เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?) - ตอนที่ 287 ตามใจลูกสาวแบบไม่มีขีดจำกัด
ตอนที่ 287 ตามใจลูกสาวแบบไม่มีขีดจำกัด!
เย่เฉินกล่าวกับซือซือ “ซือซือ พ่อจะสอนคอร์ดแรกเป็นของหนู อาจจะยากนิดหน่อยนะ แต่ว่าเป็นคอร์ดที่พิเศษมากๆ เลยนะ”
ซือซือมองเย่เฉินด้วยแววตาแน่วแน่ “ซือซือไม่กลัวยากหรอกค่ะ”
เย่เฉินใช้มือขวากดคอร์ดบนแป้นเปียโน แล้วคอร์ด Fmaj7 ก็ดังขึ้น
เย่เฉินไม่ได้สอนคอร์ด F กับเด็กหญิง แต่สอนคอร์ด Fmaj7 ที่ซับซ้อนกว่า
เพราะในสายตาเย่เฉินนั้น คอร์ด F เป็นคอร์ดธของรรมดาเปรียบเสมือนลูกๆ ที่เกิดมาจากคู่ชีวิตของคู่รักธรรมดาๆ อย่างเขากับฉินหงเหยียนหรือไม่ก็กับหวังเจียเหยา เป็นลูกที่เกิดมาในความคาดการณ์ของเขา
แต่คอร์ด Fmaj7 มีโน้ต E หรือว่าโน้ตตัวมี ทำให้คอร์ดนี้แน่น และพิเศษมากขึ้น
เย่เฉินคิดว่านี่ถือว่าสีสันของซือซือ
ส่วนมือน้อยๆ ของซือซือยังไม่สามารถกดโน้ตทั้งสี่อย่าง F,A,C,E พร้อมๆ กันไม่ได้ ดังนั้นเย่เฉินเลยให้แม่หนูน้อยเล่นแยก
โดยกดโน้ต F,A,C,E ซ้ำไปมาไม่หยุด
จู่ๆ เย่เฉินก็เอ่ยปากถาม “ซือซือ คุณแม่ตั้งชื่อภาษาอังกฤษให้หนูหรือยัง?”
ซือซือส่ายหน้า
เย่เฉิรู้สึกว่าในเมื่อจู่ๆ ซือซือก็มีตัว E โผล่ออกมา ไม่อย่างนั้นก็ตั้งชื่อภาษาอังกฤษที่มีเริ่มต้นด้วยตัว E ก็แล้วกัน
ดังนั้นเย่เฉินก็เลยถามซือซือ “พ่อตั้งชื่อภาษาอังกฤษให้หนูดีไหม?”
ในฐานะที่เป็นลูกหลานตระกูลเย่จะต้องมีชื่อภาษาอังกฤษ เพราะตระกูลเย่มีหน้ามีตาในเวทีโลก ตอนนี้กำลังย้ายการลงทุนไปที่ประเทศอังกฤษ
ซือซือดีใจอย่างมาก “ได้ค่ะ”
เย่เฉินครุ่นคิดแล้วกล่าว “ซือซือชื่อภาษาอังกฤษของลูกคือ Eileen สะกดว่า E-I-L-E-E-N”
ซือซือฟังเสร็จก็กระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ วิ่งโร่ไปหาซูมู่ชิงที่สวนด้านนอกแล้วตะโกนอย่างดีใจ “คุณแม่คะ คุณแม่ หนูมีชื่อภาษาอังกฤษแล้วค่ะ หนูชื่อEileen! คุณพ่อตั้งให้หนู!”
……
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
บนโต๊ะอาหารสไตล์จีน เย่เฉินมองอาหารหลายจานที่วางบนโต๊ะก็ตอบตรงๆ “คุณหนูซู คุณวุ่นอยู่นานสองนาน แต่มีอาหารแค่สองจานเองเหรอเนี่ย?”
อาหารบนโต๊ะมีแค่อาหารจานผักเท่านั้น ไม่มีเนื้อด้วยซ้ำ และยังมีน้ำซุปอีกชาม และมีอาหารหลักเป็นข้าว
ซูมู่ชิงมีสีหน้าเก้อเขิน “ฉัน…ทำกับข้าวไม่ค่อยเป็น”
เย่เฉินชี้สาวใช้ที่อยู่ด้านนอก “แล้วหล่อนล่ะ?”
