดียวกับตัวเอง และกำลังกินบะหมี่พร้อมกระเทียมสด
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“บะหมี่เนื้อรสชาติเยี่ยมไปเลย ขอบคุณนะเสี่ยวเถียน”
ท่วงท่าตอนกินของเธองดงามราวกับภาพวาด
ต่างจากคนรอบด้านโดยสิ้นเชิง
“ถ้าได้กินตอนเช้า ๆ จะอร่อยกว่าตอนเที่ยงอีกนะคะ”
เสี่ยวเถียนเห็นอีกฝ่ายลืมเรื่องในใจไปแล้ว ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยหนานพยักหน้า “ถ้าเปิดร้านแบบนี้ในเมืองหลวงนะ ขายดีแน่นอน เผลอ ๆ ทำกำไรได้มากกว่าหออีหมิงอีก”
เสี่ยวเถียนนึกถึงร้านบะหมี่ในอนาคตที่จะเปิดเต็มบ้านเต็มเมือง แม้ส่วนใหญ่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็ยังขายดีอยู่เสมอ
“อาจารย์เซี่ยสอนปรัชญาแท้ ๆ ไม่คิดว่าอาจารย์จะรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ด้วย”
เซี่ยหนานยิ้มออกมา “ฉันไม่ได้รู้อะไรขนาดนั้นหรอก แค่เห็นว่ามันอร่อยดีน่ะ”
เด็กสาวพยักหน้า
“เพราะกรรมวิธีในการทำบะหมี่รวดเร็ว จึงถือว่าเป็นอาหารจานด่วนสินะคะ”
“อย่าว่าแต่บะหมี่ชามนี้เลยค่ะ พอขยับออกไปหน่อย รสชาติก็ไม่เหมือนกันแล้ว หนูไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ที่น้ำ ดิน หรืออะไรกันแน่”
บะหมี่เนื้อห่างไกลจากความเป็นบ้านเกิดไปแล้วละ แถมรสชาติก็บอกไม่ถูกด้วย
เซี่ยหนานครุ่นคิด “ขนาดบะหมี่ยังละทิ้งกลิ่นอายบ้านเกิด นับประสาอะไรกับคนเราล่ะ”
เสี่ยวเถียนฟังไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ถาม
หลังจากกินเสร็จ พวกเธอไปต่อกันที่ป้ายรอรถ
“ป้ายรอรถยังเหมือนเดิมเลย แต่ก็อย่างว่าหลายสิ่งยังคงเดิมยกเว้นผู้คน!”
รถประจำทางไปหมู่บ้านหนานหลิ่งเป็นรถคันเก่า ขับเคลื่อนช้ามาก
เซี่ยหนานนั่งริมหน้าต่างมองถนนลูกรังอันคดเคี้ยว และชนบทรกร้างหลังออกจากตัวเมือง ในใจพลันรู้สึกเจ็บปวด
เสี่ยวเถียนต้องเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ยี่สิบกว่าปีเลยหรือ?
ต้องทุกข์ทรมานขนาดไหนกันนะ?
ไม่หรอก คงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะครอบครัวของเสี่ยวเถียนที่ตนรู้จักดีต่อคนอื่นมาก ๆ คนในหมู่บ้านเองก็คงไม่ต่างกัน
ด้วยความเป็นถนนลูกรัง พอรถขับผ่านจึงมีฝุ่นฟุ้งกระจาย
หน้าต่างไม่ได้ปิดสนิททำให้มันลอดเข้ามาได้ ภายในรถตอนนี้เต็มไปด้วยฝุ่น
ร่างกายพวกเธอสองคนมีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด
“เสี่ยวเถียน หนูนั่งรถแบบนี้ไปเรียนในอำเภอหรือ?”
“สมัยนั้นยังไม่มีรถแบบนี้เลยค่ะอาจารย์”
เซี่ยหนานตกใจมาก ไม่มีรถหรือ แล้วเดินทางกันยังไง?
“เราเดินเอาค่ะ เพราะตัวอำเภออยู่ไกลมากเลยใช้เวลาเดินกันนาน”
“เดิน?” เซี่ยหนานแทบไม่อยากจะเชื่อ
เด็ก ๆ ต้องเดินไปเรียนไกลขนาดนี้เลยหรือ?
“หนูมีบ้านอยู่ในตัวอำเภอค่ะ ส่วนพวกพี่เสี่ยวเฉ่าจะอยู่หอพักของโรงเรียน พอวันหยุดก็มานอนบ้านหนู ไม่ค่อยได้กลับหมู่บ้านหรอกค่ะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เสี่ยวเถียนก็พูดเรื่องเก่า ๆ ให้ฟังเล็กน้อย เช่นบังเอิญเจอเกวียนวัวเข้าเมืองพอดี หรือไม่ก็นั่งรถจี๊ปของอาเขยเป็นบางครั้งอะไรพวกนี้
“พวกพี่เสี่ยวเฉ่าเรียนมัธยมปลายปีเดียวค่ะ พอจบก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยกัน”
“จริง ๆ พี่เขาเรียนเก่งนะคะ แต่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองคะแนนสอบเลยออกมาไม่ดีค่ะ”
เสี่ยวเถียนเอ่ยถึงเสี่ยวเฉ่าเป็นพิเศษ
ที่จริงมันไม่ได้น่าสนใจเท่าไรหรอก เสี่ยวเฉ่าเป็นคนเงียบ ๆ มีเหตุผล เวลาเราสร้างเรื่องเจ้าตัวจะเป็นคนยืนดูเงียบ ๆ เสมอ
แต่เซี่ยหนานกลับตั้งใจฟังมาก