เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?) - ตอนที่ 285 กลับบ้านซูมู่ชิงอีกครั้ง
ตอนที่ 285 กลับบ้านซูมู่ชิงอีกครั้ง!
“แก…”
หลี่เฉิงเจี๋ยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาสามสิบปี ไม่เคยโดนดูหมิ่นแบบวันนี้มาก่อน!
เขาไม่เพียงแต่โดนคนซ้อมจนหมดสภาพ แถมยังโดนคนขับรถดดูถูก!
“ดีนี่ นายมันมีของ! เรื่องวันนี้ฉันจะไม่ยอมเลิกราแน่!”
หลี่เฉิงเจี๋ยเดินไปหาพ่อแม่ของซูมู่หลิน แล้วหยิบเอาเสื้อคลุมของเขามาจากมือแม่ของเขาพลางกล่าว “สวัสดีครับ คุณอา คุณน้า”
“เฮ้อ เฉิงเจี๋ย อย่าเพิ่งไปสิ”
คุณแม่ของซูมู่หลินรีบร้อนเดินตามออกไป แล้วพูดจาปลอบโยนเขาไม่หยุดเพื่อไม่ให้หลี่เฉิงเจี๋ยใส่ใจในเรื่องที่เกิดขึ้น
ส่วนซูมู่หลินกลับตบมือชื่นชมไม่หยุด “ทำได้ดีนี่ คิดว่าคราวหน้าหลี่เฉิงเจี๋ยน่าจะไม่กล้ามารังควานพี่สาวแล้ว!”
ซูมู่หลินไม่ชอบหลี่เฉิงเจี๋ย เพราะว่าหลี่เฉิงเจี๋ยเคยแต่งงานมาก่อน อีกทั้งคนผู้นี้ยังเป็นพวกคร่ำครึ มีความคิดแบบปิตาธิปไตย เป็นพวกผู้ชายที่สนใจแต่ความคิดตนเอง และถึงขนาดลงมือทำร้ายผู้หญิงได้เพียงเพราะหน้าของตนเอง
ภรรยาเก่าของเขาทนนิสัยจุดนี้ของเขาไม่ได้ ดังนั้นถึงได้หย่ากับเขา
ซูมู่หลินย่อมไม่อยากเห็นพี่สาวของเขาแต่งงานกับผู้ชายประเภทนี้
ทว่าในเวลานี้เอง มารดาของซูมู่หลินก็ส่งหลี่เฉิงเจี๋ยจากด้านนอกเสร็จแล้วหล่อนไปหยุดตรงหน้าเย่เฉิน แล้วฟาดฝ่ามือใส่หน้าเขา!
เพี้ยะ!
แม่ของซูมู่หลินตบหน้าเย่เฉิน!
โดยในขณะนั้นเองเย่เฉินกำลังมองลูกสาวสุดที่รักของตนเองอยู่ จึงไม่ทันรู้ตัวเมื่อมารดาของซูมู่หลินเดินมาเข้าใกล้เขา
ดูไปแล้วคุณนายซูน่าจะโกรธจัด หล่อนตะโกนใส่หน้าเย่เฉิน “แกเป็นแค่คนขับรถ แกน่าจะรู้ว่าแกเป็นใคร? แล้วรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร?”
“คุณหลี่น่ะ อนาคตจะเป็นเขยของตระกูลเรา เป็นเจ้านายแก! อยากตายหรือไง!”
เห็นเย่เฉินโดนซ้อม ซูมู่ชิงรีบร้อนเดินมาพุ่งไปบ่นมารดา “แม่คะ แม่ทำร้ายร่างกายคนอื่นได้ยังไงคะเนี่ย?”
คุณแม่ซูเห็นก็กล่าวเสียงห้วน “เขาซ้อมลูกเขยแม่ แม่ตบเขาสักฉาดมันไม่สมควรหรือยังไง?”
ซูมู่ชิงที่กำลังจะพยายามแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ใครจะรู้จู่ๆ ซือซือก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว หล่อนกอดเย่เฉินเอาไว้เหมือนพยายามจะปกป้องเขา แล้วกล่าวกับผู้มีศักดิ์เป็นยาย “คุณยายอย่าตีพ่อหนู!”
แล้วในทันใดนั้นเองทุกคนที่นั่นก็นิ่งไป
ส่วนผู้ใหญ่ทั้งสองคนต่างก็เบิกตาค้าง ส่วนซูมู่เสวี่ยเองก็ถามอย่างอดไม่ได้ “ซือซือหนูพูดอะไร? ผู้ชายคนนี้เป็นพ่อของหนูเหรอ?”
“ตอนนั้นคนที่ทำซูมู่ชิงตั้งท้องคือเธอเองเหรอเนี่ย?”