ซูมู่ชิงกล่าว “หล่อนก็ทำไม่ค่อยเป็นหรอก หน้าที่หลักๆ ของหล่อนก็คือช่วยฉันเลี้ยงลูกตอนที่ฉันเหนื่อยๆ ปกติแล้วฉันกินแต่อาหารเจเป็นหลัก เลยไม่ได้สนใจเรื่องกินเยอะแยะหรอก”
เย่เฉินส่ายหน้า “แต่ผมจะปล่อยให้ลูกสาวผมหิวไม่ได้ ผมจะไปทำอาหารให้ซือซือ!”
เมื่อมาถึงห้องครัวเขาก็เปิดตู้เย็น แล้วพบว่าวัตถุดิบในตู้ก็ไม่ได้มีนักหนา ดังนั้นเย่เฉินถึงได้โทรเรียกให้หลิวเจิ้งคุนเอาวัตถุดิบมาส่งให้
เย่เฉินทำอาหารท้องถิ่นของอวิ๋นโจวอย่าง ‘เนื้อก้อนอวิ๋นโจว’ โดยล้างหมูสามชั้นหั่นเป็นก้อนๆ ก่อนเป็นอันดับแรกหลังจากนั้นก็เติมเกลือ ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำและเหล้าจีนคลุกเคล้าให้เข้ากัน
หลังจากนั้นก็พักเอาไว้ครู่หนึ่ง
จากนั้นก็ใส่แป้งมันเทศปั้นให้เป็นก้อน หลังจากนั้นก็เอาไปนึ่งในหม้อ
“อร่อยไหม? ซือซือ?”
เย่เฉินมองซือซืออ้าปากกลืนก้อนเนื้อเป็นก้อนๆ เขาก็พออกพอใจอย่างมาก
“อร่อยค่ะ อร่อย! คุณพ่อทำกับข้าวอร่อยกว่าคุณแม่เยอะเลย! ต่อไปหนูอยากให้คุณพ่อทำอาหารให้หนูกินได้ไหมคะ!”
ซือซือดีใจจนกระโดดโลดเต้น
เย่เฉินไม่ได้ทำอาหารพวกนี้เป็นแค่จานเดียว แต่ยังทำปูผัดขี้เมาและแป้งโมจิผัดได้ด้วย
เมื่อเห็นบนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารที่กลิ่นหอมลอยกรุ่น ซูมู่ชิงก็รู้สึกมีความสุขอย่างยิ่งก่อนจะคิดในใจ “ในที่สุดบ้านหลังนี้ก็มีสีสันแล้ว ในที่สุด…ก็สมบูรณ์…น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่สามีของฉัน”
เย่เฉินเห็นสีหน้าสับสนของอีกฝ่ายก็กล่าว “คุณหนูซู คุณก็กินด้วยสิ”
ที่จริงแล้วซูมู่ชิงเองก็อยากจะชิมฝีมือของเย่เฉิน เพราะอยากจะรู้เหลือเกินว่าฝีมือการทำอาหารของชายหนุ่มที่เคยล่วงเกินตนเองในตอนนั้นจะเป็นอย่างไรกันแน่
แต่ว่าซูมู่ชิงเป็นหญิงสาวที่เย่อหยิ่งจึงกล่าวเสียงเรียบ “ไม่ดีกว่า ฉันกินเจ ฉันกินแค่อาหารจานผักของฉันเองน่าจะดีกว่า”
ซือซือที่กำลังกินโมจิก็หันมาแฉมารดาของตัวเองอย่างไม่ไว้หน้า “คุณแม่โกหก! มีคืนหนึ่งคุณแม่หิวกินไส้กรอกไปตั้งสองชิ้น”
“…” ใบหน้าซูมู่ชิงแดงวาบทันที
“ฮ่าๆ” เย่เฉินหลุดหัวเราะออกมา ซูมู่ชิงเลี้ยงลูกสาวได้ไม่ดีนัก เลี้ยงมาตั้งสามปียังสู้เขาที่เพิ่งรู้จักกันวันเดียวไม่ได้
“กินซักหน่อยสิ” เย่เฉินกล่าว
ซือซือกลับงอแงต่อ “คุณพ่อคะป้อนคุณแม่สิคะ แม่ถึงจะกิน ตอนหนูไม่อยากกินข้าวแม่ก็ทำแบบนี้”
คราวนี้คนเก้อเขินกลับกลายเป็นผู้ใหญ่สองคนแทน
เย่เฉินเพิ่งจะหยิบตะเกียบคีบอาหาร แต่ซูมู่ชิงกับชิงคีบอาหารเองก่อน “ฉันกินก็ได้”
ซูมู่ชิงยอมกินอาหารฝีมือเย่เฉินแต่โดยดีจากการโดนบังคับของสองพ่อลูก แล้วก็ต้องตกตะลึงกับรสชาติอาหาร
“ทำไมคุณทำอาหารอร่อยขนาดนี้?” ซูมู่ชิงถามอย่างตกตะลึง
เย่เฉินกล่าว “ฝึกทำตอนเป็นเขยที่แต่งเข้าของอวิ๋นโจว ก่อนนี้ผมเคยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปีน่ะคุณรู้หรือเปล่า?”
ซูมู่ชิงพยักหน้า “หวังเจียเหยาอาจจะเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในประเทศเราก็ได้”
เห็นได้ชัดว่าซูมู่ชิงเองก็พอจะรู้ถึงกิตติศัพท์ความสวยของหวังเจียเหยามาเหมือนกัน ในฐานะที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน หล่อนเองยังชอบหน้าตาของอีกฝ่ายอีกด้วย
ทว่าเย่เฉินกลับกล่าวว่า “ก่อนจะพบคุณผมก็คิดแบบนั้น”
คำพูดนี้ทำให้ซูมู่ชิงถึงกับเคี้ยวข้าวไม่ลง
คำพูดนี้หมายความว่ายังไง?
“ก่อนจะพบฉัน แบบนี้ฉันจะคิดว่าหลังจากที่พบฉันแล้วเขาก็ไม่คิดแบบนั้นเหรอ? เขากำลังจะบอกว่าฉันเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในประเทศนี้เหรอ?”
ใบหน้าซูมู่ชิงแดงระเรื่อ
ที่จริงแล้วหลายปีมานี้เหล่าผู้ชายที่เคยชมซูมู่ชิงสวยปานนางฟ้ามีจำนวนนับไม่ถ้วน เจ้าหล่อนฟังมาจนเบื่อแล้ว
ทว่าเมื่อได้ยินคำชมจากปากชายตรงหน้า ซูมู่ชิงก็เขินอาย ทำตัวไม่ถูกเหมือนเป็นสาวน้อยเสียอย่างนั้น
คนที่สวยสูสีกับหวังเจียเหยาในประเทศนี้เห็นจะมีแต่ซูมู่ชิงเท่านั้น
เมื่อกินข้าวเสร็จเย่เฉินก็เล่นกับลูกสาวต่ออีกครู่หนึ่ง เวลาผ่านไปถึงตอนกลางคืนอย่างรวดเร็ว ได้เวลาเข้านอนของซือซือแล้ว
ซูมู่ชิงสั่งให้เตรียมห้องนอนแขกให้เขานานแล้ว แต่ว่าซือซือกลับดึงแขนคนเป็นพ่อ “คุณพ่อ นอนกับพวกเราสิคะ”
เด็กหญิงพูดไปพลางลากเย่เฉินไปนอนบนเตียงของซูมู่ชิง
เมื่อทรุดตัวนั่งลงบนเตียงของซูมู่ชิง เย่เฉินก็รู้สึกอึดอัดมากทีเดียว นี่เป็นห้องส่วนตัวของคุณหนูตระกูลซู ทั้งบนเตียง ผ้าห่มล้วนแต่เต็มไปด้วยกลิ่นของอิสตรี
เตียงหลังนี้มีผู้ชายจำนวนมากอยากจะมีโอกาสได้สัมผัสสักครั้ง!
ตอนนี้เย่เฉินเป็นคนที่มีแฟนแล้ว หล่อนรีบร้อนลุกขึ้นแล้วกล่าวกับซือซือ “พ่อนอนบนเตียงคุณแม่ไม่ได้ ตัวพ่อสกปรก ไม่อย่างนั้นพ่อปูพื้นนอนในห้องเป็นเพื่อนหนูกับคุณแม่ดีไหม?”
เพราะความสัมพันธ์ในอดีตของเขากับหวังเจียเหยาทำให้เขาชินชากับเรื่องแบบนี้
เมื่อพูดเสร็จแล้ว เย่เฉินก็จัดแจงปูพื้นนอนอยู่ข้างเตียง
ทว่าแม่หนูน้อยของเขากลับตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไพล่คิดไปว่านอนบนพื้นคงจะสบายดีก็รีบผุดลุกขึ้นแล้วกล่าว “หนูก็จะนอนพื้น คุณแม่คะเราสามคนนอนพื้นด้วยกันดีไหมคะ?”