นอกจากซูมู่หลินแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็หันมองเย่เฉินด้วยแววตาที่เจือไปด้วยโทสะ
เย่เฉินยังไม่ทันได้ยอมรับ ซูมู่ชิงก็รีบร้อนอธิบาย “ไม่ใช่ค่ะ ซือซือพูดจาเหลวไหล ซือซือไม่ได้เป็นอะไรกับเขา ซือซือแค่คิดถึงพ่อของแกเองมากเกินไป”
พอได้ยินคำอธิบายของซูมู่ชิง ซูมู่เสวี่ยก็ถอนหายใจ “ทำฉันตกใจหมดก็คิดว่าจริง พี่ชิงคะ ถ้าตอนนั้นพี่ยอมตั้งท้องมีลูกกับคนขับรถจริงๆ ไม่คุ้มเลย เหอะๆ”
ซูมู่ชิงไม่สนใจอีกฝ่าย แต่หันมามองเย่เฉิน “คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
เย่เฉินส่ายหน้า ตนเองโดนแม่ของซูมู่ชิงตบหน้าฉาดใหญ่ ก็ถือเสียว่าเป็นการชดเชยให้หญิงสาวก็แล้วกัน
ซูมู่ชิงมองพ่อกับแม่ด้วยใบหน้าไม่พอใจ “หนูจะกลับแล้ว”
ซูมู่หลินรีบร้อนกล่าว “ให้คนขับรถผมไปส่งสิ”
ซูมู่ชิงปรายตามองเย่เฉิน เย่เฉินเองก็อยากจะอยู่กับแม่ลูกคู่นี้ต่อจึงรับคำ “ครับ”
ทั้งสามคนเดินไปด้านนอก ซูมู่ชิงขับรถ JEEP สีแดง
เมื่อมาถึงตรงหน้ารถ เย่เฉินเป็นฝ่ายกล่าว “ให้ผมขับรถก็แล้วกัน”
ซูมู่ชิงกลับปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก คุณนั่งเถอะ”
ถึงแม้ว่าซูมู่ชิงจะร่างกายอ่อนแอ แต่พอจะมองออกว่าเจ้าหล่อนเป็นผู้หญิงในเมืองหลวงที่ทั้งแข็งแกร่งและเป็นตัวของตัวเองมากทีเดียว
ผู้หญิงในเมืองหลวงแตกต่างจากผู้หญิงทางใต้ พวกหล่อนยืนอยู่ด้วยลำแข้งของตนเอง ไม่นุ่มนิ่มเหมือนผู้หญิงทางใต้
มีนิสัยบางส่วนที่ค่อนข้างเหมือนกับผู้หญิงโซนยุโรป ที่ชอบทำอะไรๆ ด้วยตัวเอง
ส่วนซือซือก็ดึงมมือเย่เฉินพลางกล่าว “คุณแม่ขับรถเก่งที่สุดเลย ให้คุณแม่ขับรถไปเถอะค่ะ หนูอยากให้คุณพ่ออยู่เป็นเพื่อน”
เย่เฉินบีบแก้มเล็กๆ ของซือซือ เขาพอจะมองออกตั้งแต่ตอนที่อยู่ในร้านกาแฟในเทียนไห่ว่าแม่หนูน้อยคนนี้ชอบเขามาก มีคำพูดมากมายอยากจะคุยกับเขา
ยังจำครั้งที่สองที่ไปได้ น้องสาวคนที่สี่ของเขายังอดใจให้อุ้มแม่หนูน้อยคนนี้ไม่ได้ เมื่อหล่อนอุ้มแล้ว เขาก็อยากอุ้มบ้าง
ตอนเย่เฉินเตรียมไปอุ้มซือซือ ทั้งที่เด็กหญิงก็เป็นฝ่ายยื่นมือมาให้เขาอุ้มหล่อน
แต่ว่ากลับโดนซูมู่ชิงก็ขวางเอาไว้
ไม่รู้ว่าทำไมซูมู่ชิงถึงไม่ยอมให้เย่เฉินอุ้มลูกสาวตนเอง
เย่เฉินเปิดประตูรถแล้วอุ้มเด็กหญิงขึ้นไป พลางกล่าว “ได้สิ เดี๋ยวคุณพ่อจะนั่งกับหนู ให้คุณแม่เขาขับรถไปแล้วกัน”
เมื่อนั่งในรถ เย่เฉินและซือซือก็นั่งด้านหลัง จู่ๆ ซือซือก็อ้อนวอน “หนูจะนั่งตักคุณพ่อ”
ซูมู่ชิงที่กำลังขับรถอยู่ก็หันมาสั่งสอนซือซือ “ซือซือ”
เย่เฉินกลับรวบเด็กหญิงขึ้นมาวางบนตัก แล้วกล่าวกับซูมู่ชิง “ให้ลูกนั่งแบบนี้เถอะ ผมกอดอยู่ ปลอดภัยมาก”
ซูมู่ชิงส่ายหน้า ปกติแล้วซือซือเป็นเด็กดีมาก วันนี้ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ซนแบบนี้
ทักษะในการขับรถของซูมู่ชิงดีมาก โดยเฉพาะทักษะในการจอดรถ ถอยจอดโดยไม่ได้ต้องมองกล้องช่วยจอดเลย
แล้วทั้งสามคนก็มาถึงเรือนสี่ประสานของพวกหล่อนอย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึงเรือนสี่ประสานแย่เฉินก็กล่าวถาม “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่? เป็นเพราะเรื่องของผมหรือเปล่า คุณเลยโดนที่บ้านไล่ออกมา?”
ซูมู่ชิงตอบ “ฉันย้ายออกมาเองค่ะ ตอนอยู่บ้านพ่อกับแม่ชอบให้ฉันไปดูตัวกับคนนั้นคนนี้ ฉันเบื่อน่ะ”
เย่เฉินประหลาดใจ “ทำไมหลายปีมานี้คุณถึงไม่แต่งงาน? ด้วยคุณสมบัติของคุณ ต่อให้มีลูกสาวก็น่าจะหาแฟนได้ไม่ยากนี่นา?”
ซูมู่ชิงไม่อยากจะตอบ หล่อนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเปิดปากเอ่ยช้าๆ “เพราะคนที่พ่อแม่ของฉันจัดแจงหามา ก็มีแต่พวกที่แต่งงานเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น ฉันไม่อยากตกเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ของตระกูล”
“อ้อ”
เย่เฉินเลยไม่ถามต่อ เขาพอจะมองออกว่าซูมู่ชิงเป็นผู้หญิงเป็นคนที่ตั้งความหวังกับความรักเอาไว้สูงมากทีเดียว
เมื่อเดินมาที่ห้องรับแขก ซูมู่ชิงก็ดึงมือของซือซือแล้วกล่าว “ซือซือ วันนี้ลูกยังไม่ได้ซ้อมเปียโนเลย”
ซือซือเม้มริมฝีปาก “หนูไม่อยากซ้อมเปียโน หนูอยากเล่นกับคุณพ่อ”
ในขณะที่เย่เฉินมองประเมินการตกแต่งของห้องรับแขก การตกแต่งและดีไซน์ของห้องรับแขกห้องนี้เรียบง่าย แตกต่างไปจากวิลล่าหรูที่เขาเคยอยู่ ถึงขนาดที่อาจเรียกได้ว่าชวนละเหี่ยใจ
คิดไม่ถึงว่าซูมู่ชิงจะเลือกสถานที่แบบนี้ มันเพียงพอแล้วที่จะบอกว่าหล่อนไม่ใช่ผู้หญิงที่เห็นแก่เงินเป็นสำคัญ
เย่เฉินเห็นเปียโน Steinway & Sons ที่วางอยู่กลางห้องก็กล่าว “ซือซือเริ่มเรียนเปียโนแล้วเหรอเนี่ย ซือซือ พ่อสอนหนูเล่นเปียโนดีไหมคะ?”
“ดีค่ะๆ”
ซือซือที่ไม่ค่อยชอบเรียนเปียโน ยังดูสนอกนใจอย่างเห็นได้ชัด
ซูมู่ชิงมองเย่เฉินอย่างประหลาดใจ “คุณเล่นเปียโนเป็นด้วยเหรอเนี่ย”
บางทีหล่อนอาจจะคิดว่าผู้ชายที่ชอบการต่อสู้แบบเย่เฉิน ไม่น่าจะมีความสามารถในด้านศิลปะพวกนี้
เย่เฉินกล่าว “ฉินหลางนักเปียโนชื่อดังระดับโลกเป็นศิษย์น้องของผม สบายใจเถอะครับ การเรียนเปียโนของซือซือในอนาคตยกให้ผมแล้วกัน”
เย่เฉินอุ้มซือซือมานั่งลงตรงหน้าเปียโน แล้วอวดทักษะการเล่นเปียโนของเขาให้ลูกสาวได้เห็น จากนั้นเด็กหญิงจึงปรบมือไม่หยุด
เมื่อเห็นทักษะการเล่นเปียโนของเย่เฉิน ซูมู่ชิงก็วางใจ จากนั้นจึงถามอีกฝ่าย “เย่เฉิน คุณจะอยู่กินข้าวต่อไหม? ถ้าคุณจะอยู่กินข้าวที่นี่ ฉันจะไปทำกับข้าวเดี๋ยวนี้เลย”
เย่เฉินกล่าว “ผมไม่เพียงแต่กินข้าวที่นี่ แต่ผมจะค้างที่นี่ด้วย”